Love Lives Forever...I do it for u, Michael Jackson...You're always in my heart...
Group Blog
 
All Blogs
 

ไมเคิล แจ๊คสัน USA For Africa - We Are The World

เก็บมาจาก OkayNation นะคะ
วันที่ เสาร์ มิถุนายน 2552


ถ้าจะพูดถึงอารมณ์ nostalgia หรือความถวิลหาอดีตในวัยเด็ก สิ่งหนึ่งที่ผมนึกถึงมันเสมอคือบทเพลงสากลยุค 80 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการหัดฟังเพลงฝรั่งของผม

และเพลงที่อยู่ในความทรงจำของผมตลอดมาเพลงหนึ่งคือ We Are the World ที่แต่งโดย ไมเคิล แจ๊คสัน และ ไลโอเนล นิชชี่

เพลงนี้เป็นเพลงสากลเพลงแรกที่ผมรู้จักซื้อมาฟังเองก็ว่าได้ และเคยเดินร้องท่อน We are the world, we are the children ไปตามระเบียงชั้นเรียนสมัยประถม ทั้งๆที่ไม่รู้ความหมายจริงๆของมันทั้งหมด


เมื่อปีที่แล้ว ผมได้แผ่นดีวีดี We Are the World ฉบับครบรอบยี่สิบปี เป็นดีวีดีสองแผ่นครับ แผ่นแรกเป็นเบื้องหน้าเบื้องหลังโครงการนี้ เบื้องหลังการถ่ายทำ บทสัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง (แน่นอนว่าหลักๆย่อมจะเป็นไมเคิล แจ๊คสัน) อีกแผ่นเป็นบันทึกการแสดงสดหลายๆแห่งทั่วโลกและการออกรายการทีวียุคนั้น

เพลงนี้เป็นเพลงเอกในอัลบั่มชื่อเดียวกัน ออกเมื่อราวๆปี 1985

We Are the World เป็นเพลงเอกในโครงการ USA For Africa - We Are The World เป็นความคิดของไมเคิล แจ๊คสันกับเพื่อนๆในการที่จะหาเงินไปช่วยเหลือบรรดาเด็กๆที่อดอยากในทวีปอาฟริกา โดยจะออกเป็นอัลบั่มและมีการทัวร์แสดงสดเพื่อระดมเงินทุน

"คุณพอมีเวลาสำหรับการช่วยเหลือเด็กๆไหม" นี้คือคำถามที่ ไมเคิล แจ๊คสัน ลงทุนโทรศัพท์ไปหาเพื่อนๆทุกคนในวงการดนตรีในขณะนั้น และแทบทุกคนก็ตอบรับอย่างเต็มใจ

ผมดูแผ่นดีวีดีชุดนี้อย่างมีความสุขครับ ดูแล้วนึกถึงสมัยก่อนตอนเด็กๆ ที่ซื้อเทปผีม้วนละ 25 บาท มาฟังแล้วลองแกะเนื้อเพลงดู เพลงนี้เป็นเพลงสากลเพลงแรกๆในชีวิตของผมเลยครับ ตอนนั้นบอกตรงๆว่ามีแค่ไมเคิล แจ๊คสัน คนเดียวเท่านั้นที่ผมพอรู้จัก

แต่จริงๆแล้วต่อมาจึงทราบว่างานนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เพราะผู้ที่มาร่วมงานตอนหลังการคือนักดนตรีที่อยู่ในความทรงจำยุค 80 ปลายๆทั้งสิ้น เช่น Dionne Warwick / Willie Nelson / Bob Dylan / Ray Charles / Stevie Wonder / Paul Simon / Kenny Rogers / Tina Turner / Billy Joel / Diana Ross / Kenny Logins / Steve Perry / Bruce Springsteen และอื่นๆ (อีกหลายสิบคน)



เบื้องหน้าเบื้องหลังการบันทึกสนุกมากครับ พวกซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้มารวมตัวกันหลังงาน American Music Awards ceremony มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆมาให้ดู เช่น....

ในขณะที่ทุกๆคนมาโดยรถเลมูซีนหรูหรา มีแต่ Bruce Springsteen ที่ขับรถปิคอัพปุเลงปุเลงมาคนเดียว

มีภาพกว่าสิบนาทีที่บันทึก ไมเคิล แจ๊คสัน ร้องไกด์ไลท์ให้นักร้องทั้งหมดทิ้งไว้ ก่อนจะให้แต่ละคนมาบันทึกเสียงต่อจากเขา

เบื้องหลังการหัดร้องเดี่ยวในแต่ละท่อนที่ถูกกำหนดไว้ให้ของศิลปินใหญ่หลายๆคน ซึ่งส่วนใหญ่ เช่น สปริงทีน / สตีวี่ วันเดอร์ / ไดเอน่า รอส ก็ผ่านไปด้วยดี แต่ที่ฮาที่สุดคือ ลุงบ๊อบ ดีเลน

บ๊อบ ดีเลน ที่ถูกให้ร้องท่อน There's a choice we're making we're saving our own lives (ที่ในยูทูปที่ผมลงให้ดูราวๆนาทีที่สามกว่าๆน่ะ) แค่ท่อนเดียวนั้น ปรากฎว่าลุงแกร้องไม่ได้ครับ (แกบ่นว่าเสียงมันสูงไป) ต้องเรียก ควินซี่ โจนส์ มาบอกให้ออกเสียงยังไง และต้องไป "ซ่อมเดี่ยว" กับสตีวี่ วันเดอร์อีกพักใหญ่ รวมแล้วร้องเกือบสิบนาทีจึงใช้ได้

ยังมีที่ไลโอเนล ริชชี่ เล่าให้ฟังว่าเพลงนี้ไม่มีเนื้อร้องแต่แรก มันเริ่มจากทำนองที่ ไมเคิล แจ๊คสัน ฮัมๆๆๆ อยู่คนเดียว แล้วจึงได้ท่อนแรกๆออกมา “The demo was Michael humming no lyrics. Except, you know, ‘We are the world. We are the children. We are the...... It’s just mumbles.”

พอรู้ว่าไมเคิล แจ๊คสัน จากไป ผมก็หยิบเอาแผ่นดีวีดีชุดนี้มาดูไว้อาลัยอีกครั้งเมื่อคืนนี้

บอกตรงๆว่าผมเองนอกจากจะใจหายเล็กๆแล้ว ยังมีความรู้สึกโล่งใจบางอย่างปะปนไปด้วย ผมรู้สึกว่าไมเคิล แจ๊คสันไปตอนนี้ช้าไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่ช้าเกินกว่าที่เรื่องราวแย่ๆพักหลังของเขา จะมีโอกาสได้ทำลายความยิ่งใหญ่ของเขาในอดีตลงได้

ผมจดจำไมเคิล แจ๊คสันได้ชัดเจนเต็มตาที่สุดจากโครงการนี้ โครงการ We Are the World ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่มี ไมเคิล แจ๊คสันเป็นแม่งาน และภาพทีผมอยากจำไว้คือภาพที่ ไมเคิล แจ๊คสัน ยังแข็งแรง เปี่ยมไปด้วยพลังในการสร้างสรรค์ มุ่งมั่นสู่อนาคตที่สดใสของโลกและเราทุกๆคน

หลังจาก We Are the World และงานดนตรีชุด Dangerous ไมเคิล แจ๊คสันค่อยๆเลือนหายไปจากความรับรู้ของผม แม้แต่งานใหม่ของเขาผมก็ไม่ได้สนใจจะฟัง

ปัญหาอย่างหนึ่งของไมเคิล แจ๊คสัน ที่เขาสร้างขึ้นมาโดยเขาก็ไม่รู้ตัวคือ ทุกๆครั้งที่เขาจะออกงานอัลบั่มใหม่ แฟนๆจะคาดหวังอะไรที่ใหม่เสมอ เพราะถ้าหากไปฟัง 4 อัลบั่มแรกของเขา จะเห็นว่าทุกชุดมันฉีกออกจากกันและมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ตั้งแต่ off the wall / Thriller / bad / Dangerous แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่ง

ข่าวคราวของเขาช่วงหลังก็ยังมีส่วนให้แฟนๆเริ่มปลงไม่น้อย ทั้งแต่ภาพลักษณ์ที่แต่งเสริมจนเละไปหมดทั้งร่างกาย และภาพพจน์ที่มีข่าวร้ายๆมากมายในชีวิตส่วนตัวของเขา

โครงการ We Are the World ไมเคิล แจ๊คสัน สำเร็จอย่างสูง มันติดอันดับหนึ่งเป็นสิบๆประเทศ ขายได้เป็นสิบๆล้านชุด ได้เงินไปต่อยอดชีวิตให้เด็กๆในอาฟริกานับเป็นล้านๆคน เพลงฮิตไปทั่วโลกในประเทศไทยบรรดาเทปผีรวยไปตามๆกัน เพราะขายดีมาก เด็กๆรุ่นผมไปจนพวกเด็กมัธยมในขณะนั้นต้องซื้อไว้คนละม้วนเลยทีเดียว

บทเพลงนี้คว้ารางวัลแทบจะทุกรางวัลในเวทีดนตรีตอนนั้น ในรูปคือ ไมเคิล แจ๊คสัน กับ ดิออน วอร์ริก, สตีวี วอนเดอร์, ควินซี โจนส์ และไลโอเนล ริชชี หลังเวที Grammy Awards หลังจาก We Are The World ได้รางวัลเพลงยอดเยี่ยม


ไม่เพียงแค่นั้น มันยังเป็นคลื่นกระแสรวมดาวบันเทิงเพื่อการกุศลไปทั่วโลก แม้แต่ประเทศไทย ผมจำได้ว่าก็มีการจัดงานคล้ายๆกันในตอนนั้น คือ คอนเสริตอีสานเขียว และต่อมายังเป็นต้นแบบให้แก่คอนเสริตการกุศลอีกหลายๆครั้งทั่วโลก เช่น LIVE AID ในยุคปัจจุบันนี้

แม้หลังจากนั้น ไมเคิล แจ๊คสัน จะพยายามย้อนรอยความสำเร็จครั้งนี้กับเพลง heal the World สำหรับผมก็ไม่มีเพลงไหนของเขาจะยิ่งใหญ่และมีความหมายมากไปกว่าเพลงนี้อีกแล้ว

บทเพลงนี้มันสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง เนื้อร้อง / ทำนอง / การเรียบเรียง / ที่มาที่ไปของมัน จนทุกวันนี้ท่อนที่บอกในพวกเราทุกๆคนว่า We are the ones who make a brighter day - so let's start giving ยังเป็นท่อนอมตะตลอดกาลในตำนานดนตรีป๊อบอเมริกัน

แค่เริ่มต้นที่จะให้ พวกเราก็คือคนคนหนึ่งที่จะช่วยโลกทั้งใบไว้ได้....

และนั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมจำ ไมเคิล แจ๊คสัน ได้ตลอดไป.......

ปล.เอามิวสิควีดีโอมาฝากรำลึกความหลัง เห็นหน้าพี่ไมค์สมัยยังแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ก็อดเศร้าใจปนโล่งใจไม่ได้จริงๆครับ เขาได้จากไปแล้วก็จริง แต่บางทีมันอาจจะเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดแล้วก็ได้....

//https://www.youtube.com/watch?v=WmxT21uFRwM






 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:30:09 น.
Counter : 1347 Pageviews.  

ไมเคิล แจ็คสัน...ผู้นำและอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว

Posted by bewinning
วันเสาร์ ที่ 27 มิถุนายน 2552
โดย Trainer Bee


เมื่อเช้าวานนี้ หลังจากตื่นนอนได้สัก 5 นาที คุณพ่อก็เดินมาบอกเราว่า... รู้ไหม ไมเคิล แจ็คสันตายแล้ว..
เราก็ร้อง ฮ้า! เป็นอะไรตาย พ่อบอก 'หัวใจวาย' เราก็บอกกลับไปว่า ได้ข่าวแต่ว่า ฟาร์ราห์ ฟอร์เซ็ท อาการไม่ดี แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวว่า ไมเคิล แจ็คสันตาย!!!
คุณพ่อตอบกลับมาว่า ฟาร์ราห์ ก็เพิ่งตายเหมือนกัน...
เป็นเรื่องช็อคและน่าเศร้าอย่างยิ่งที่คนดังทั้งสองคนเสียชีวิตในวันเดียวกัน...โดยเฉพาะ ไมเคิล แจ็คสัน King of POP ที่ตายแบบ 'Sudden Death'...เรารู้สึกเหมือนญาติห่างๆตายจากเราไป...
ทางช่อง CNN และ BBC นำเสนอข่าวไมเคิล แจ็คสันตลอดวันจนกลบข่าวความวุ่นวายที่อิหร่านและข่าวการเสียชีวิตของฟาร์ราห์ ฟอร์เซ็ท ไปหมด...



แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะ ไมเคิล แจ็คสัน ก็คือสุดยอดตำนานและ ICON ทางดนตรีของอเมริกาและโลก...ไมเคิล แจ็คสัน ผู้กำลังซ้อมหนักเพื่อที่จะ Comeback อีกครั้งกับ Concert ใหญ่ที่อังกฤษเดือนหน้านี้ ที่เขาเรียกว่า 'The Final Tour'...แต่เขาก็ไม่มีโอกาส...
แม้ว่า เราไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของไมเคิล แจ็คสัน แต่ก็ติดตามข่าวคราวของเขาอยู่เสมอ และคิดว่าชีวิตของ ไมเคิล แจ็คสัน เป็นเรื่องน่าศึกษาและเรียนรู้ได้ในหลายๆ แง่มุมด้วยกัน...


ไมเคิล แจ็คสัน...เป็นผู้นำและยอดอัจฉริยะทางดนตรี

ไมเคิล แจ็คสันเป็นอัจฉริยะทางการแสดง ทางดนตรี เป็นสุดยอด Entertainer ของโลก เป็นผู้คิดสร้างสรรค์ท่าเต้นบรรลือโลก อย่างท่า 'Moonwalk' และเป็น Icon เป็นแม่แบบทางดนตรีของนักร้องชื่อดังในยุคปัจจุบันหลายคน เช่น จัสติน ทิมเบอร์เลค หรือ USHER
เมื่อย้อนไปดูถึงความสำเร็จของผลงานทุกชิ้นของไมเคิล แจ็คสัน ล้วนเกิดจากพรสวรรค์ ความรัก และความรู้สึกที่แรงกล้าที่มีต่องานที่ทำทั้งสิ้น ตอนยังเด็ก ไมเคิล แจ็คสัน เคยให้สัมภาษณ์ว่า "I will not sing if I don't feel it. I sing because I feel it." หมายความว่า เขาจะไม่ร้องหากเขาไม่รู้สึกเข้าถึงหรืออินกับเนื้อหาของเพลงที่ร้องจริงๆ...นั่นทำให้งานเพลงและงานแสดงของเขามีความลึกและเข้าถึงผู้ฟัง

ไมเคิล แจ็คสัน จึงเป็นมีคุณสมบัติของผู้นำหลายด้าน เป็นผู้มีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษ (Gift &Talent) เป็นผู้มีไฟ (Passion) ผู้รักในงานดนตรีอย่างแท้จริง เป็นมืออาชีพที่ทำงานหนัก (Professional Hard-Working) ผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) การร้องเพลงและการแสดงของ ไมเคิล แจ็คสัน ทุกชิ้น ทรงพลัง เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) และเปี่ยมไปด้วยทักษะ (Skillful) ที่ผ่านการขัดเกลาและฝึกผนมาอย่างหนัก


ไมเคิล แจ็คสัน ผู้โดดเดี่ยว...
ไมเคิล แจ็คสัน เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า มีความสุขอย่างมากเมื่อยู่บนเวที ท่ามกลางคนหมู่มาก เขารักแฟนๆ ของเขา เขาทำได้ทุกอย่างบนเวที แต่เมื่อเสร็จสิ้นการแสดง เขากลับรู้สึกเหมือนบางอย่างพังครืนลงมา รู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว เขาถึงกับเคยพูดกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า "I am the loneliest person in the world."
ความโดดเดี่ยวของไมเคิล ก็คงคล้ายคลึงกับบุคคลจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ชื่นชม แต่เมื่อเสร็จสิ้นการงาน กลับมาถึงบ้าน อยู่คนเดียว กลับรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร...
ไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่ยังเด็ก ได้ผลิตผลงานที่ยอดเยี่ยมเรื่อยมา แต่ช่วงสำคัญช่วงหนึ่งในชีวิตของไมเคิลได้สูญหายไป... คือช่วงชีวิตวัยเด็ก ซึ่งเขาได้ระบายความรู้สึกของการค้นหาวัยเด็กที่ว่างเปล่าไว้ในเพลง Childhood ที่ได้แสดงออกถึงความต้องการได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะประเมินว่าเขาผิดปกติ เพียงแค่พิจารณาจากการกระทำบางอย่างของเขา หรือสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมภายนอกเท่านั้น ให้มองเขาอย่างเข้าใจข้างในหัวใจของเขา ถึงวัยเด็กอันเจ็บปวดและตัวตนที่แท้จริงของเขา...



เนื้อเพลง Childhood
Have you seen my Childhood?
I'm searching for the world that I come from
'Cause I've been looking around
In the lost and found of my heart...
No one understands me
They view it as such strange eccentricities...
'Cause I keep kidding around
Like a child, but pardon me...

People say I'm not okay
'Cause I love such elementary things...
It's been my fate to compensate,
for the Childhood
I've never known...

Have you seen my Childhood?
I'm searching for that wonder in my youth
Like pirates and adventurous dreams,
Of conquest and kings on the throne...

Before you judge me, try hard to love me,
Look within your heart then ask,
Have you seen my Childhood?

People say I'm strange that way
'Cause I love such elementary things,
It's been my fate to compensate,
for the Childhood I've never known...

Have you seen my Childhood?
I'm searching for that wonder in my youth
Like fantastical stories to share
The dreams I would dare, watch me fly...

Before you judge me, try hard to love me.
The painful youth I've had
Have you seen my Childhood...


วันนี้ เราจึงขอใช้บทความนี้แสดงความระลึกถึง ไมเคิล แจ็คสัน ผู้นำ และอัจฉริยะคนหนึ่งของโลก ผู้ค้นหาตัวตนที่สูญหาย ผู้อาจไม่ตระหนักว่า ตนเองได้สร้างแรงบันดาลใจอย่างมากมายให้แก่คนจำนวนมากทั่วโลก เราเชื่อว่าตอนนี้คุณได้พบแสงสว่าง ตัวตนที่สูญหายและความสงบที่แท้จริงแล้ว ขอบคุณที่ทำสิ่งดีๆ มากมายให้แก่โลก...




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:31:46 น.
Counter : 3482 Pageviews.  

เรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณพ่อชื่อ ไมเคิล แจ๊คสันที่คุณอาจไม่เคยรู้

Posted by ThelastKGB
วันพฤหัสบดี ที่ 2 กรกฎาคม 2552
ที่มา : //www.oknation.net/blog/inter



เจ. แรนดี้ ทาราบอร์เรลลี่ ผู้เคยพบไมเคิล แจ็คสัน มาตั้งแต่เด็กและได้รับความไว้วางใจจากไมเคิลมานานถึง 40 ปี ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับไมเคิลเท่าที่เขาทราบ ลงในเว็บไซท์หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล ซึ่งเป็นการเปิดเผยว่า โจ พ่อของไมเคิลเป็นนิสัยใจคออย่างไร รวมถึงแคทเธอรีน แม่ผู้ทุกข์โศกของเขา ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ชั่วคราวให้กับลูก 3 คน ของไมเคิล

ลิซ่า มารี เพรสลีย์ ภรรยาคนแรกของไมเคิลเชื่อมานานแล้วว่า ไมเคิลไม่ควรจะเป็นพ่อคนเพราะวุฒิภาวะทางอารมณ์ของเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะเลี้ยงลูกได้ เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นฝ่ายที่ยังต้องการพ่อแม่มากกว่า

ลิซ่า มารีไม่มีความคิดที่จะมีลูกกับเขา แต่เขาก็ไม่ท้อถอยด้วยการหันไปแต่งงานใหม่กับเพื่อนเก่าแก่อย่างเดบบี้ โรว์ นางพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความผิดปกติของผิวหนัง และเธอก็มีลูกให้เขา ซึ่งเกิดมาจากการผสมเทียม ท่ามกลางกระแสข่าวในสัปดาห์นี้ที่ว่า ทั้งไมเคิลและเดบบี้ ต่างก็ไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของลูกทั้ง 2 คนของพวกเขา

ตอนที่เด็บบี้ไปบอกกับพ่อของเธอเกี่ยวกับวิธีการผสมเทียม พ่อของเธอถามกลับมาว่า ไมเคิลไม่มีความสามารถในการมีลูกเองเหมือนคนอื่นหรือ เธอหัวเราะและตอบว่า ไมเคิลไม่ทำอะไรเหมือนคนอื่นอยู่แล้ว

ท่ามกลางการคัดค้านของนางแคทเธอลีน แม่ผู้เคร่งศาสนา ไมเคิลก็ดื้อดึงแต่งงานกับเด็บบี้จนได้ หลังหย่าขาดจากลิซ่า มารี โดยเด็บบี้ซึ่งท้องได้ 6 เดือน ได้สวมชุดเจ้าสาวสีดำ เดินตรงไปหาเขาที่ห้องสูทของโรงแรมในซิดนีย์ ขณะที่เขานั่งเล่นเปียโนเพลง " เฮีย คัมส์ เดอะ ไบรด์ "

ไมเคิลใช้ครีมรองพื้นหนาจนหน้าเกือบจะขาวโพลน และทาอายไลเนอร์เข้มพิเศษ เขาสวมหมวกและมีปอยผมหยิกยาวลงมาที่ด้านข้างใบหน้า และติดจอนปลอมข้างใบหู ขณะที่เพื่อนเจ้าบ่าวชื่อแอนโธนี่ ซึ่งไมเคิลอ้างว่าเป็นญาติ มีวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น

ทาราบอร์เรลลี่คิดว่า ลิซ่า มารี อาจคิดถูกแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามมาเพียงไม่กี่ปี ดูเหมือนจะช่วยยืนยันความคิดของเธอที่ว่าไมเคิลไม่พร้อมเป็นพ่อคน ปริ๊นซ์ ไมเคิล แจ็คสัน ลูกชายคนโต เกิดที่โรงพยาบาล เมื่อปี 2540 โดยมีไมเคิลและเด็บบี้ตัดสายสะดือด้วยกัน

ขณะที่เด็บบี้ยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ไมเคิลก็รีบพาลูกกลับไปยังคฤหาสน์เนเวอร์แลนด์แล้ว อีก 6 สัปดาห์ต่อมา ไมเคิลกับเด็บบี้ก็ถ่ายรูปกับลูกชายด้วยความภาคภูมิใจแต่นั่นคือครั้งแรกที่เด็บบี้ได้เห็นลูก นับตั้งแต่เธอให้กำเนิดเขา หลังจากนั้นเธอถูกส่งตัวไปอยู่ที่อื่น เธอเป็นแม่อุ้มบุญที่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูเขา

พนักงานคนหนึ่งในเนเวอร์แลนด์เปิดเผยว่า ไม่เคยเห็นเด็บบี้ มีทีมพี่เลี้ยง 6 คน และพยาบาล 6 คนคอยดูแลเด็ก แต่คนเหล่านี้ทำงานเป็นกะ เพราะจะต้องมีพี่เลี้ยง 2 คน และพยาบาล 2 คน คอยอยู่กับเด็กตลอดเวลา และต้องทำงานภายใต้กล้องวงจรปิดที่ควบคุมโดยทีม รปภ.ของไมเคิล

พวกพี่เลี้ยงเด็กทุกคนได้ผ่านการอบรมมาเป็นพิเศษ โดยทีมที่อยู่กลางวันจะต้องฝึกเรื่องการสร้างความแข็งแรงให้กับเด็ก ส่วนทีมกลางคืนจะต้องอ่านหนังสือและร้องเพลงให้ฟัง ซึ่งเท่ากับว่าเด็กไม่ได้อยู่กับแม่เลย

พี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกว่า ต้องคอยวัดคุณภาพแอร์ในห้องนอนทารกทุกชั่วโมง ตอนที่ป้อนอาหาร ภาชนะทุกชนิดต้องผ่านการต้ม และใช้ครั้งเดียวก็ต้องโยนทิ้ง เช่นเดียวกับพวกของเล่น แต่ละคืนจะมีของเล่นถูกเอาทิ้ง ด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัย และจะได้ของใหม่มาเปลี่ยนในเช้าวันรุ่งขึ้น

ไม่น่าเชื่อว่า หลังคลอดลูกคนแรกให้ไมเคิล เด็บบี้ก็ประกาศว่า เธอท้องลูกคนที่ 2 จากการทำกิ๊ฟให้ไมเคิลอีก ทำให้เธอได้กลับคืนสู่เนเวอร์แลนด์ พร้อมกับเงินอีกหลายล้านดอลล่าร์เป็นค่าตอบแทน ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นบ้านหลังงามของเธอในลอส แองเจลิส ที่เธอย้ายเข้าไปอยู่กับสุนัข 2 ตัว

ปารีส แคทเธอรีน ไมเคิล แจ็คสัน ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนที่สอง เกิดเมื่อเดือนเมษายน ปี 2541 หลังจากนั้นเด็บบี้ก็ขอหย่า ซึ่งไมเคิลก็ยอมรับและแน่นอนว่า เธอได้ค่าเลี้ยงดูไปหลายล้านดอลล่าร์ แต่หลังจากนั้นก็พบแม่อุ้มบุญเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้ไม่มีการเปิดเผยชื่อ แต่ผู้หญิงคนนี้ให้ลูกคนที่ 3 แก่ไมเคิล เป็นผู้ชาย มีชื่อว่า ปริ๊นซ์ ไมเคิล ที่ 2 เมื่อปี 2545 เขามีชื่อเล่นว่า แบล็งเค็ต ซึ่งแจ็คสันอธิบายว่า มันหมายถึง"สิ่งที่ใช้ปกป้องคนที่เรารักและเอาใจใส่ " ..ผ้าห่มคุ้มภัยนั่นเอง

มาร์ติน บาร์เชียร์ ที่เคยไปทำสารคดีสัมภาษณ์ไมเคิล นานถึง 8 เดือน เรื่อง " ลีฟวิ่ง วิท ไมเคิล แจ็คสัน "กล่าวว่า ไมเคิลปกป้องลูกมากเกินไป พ่อแม่ของเขาได้ไปที่คฤหาสน์เนเวอร์แลนด์ เพื่อดูความเป็นอยู่ของลูกชายและหลาน ๆ ซึ่งพบว่า ปริ๊นซ์ไมเคิลกับปารีส เป็นเด็กฉลาด มั่นใจ และจิตใจดี ส่วนคนเล็กก็ดูพอใจในสิ่งที่เขาเป็น พวกเขาสวดอ้อนวอนก่อนรับประทานอาหาร สุภาพ ช่างติดและร่าเริง

ไมเคิลจะไม่ชอบใจเวลาลูกๆสบถ ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกที่รายล้อมรอบตัวเด็กๆล้วนเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาไม่เคยขึ้นเสียงกับลูก หรือตีก้น ถ้าใครอาละวาด ก็จะถูกส่งเข้ามุมไปสงบสติอารมณ์ ไมเคิลอธิบายว่า เขาเอาของเล่นของลูกและของขวัญที่ได้รับจากแฟนเพลงทั่วโลก ที่ได้มาเป็นของขวัญคริสต์มาส ไปให้กับเด็กกำพร้าทั่วโลก

เขาสอนลูกไม่ให้ ให้ความสำคัญกับของเล่นมากกว่าเพื่อน เขาสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปัน เพราะคิดย้อนไปถึงสมัยเด็กที่เขามีชื่อเสียงและร่ำรวยแล้ว เวลาเขาเล่นกับเพื่อน เพื่อนจะยอมให้เขาชนะ แต่ไม่ยอมให้เขามาเล่นด้วยอีก

ยังมีเรื่องแปลกอีกหลายเรื่อง เช่น ไมเคิลไม่ชอบให้ลูกอยู่หน้ากระจกนานเกินไป และครั้งหนึ่งไมเคิลพาลูกคนโตไปสตูดิโอด้วย แล้วเขาทำป๊อปคอร์น หกกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้น โปรดิวเซอร์ซึ่งเกรงใจ ซูเปอร์สตาร์ กำลังจะก้มลงเก็บ แต่ไมเคิลได้เข้าไปขวางไว้

ไมเคิลได้กล่าวขอโทษและบอกว่า ลูกชายของเขาทำหก เขาจะเก็บเอง ซึ่งโปรดิวเซอร์ กล่าวว่า เขาได้แต่มองแจ็คสันคุกเข่าเก็บป๊อปคอร์นของลูกชาย เขาไม่แน่ใจว่า ถ้าเป็นมาดอนน่า เธอจะทำแบบนี้หรือไม่ ...อ่านตรงนี้แล้วรู้สึกว่าไมเคิลน่ารักจัง

แคทเธอรีน แม่ของแจ็คสัน บอกว่า แม้จะมีชีวิตที่สุขสบายกว่าในอดีต ในฐานะเป็นแม่ซูเปอร์สตาร์ มีเสื้อโค้ทขนมิงค์ มีเพชรพลอย แต่เธอก็ต้องทุกข์ใจกับปัญหาที่รุมเร้าลูกชาย เธอเล่าด้วยว่าเธอเองเป็นโปลิโอตอนอายุได้ 18 เดือน และต้องสวมอุปกรณ์ช่วยจนเข้าสู่วัยรุ่น เธอพบกับสามีคือ โจ ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีที่เหมือนกันคือ ต่างก็เป็นนักดนตรี แต่เชื่อว่าไมเคิลสืบทอดพรสวรรค์จากแม่ และมีข่าวว่าเธอต้องอดทนกับการนอกใจของสามี

ขณะที่เรื่องอื้อฉาวการล่วงละเมิดทางเพศที่ไมเคิลเผชิญทำให้โรคความดันของเธอกำเริบ แต่สิ่งที่ให้เธอน้อยใจก็คือไมเคิลกลับเอาปัญหาต่าง ๆ ของเขาไปปรึกษาเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ ที่เขารักเหมือนแม่ แคทเธอรีนกล่าวว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอคือการย้อนกลับไปสมัยอยู่ที่แกรี่ ตอนที่ลูก ๆ ของเธอยังนอนร่วมห้องเดียวกัน เธอยอมละทิ้งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ เพียงให้ได้ย้อนไปสู่วันเก่า ๆ ที่ครอบครัวยังใช้ชีวิตกันตามปกติ ...แต่เวลาและวารีไม่เคยรอใครและไม่เคยหวนกลับด้วย





 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:32:28 น.
Counter : 3769 Pageviews.  

1  2  3  4  

Jeeup
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




แดุ่ไมเคิล ที่รัก.... ตั้งใจทำบล็อกนี้ เพื่อเป็นการเก็บรวบรวมบทความดี ๆ ที่เขียนเรื่องราวของคุณ.. ผลงานที่งดงาม.. ภาพแห่งความประทับใจที่ทิ้งร่องรอยของคุณไว้ ณ โลกใบนี้... โลกที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะปกป้อง...หวงแหน... ด้วยความรักและปรารถนาทีุ่ลึกซึ้งต่อผู้คนทั้งหลาย... สิ่งที่ฉันทำได้เพื่อคุณช่างเล็กน้อยราวหยดน้ำในมหาสมุทร เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ... พักให้สบายนะ... สักวันเราคงได้พบกันอีกครั้งในบ้านของพระเจ้า.....
Friends' blogs
[Add Jeeup's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.