|
...โมงยามสุดท้าย Michael Jacksons This Is It...โดย โพสต์ ทูเดย์
รายงานโดย :แหนง-ดู: วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552
โลกยังไม่ยอมให้เขาตายไปจากความทรงจำ แม้ร่างของ ไมเคิล แจ็กสัน จะกลับคืนสู่ผืนดินไปแล้ว
แต่ภาพระหว่างการฝึกซ้อมและเตรียมตัวขึ้นเวทีคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของเขากำลังจะทำให้ราชาเพลงป๊อปผู้นี้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในโรงภาพยนตร์
โซนี่ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ Michael Jacksons This Is It ฟิล์มคอนเสิร์ตของไมเคิล แจ็กสัน ซึ่งผู้ชมทุกมุมโลกจะได้พบกับภาพและเสียงสุดอลังการ เพื่อสดุดีตำนานของโลกดนตรีผู้ล่วงลับ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจาก The Estate of Michael Jackson
แฟนๆ ของไมเคิล แจ็กสัน จะได้เห็นการทำงานที่พิถีพิถันของศิลปินคนโปรดและได้รับรู้ว่ากว่าจะมาเป็นแต่ละคอนเสิร์ตของราชาเพลงป๊อปนั้นยากเย็นเพียงใด
หนึ่งในประจักษ์พยานผู้ได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายระหว่างการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ต This Is It กับ ไมเคิล แจ็กสัน คือมือกีตาร์สาวเชื้อสายกรีกจากออสเตรเลีย โอเรียนติ พานาการิส
จากแฟนเพลงคนหนึ่งที่เปิดวิดีโอของเขาดูครั้งแล้วครั้งเล่า วันหนึ่งเมื่อได้มายืนเคียงข้างเขาบนเวทีคอนเสิร์ต โอเรียนติแทบจะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ครั้งแรกที่ได้พบเขา หญิงสาวทั้งตื่นเต้นและประหม่า เมื่อไมเคิลจากไปโดยไม่ได้กล่าวลา เธอจึงยังโศกเศร้าไม่สร่างจนถึงวันนี้
เขาคือไอคอนทางดนตรี ไมเคิลต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับแฟนๆ เขาเป็นคนน่ารักและเป็นนักเต้นที่มหัศจรรย์ การได้เป็นส่วนหนึ่งในวงของเอ็มเจคือประสบการณ์ที่ฉันจะไม่มีวันลืมเลย ...
ไม่ได้เป็นแค่คนร่วมงาน แต่สำหรับโอเรียนติแล้ว ไมเคิล แจ็กสัน คือแรงบันดาลใจของเธอ ถ้าได้เห็นไมเคิลเต้นและร้อง คุณจะรู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ไม่ได้เป็นแค่แบ็กอัพ แต่ไมเคิลกับทีมงานได้ให้โอกาสโอเรียนติแสดงเดี่ยวในช่วง Aftermath ตอนท้ายของเพลง Black or White ด้วย
ตลอดเวลา 3 เดือนที่ได้ทำงานร่วมกับเขา มือกีตาร์สาวพบว่า ไมเคิล แจ็กสัน คือผู้นิยมความสมบูรณ์แบบและมีความสามารถรอบด้าน เขามีหูที่มหัศจรรย์มาก ไมเคิลได้ยินทุกอย่าง นั่นทำให้เธอละทิ้งอีโก้ส่วนตัวและรับฟัง เขาทำให้ฉันเชื่อใจตัวเองมากขึ้น ไมเคิลจะทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ แต่เขาไม่ได้มีอีโก้ และในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง โอเรียนติ พบว่า ศิลปินชื่อก้องโลกคนนี้น่ารักและปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างดี
การได้ยืนอยู่ข้างๆ ไมเคิลบนเวทีเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ฉันชอบดูเอ็มเจกับแดนเซอร์เต้นในเพลง Thriller มาก คอนเสิร์ตนี้จะต้องเป็นโชว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแน่ๆ
แต่ไมเคิลก็ไม่ได้แสดงและไม่มีแฟนๆ ได้ดูคอนเสิร์ตนี้ เมื่อได้ยินข่าวร้ายนั่น ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนที่เปี่ยมไปด้วยพลังอย่างเขาได้จากเราไปแล้ว
ส่วน แชนนอน โฮลต์แซพฟ์เฟล หนึ่งในแดนเซอร์ที่ผ่านการคัดเลือกสุดหินมาร่วมทีมของราชาเพลงป๊อป แม้การทำงานกับไมเคิลจะเป็นงานหนัก เพราะพวกเขาต้องซ้อมเต้นวันละ 810 ชั่วโมงต่อวัน และ 6 วันต่อสัปดาห์ แต่นี่นับเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า
ไมเคิลคืออัจฉริยะ เขาเป็นหัวใจและวิญญาณในสิ่งที่เรากำลังทำ เขาทำให้เรารู้สึกเป็นหนึ่งในครอบครัวนี้ มันจึงไม่เหมือนกำลังทำงานอยู่ ในฐานะแฟนเพลง เขาเป็นทุกสิ่งที่เราจินตนาการไว้
แชนนอนสัมผัสพบว่า ไมเคิลเป็นคนมองโลกในแง่บวกและมีความรักเผื่อแผ่ให้กับทุกคน มันเหมือนมีเด็กขี้เล่นคนหนึ่งอยู่ในตัวเขา ไมเคิลอารมณ์ดีและทำให้บรรยากาศดีเสมอ
และภาพยนตร์เรื่องนี้คืออีกมุมหนึ่งของเขาที่ทุกคนอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่ได้ทำงานนี้เพื่อที่จะพิสูจน์อะไร แต่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับโลกและส่งสารดีๆ ให้กับทุกคน แชนนอนเชื่อเช่นนั้น
พบกับวินาทีประวัติศาสตร์กับบันทึกครั้งสุดท้ายของราชาเพลงป๊อป ไมเคิล แจ็กสัน ที่โลกต้องจารึกกับการแสดงและภาพคอนเสิร์ตที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ใน Michael Jacksons This Is It พร้อมกันทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. ในโรงภาพยนตร์ เพียง 14 วันเท่านั้น
Link://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=73790
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2552 21:36:26 น. |
Counter : 2116 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
This Is It แรงบันดาลใจ...ใครบันดาลใคร
คำเตือน : บทความนี้จะเต็มไปด้วยอคตินะครับ ขอย้ำ!! เพราะผมรักMJ ไม่รักกันอย่าว่ากันนะครับ...
เสียงร้องแหลมสูง ท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ และ การลูบเป้า ที่เคยเป็น Talk of the world (ไม่ใช่แค่ Town) มาจนถึงวันนี้ ของ King of Pop Michael Jackson และความสูญเสียที่ช๊อคโลกที่สุดของปีนี้ ทำให้ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายอีกแล้วสำหรับภาพยนตร์สารคดีเบื้องหลังคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของราชาเพลงป๊อปผู้นี้ กับการนำเอาภาพการซ้อมครั้งสุดท้ายของคอนเสิร์ต This is it ที่ชาวโลกยังไม่มีโอกาสได้เห็นการร่ายรำบนถนนสายดนตรีครั้งสุดท้ายของเขา เพียงแค่ภาพยนตร์ยังไม่ได้ลงโรงฉายก็ทำเอาแฟนคลับทั่วโลกเกิดความกระหายใคร่ดูคอนเสิร์ตครั้งนี้มากขนาดไหน ซึ่งผลงานที่ออกมาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด การนำเสนอภาพคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ การตัดต่อที่ทรงพลัง และ สำคัญที่สุดการนำเสนอตัวตนเบื้องหลังฉากแต่เต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของ MJ ก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ผมเองเป็นแฟนคลับของMJ มานาน ได้ชมคอนเสิร์ตของเขาแทบจะทุกอัลบั้ม ได้รับรู้ความตั้งใจ และ สัมผัสความเป็นมืออาชีพของผู้ชายคนนี้ได้มาตลอด แต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป อาจเป็นเพราะว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้เห็นอัจฉริยะผู้นี้ ร่ายรำอยู่บนบทเพลงและจังหวะดนตรีที่เขาได้ส่งผ่านความรู้สึกออกมา ราวกับเทวทูตแห่งเสียงดนตรีที่นำพาความสุขมาสู่ผู้คน หลายคนอาจบอกว่าสิ่งที่ผมเขียนมันเกินความจริง แต่คำว่า ความสุข ของผม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความไพเราะของเสียงดนตรีเท่านั้น แต่คือพลังที่ส่งออกมาให้เราได้สัมผัสจริงๆครับ พลังที่ทำให้คนที่ได้เห็นเขาเต้น และ ร้องเพลง ลืมสิ่งที่อยู่ในชีวิตจริง และ พร้อมที่จะเดินทางไปกับเขาบนเส้นทางของเสียงเพลง
ครั้งแรกที่ผมได้เห็นคนที่ดูคอนเสิร์ตของเขากรี๊ดเหมือนคนบ้า เบียดเสียดกันดูคอนเสิร์ตจนเป็นลมนั้น ก็มีความเห็นไม่ต่างจากคนทั่วไปที่คิดว่าคนเหล่านั้นเหมือนคนบ้าไปแล้ว แต่พอได้สัมผัสถึงผลงานของเขาจริงๆก็ได้เห็นถึงพลังที่แตกต่าง พลังที่ไม่เพียงแต่ดึงตัวเองออกจากโลกแห่งความเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังดึงอารมณ์ของผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาเดินทางไปพร้อมกันด้วย
หากเราสังเกตเห็น จะพบว่า MJ ตอนที่ไม่ได้ร้องเพลง กับตอนที่อยู่บนเวทีแตกต่างกันเป็นคนละคน แทบมองไม่เห็นคราบของผู้ชายขี้อาย ถ่อมตัว เก็บตัวเลย แต่เมื่อเขาได้จับไมโครโฟน หรือ เต้นรำไปรอบๆเวที สิ่งที่ผมเห็นกลับเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่งซึ่งได้ของเล่นที่ชอบ และ เล่นกับมันไปโดยไม่ได้สนใจผู้อื่น การร้องเพลงของ MJ อาจจะไม่ไพเราะที่สุด ท่าเต้น Moonwalk ของ MJ อาจจะสู้ Dancer เก่งๆระดับโลกหลายคนไม่ได้ แต่สิ่งที่เรารับรู้ได้จากความรู้สึกว่าชายคนนี้กำลังสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำ และ รักกับมัน เราจะรู้สึกได้เลยว่าเขามั่นใจ และ ปล่อยใจไปกับเสียงเพลงอย่างเต็มตัว เขาไม่ได้ร้องเพลง และ เต้นรำด้วยร่างกายของเขา แต่เขาขับขานสิ่งเหล่านั้นออกมาจากใจ หลายฉากของการซ้อมที่เหล่าทีมงานบนเวทีจะต้องรอสัญญาณต่างๆจาก MJ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือ การเต้น ซึ่งเขาใช้เพียงความรู้สึกเท่านั้นที่บอกตัวเอง การดื่มด่ำกับอารมณ์ในขณะนั้น นี่ต่างหากที่ทำให้เขาไม่เหมือนใคร และ ไม่มีใครเหมือนอีกแล้วบนโลกใบนี้
และด้วยพลังที่เขาถ่ายทอดออกมานี่เองที่เราได้รับรู้ และ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลากหลายคนบนโลกใบนี้ คนที่ไม่เข้าใจคงถามว่าท่าเต้นลูบเป้าจะกลายเป็นแรงบันดาลใจได้อย่างไร? ใช่ครับ! ท่าเต้นไม่ใช่แรงบันดาลใจ แต่สิ่งที่เขาตั้งใจสร้างสรรค์ออกมาต่างหากที่เป็นแรงบันดาลใจ ภาพของการทุ่มเทฝึกซ้อมเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้หลายคนต้องหยุดหายใจด้วยความประทับใจ และความประทับใจนี่เองที่สร้างต้นแบบแห่งแรงใจ ให้หลายคนอยากทำตาม หรืออย่างน้อยก็ได้เข้าไปสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ในความเห็นของผมความอยากใกล้ชิดนี้เองกระมังที่ทำให้เขาต้องการช่องว่างสำหรับตัวเองบ้าง มากกว่าการถูกรุกล้ำโดยพวกเราเองที่ชอบเขา แต่ไม่เคยรู้ตัวว่ากำลังทำร้ายเขาอยู่เหมือนกัน
ภาพของแฟนคลับรายล้อมในทุกที่ที่เขาปรากฏตัว หรือแม้กระทั่งช่วงต้นเรื่องที่เป็นการสัมภาษณ์ Dancer ที่เข้ามาออดิชั่น คงเป็นคำตอบของคำว่าแรงบันดาลใจที่เขามีให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เราเคยได้หันกลับไปมองหรือไม่ว่า แล้วแรงบันดาลใจของ MJ นั้นล่ะ คือใคร ในความเห็นของผมแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ออกมาก็คือเหล่าแฟนคลับของเขานั้นเอง คำพูดหนึ่งที่ MJ พูดกับทีมงานว่า ...ขอให้ทุกคนทุ่มเทให้เต็มที่ คนดูต้องการเห็นสิ่งที่แตกต่าง หลุดพ้น และ หลีกหนีจากชีวิต ต้องการเห็นความเก่งกาจที่เขาไม่เคยเห็น ต้องการไปในที่ที่พวกเขาไม่เคยไป เราจะพาเขาไปในที่นั้น เพราะฉะนั้นเราต้องทุ่มเทให้เต็มที่แบบสุดๆ (ประมาณนี้แหละ) และทุกครั้งที่เขาคิดอะไรในคอนเสิร์ตของเขา เขาจะนึกถึงคนดูเป็นอย่างแรก แสดงให้เห็นว่า เหล่าคนดูที่ติดตามเขา จัดให้เขาเป็นแรงบันดาลใจนี่เอง ที่ทำให้เขาทำในสิ่งที่ดีที่สุดออกมาได้ แม้ว่าแฟนคลับทุกคนจะมองตามหลังเขาที่เป็นแรงบันดาลใจอยู่ แต่เชื่อไหมครับว่า เขาเองก็ไม่เคยที่จะหันหลังให้กับเรา เขาหันหน้าเข้าหาเราที่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยู่เหมือนกัน
สิ่งเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้เขาต้องอดทนต่อสู้กับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ ความทุกข์ที่พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าคืออะไร แปลกนะครับ แม้ว่าอุปสรรคในชีวิตมันจะยากแค่ไหน ตราบใดที่เรามีแรงบันดาลใจ เราก็จะพร้อมฝ่าฟันมันไปเสมอ หลายคนมองว่าคนที่คลั่งใคล้ในตัวเขาเป็นคนบ้า วัยรุ่นไร้สาระ แต่ผมว่าเขากำลังหาแรงบันดาลใจมากกว่า เราต้องอิจฉาเขามากกว่าที่อย่างน้อยเขาก็มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้และพร้อมจะเติบโตไปกับมัน ต่างกับคนในสมัยนี้ส่วนใหญ่ที่ไร้ซึ่งแรงบันดาลใจแม้แต่ชีวิตของตัวเอง เราจึงได้เห็นคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยๆเพราะปัญหา นั่นก็เพียงเพราะเขาขาดความหวัง ความฝัน และ เป้าหมาย ปัญหาของเราหากเปรียบกับที่ MJเจออยู่ก็คงเทียบกันไม่ได้ แต่เขาก็พร้อมเสมอที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อทำในสิ่งที่เขารัก และ เพื่อคนที่เขารัก แรงบันดาลใจของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันหรอกครับ และคงไม่จำเป็นด้วยที่จะต้องเหมือนกัน แต่สำคัญว่าแรงบันดาลใจของเรานั้น แรงมากพอที่จะบันดาลชีวิตเราด้วยหรือไม่มากกว่า.... หลังจากที่ผมชมภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จ ผมเก็บทุกภาพที่เห็น ทุกความประทับใจที่มีต่อครั้งสุดท้ายของฮีโร่คนนี้ มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง เพื่อจะได้กลับไปเผชิญกับชีวิตจริงด้วยความเป็นมืออาชีพแบบ MJ ... แล้วผมก็ยังแอบภูมิใจในตัวเองเงียบๆคนเดียวด้วยความเห็นแก่ตัวว่า คนอย่างเรานี่แหละก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับ King of Pop ได้เหมือนกัน ใครจะบันดาลใคร ผมก็คงไม่อาจรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ Michael Jackson , This is it คนนี้แหละ นี่แหละใช่เลย!!!!!!
ยาวไปหน่อย ขอบคุณครับที่อ่าน
ขอขอบคุณ คุณ คนขี่แผ่น //www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8484545/C8484545.html
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2552 20:55:38 น. |
Counter : 675 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
History World Tour ความยิ่งใหญ่ อันเป็นที่สุดของที่สุดของโลก
เกร็ดเล็กน้อยสำหรับความยิ่งใหญ่ของ History World Tour
การแสดงแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงที่ 1 - เริ่ม 7 กันยายน 1996 ถึง 4 มกราคม 1997 ช่วงที่ 2 - เริ่ม 31 พฤษภาคม 1997 ถึง 15 ตุลาคม 1997
History World เปิดการแสดงทั่วโลก ใน 56 เมืองสำคัญ 5 ทวีป 35 ประเทศ รวมทั้งหมด 82 รอบ และผู้ชมการแสดงสดกว่า 4.5 ล้านคน
นั่นทำให้ History World Tour เป็นการแสดงสดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกนี้เคยมีมา
- มีเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการทั้งหมด 160 คน ส่วนการจัดแสดงในแต่ละแห่งจะมีการจ้างแรงงานท้องถิ่นในส่วนของการจัดพื้นที่เช่นเวที ประมาณ 200 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 200 คน
- รูปแบบของเวทีมี 3 แบบที่แตกต่างกัน ในแต่ละแบบใช้การขนย้ายโดยรถบรรทุก 7 คันโดยน้ำหนักอุปกรณ์รวม 200 ตัน ใช้เวลา 3 วันในการประกอบเวที
ใช้เวลา 24 ชั่วโมงเต็มในการ Set อุปกรณ์ประกอบ เช่น ไฟ อุปกรณ์เครื่องดนตรี และอีก 24 ชั่วโมงเต็มสำหรับการเดินสายอุปกรณ์ต่าง ๆ
โดยอุปกรณ์ทั้งหมดมีน้ำหนักรวม 550 ตันจากการขนย้ายด้วยรถบรรทุก 22 คัน
ทำให้อุปกรณ์ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเวทีการแสดงที่สมบุรณ์ใช้การขนย้ายด้วยรถบรรทุก 43 คันโดยมีน้ำหนักรวมของอุปกรณ์ทั้งหมดสูงถึง 1,200 ตัน (หรือเทียบเท่าน้ำหนักช้างโตเต็มวัย 400 เชือก หรือ เครื่องบินโบอิ้ง 747 จำนวน 70 ลำ หรือกระสวยอวกาศ 13 ลำ)
- อุปกรณ์เกี่ยวกับแสงใช้สายเคเบิลยาว 35 กิโลเมตร นำหนัก 3200 กิโลกรัม และใช้รถบรรทุก 5 คันในการขนย้าย
- ระบบเสียงออกแบบโดย Clair Bros Audio มีตู้ทั้งหมด 140 ตู้ ให้กำลัง 400,000 วัตต์ มีน้ำหนักรวม 30 ตัน มี sub 50 ตัวในการเป็นแรงขับระบบเสียงรอบทิศทาง ดูแลโดย Trip Khalaf ซึ่งเคยทำงานร่วมกับมาแล้วกับ Madonna, Steely Dan และ Queen
ทิ้งท้าย...สำหรับ สว กกท ครับ
ผู้ออกแบบชุดสีทองอร่ามให้ Michael Jackson ได้นำไปโลดแล่นกระชากใจสาว ๆ คือ ..... Gianni Versace ....
Credit : Michael Jackson Trader.com
ขอขอบคุณ คุณ Hypotic Ego //www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8568952/C8568952.html
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2552 16:47:37 น. |
Counter : 857 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
แดุ่ไมเคิล ที่รัก....
ตั้งใจทำบล็อกนี้ เพื่อเป็นการเก็บรวบรวมบทความดี ๆ ที่เขียนเรื่องราวของคุณ..
ผลงานที่งดงาม..
ภาพแห่งความประทับใจที่ทิ้งร่องรอยของคุณไว้ ณ โลกใบนี้...
โลกที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะปกป้อง...หวงแหน...
ด้วยความรักและปรารถนาทีุ่ลึกซึ้งต่อผู้คนทั้งหลาย...
สิ่งที่ฉันทำได้เพื่อคุณช่างเล็กน้อยราวหยดน้ำในมหาสมุทร
เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ...
พักให้สบายนะ...
สักวันเราคงได้พบกันอีกครั้งในบ้านของพระเจ้า.....
|
|
|
|
|
|
|
|