Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
17 เมษายน 2555
 
All Blogs
 

ประวัติซุนเจียน (ซุนเกี๋ยน)

ซุนเจียน (AD 155 – 192)


ซุนเจียน(ซุนเกี๋ยน) มีชื่อเรียกทางการว่าเหวินไถมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอฝูชุนเมืองอู๋จวิ้น กล่าวกันว่าเขาคือทายาทรุ่นหลังของซุนอู่(ซุนวู)

เมื่อครั้งในวัยเยาว์เขารับราชการในฐานะข้าราชการพลเรือนในเขตปกครองระดับอำเภอ คราวที่เขามีอายุครบสิบเจ็ดปีได้โดยสารเรือไปยังเมืองเฉียนถังพร้อมกับบิดาของเขาเวลานั้นหัวหน้าโจรสลัดนามหูอวี้และสมัครพรรคพวกออกปล้นสะดมสินค้าของบรรดาพ่อค้าวานิชย์ซึ่งตั้งรกรากอยู่แถบเป้าหลี่พรรคพวกโจรสลัดยังได้แบ่งกำลังออกอาละวาดปล้นชิงไปตามชายฝั่งในที่ต่าง ๆผู้โดยสารสัญจรจึงล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัวและมิกล้าโดยสารเรือผ่านไปในท้องที่แถบนั้นซุนเจียนจึงกล่าวกับบิดาว่า “โจรสลัดเหล่านี้สามารถถูกตีให้แตกพ่ายไปได้ข้าพเจ้าอนุญาตท่านทำการปราบปรามพวกมันเอง” บิดาของเขาจึงกล่าวตอบไปว่า“นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าสามารถกระทำได้”ซุนเจียนจึงก้าวขึ้นฝั่งไปพร้อมดาบในมือของเขาแล้วยกมือขึ้นโบกไปทางทิศบูรพาและทิศประจิมทำท่าดูราวกับว่าเขากำลังให้สัญญาณกองทหารที่ซุ่มซ่อนอยู่เข้าโอบล้อมบรรดาพวกโจรสลัดเมื่อเหล่าโจรสลัดเห็นเช่นนั้นจึงเข้าใจว่าทหารทางการยกกำลังมาจับกุมพวกมัน จึงละทิ้งของที่ปล้นมาหมดสิ้นและแยกย้ายกันหลบหนีเอาตัวรอดซุนเจียนก็ไล่ตามพวกมันไปและกลับมาพร้อมกับศีรษะของโจรผู้หนึ่งบิดาของเขาถึงกับตระหนกเป็นอันมากทีเดียวด้วยพฤติการณ์ครานี้จึงทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักเขตปกครองส่วนท้องถิ่นจึงแต่งตั้งให้เขารับตำแหน่งทางการทหาร

ต่อมาเจ้าลัทธินอกรีตนามสวีฉางลุกฮือขึ้นก่อการกบฎที่เมืองจวี้จางกระทำการอุกอาจตั้งตน “หยางหมิงหวงตี้” (จักรพรรดิหยางหมิง)ร่วมกับบุตรชายนามสวีเส้าก่อการปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในหลายหัวเมืองโดยมีสาวกเข้าร่วมเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ซุนเจียนในฐานะผู้บังคับการเขตปกครองส่วนท้องถิ่นรวบรวมผู้กล้าหาญได้กว่าหนึ่งพันคนจัดตั้งเป็นกองทหารอันเข้มแข็ง ทำการประสานงานกับกองกำลังต่าง ๆของบรรดาหัวเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตมณฑลเดียวกัน จนสามารถปราบปรามสวีฉางเป็นผลสำเร็จปีนั้นตรงกับซีผิงศกปีที่หนึ่ง (ค.ศ. 172) ข้าหลวงจังหมินถวายฎีกากราบทูลวีรกรรมของซุนเจียนไปยังราชสำนักจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งซุนเจียนเป็นที่“ผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมืองเหยียนตู้” ไม่กี่ปีต่อมาก็ได้รับโปรดเกล้า ฯเลื่อนขึ้นเป็นที่ “ผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมืองสวี่อี้” และได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งอีกครั้งในเวลาต่อมาให้เป็นที่“ผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมืองเซี่ยพี้” (เมืองแห้ฝือ)

จงผิงศกปีที่หนึ่ง(ค.ศ. 184) จางเจี่ยว (เตียวก๊ก)ผู้นำกองโจรโพกผ้าเหลืองลุกฮือขึ้นก่อการที่เว่ยจวิ้นกล่าวอ้างว่าตนมีพลังวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ จัดส่งศานุศิษย์แปดคนเดินทางไปทั่วราชอาณาจักรเพื่อป่าวประกาศคำสอน“วิถีทางแห่งความดีงาม” อันเป็นหลักคำสอนของลัทธิ จางเจี่ยวมีการเคลื่อนไหวติดต่อกับผู้ร่วมก่อการในทางลับและเรียกกลุ่มสมาคมของตนว่า “สันติภาพอันยิ่งใหญ่แห่งฟากฟ้าเหลือง” ครั้งถึงวันเจี๋ยจื่อในเดือนสาม กองกำลังจำนวนสามสิบหกหมื่นได้อุบัติลุกฮือขึ้นพร้อมกันโดยฉับพลันทำการรื้อถอนทำลายสถานที่ราชการเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและข้าราชการจำนวนมากถูกสังหาร ราชสำนักฮั่นจึงโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งเชอฉีเจียงจวิน (ผู้บัญชาการทหารม้า) – หวงฝู่ซง (ฮองฮูสง) และจงหลางเจี้ยง– จูจวิ้น (จูฮี) เป็นผู้บัญชาการทัพนครหลวงออกปราบปรามกบฎโพกผ้าเหลืองจูจวิ้นจึงถวายฎีกากราบทูลราชสำนักเสนอให้โปรดเกล้า ฯแต่งตั้งซุนเจียนเป็นผู้บังคับการกองกำลังสนับสนุน เหล่าบุรุษรุ่นเยาว์ในบ้านเกิดของซุนเจียนซึ่งติดตามเขามายังเมืองเซี่ยพี้ล้วนประสงค์ติดตามเขาออกศึกในครั้งนี้ด้วยในการนี้ซุนเจียนยังรวบรวมบรรดาพ่อค้าวานิชย์และทหารเกณฑ์ในแถบแม่น้ำไหวสุ่ยและซื่อสุ่ยจัดตั้งเป็นกองกำลังได้กว่าหนึ่งพันคน จึงยกไปเข้าร่วมกับจูจวิ้น ทำการออกศึกได้รับชัยชนะไร้ผู้ต้านทานทัพกบฎแถบหรู่หนานและอิ่งชวนถูกกดดันอย่างหนักหน่วงจนเตลิดหนีไปตั้งมั่นที่เมืองหว่านเฉิง(อ้วนเซีย) ทัพนครหลวงติดตามไปโอบล้อม ซุนเจียนรับผิดชอบในการบุกตีด้านหนึ่งเขาปีนขึ้นกำแพงเมืองไปเป็นบุคคลแรกจากนั้นเหล่าทหารผู้ติดตามก็ขึ้นกำแพงเมืองตามเขาไปดุจฝูงมดทัพกบฎจึงถูกปราบปรามลงอย่างราบคาบในครานั้น จูจวิ้นยื่นฎีกากราบทูลถวายรายละเอียดแห่งการศึกขึ้นไปยังราชสำนักซุนเจียนจึงได้รับโปรดเกล้า ฯให้เป็นผู้บังคับการกองกำลังอาสาซึ่งมีกองกำลังขึ้นต่อส่วนตัวโดยตรง

เปี้ยนจางและหานซุ่ย(หันซุย) ก่อความไม่สงบขึ้นในแดนเหลียงโจว จงหลางเจี้ยง (ชื่อตำแหน่งแม่ทัพ) –ต่งจั๋ว (ตั๋งโต๊ะ) นำทัพออกจู่โจมแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จงผิงศกปีที่สาม (ค.ศ.186) ซือคง – จางเวินได้รับโปรดเกล้า ฯให้ดำรงตำแหน่งเชอฉีเจียงจวิน (ผู้บัญชาการทหารม้า)กรีฑาทัพสู่ประจิมทิศเพื่อปราบปรามเปี้ยนจางและพรรคพวกจางเวินถวายฎีกาต่อราชสำนักขอให้มีรับสั่งเรียกตัวซุนเจียนมาเพื่อทำหน้าที่เสนาธิการทัพนครหลวงจากนั้นทั้งหมดก็ยกไปตั้งมั่นที่เมืองฉางอัน (เตียงฮัน)จางเวินอาศัยราชโองการเรียกตัวต่งจั๋วมายังค่ายทัพนครหลวงแต่ต่งจั๋วตรึกตรองเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะตอบรับการเรียกหาตามราชโองการ จางหนิจึงกล่าวตำหนิพฤติการณ์ครานี้ของต่งจั๋วต่งจั๋วกลับตอบโต้มิยอมสยบแม้แต่น้อยในคราวนั้นซุนเจียนก็นั่งอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยเขากระซิบที่ข้างหูจางเวินว่า “การที่ต่งจั๋วแสดงท่าทีและกล่าววาจายโสโอหังเช่นนี้เป็นเพราะมันมิได้เกรงกลัวว่าจะถูกลงทัณฑ์ สมควรบั่นศีรษะมันเสียด้วยเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามราชโองการเรียกหาภายในกำหนดเวลาทั้งนี้โดยอาศัยกฎอัยการศึก” จางเวินกล่าวตอบไปว่า“ต่งจั๋วเป็นขุนศึกที่มีชื่อเสียงในแดนหล่งซีและปาสู่ หากสังหารมันในวันนี้จะไม่เป็นผลดีต่อภาคประจิมเป็นมั่นคง”ซุนเจียนกล่าวขึ้นอีกว่า “ใต้เท้าผู้ปรีชานำทัพนครหลวงออกศึก มีอำนาจสั่นสะเทือนไปทั่วใต้ฟ้าท่านยังต้องการต่งจั๋วเพื่ออันใดเล่า ? พิเคราะห์จากวาจาของมันแล้วมันถึงกับไม่แม้แต่แสร้งแสดงมารยาทต่อท่านแม้แต่น้อยทั้งยังแสดงกริยาไร้คารวะต่อผู้บังคับบัญชา นี่ถือเป็นโทษสถานหนึ่งเปี้ยนจางและหานซุ่ยก่อการละเมิดกฎหมายล่วงมากว่าหนึ่งปีขณะนี้นับเป็นเวลาที่จะต้องรุกคืบเข้าปราบปรามแต่ต่งจั๋วกลับบอกกล่าวให้เราระงับความเคลื่อนไหวเท่ากับมันกระทำการหน่วงเหนี่ยวกองทัพให้ล่าช้า ก่อให้ใจคนสับสนนี่เป็นโทษประการสอง ต่งจั๋วได้รับการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ แต่กระทำการไร้ผลรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาล่าช้า ยกตนสูงส่ง แสดงกริยาหยิ่งยโสนี่เป็นโทษประการสามบรรดาขุนพลผู้มีชื่อยิ่งยงในประวัติศาสตร์ล้วนบัญชาการไพร่พลด้วยขวานอาญาสิทธิ์ในระหว่างหน้าศึกก็ไม่มีขุนพลผู้ใดมิได้บั่นเศียรผู้ล่วงละเมิดเพื่อแสดงอาชญาอำนาจนี่คือหลักการที่ซือหม่าหลางจวีตัดศีรษะจวงเจี๋ย และเหวยเจี่ยงที่ประหารหยางกั่น แม้วันนี้ใต้เท้าผู้ปรีชาท่านหยิบยื่นข้อเสนอให้ต่งจั๋วแต่ละเว้นการลงอาญาแก่มัน ก็จะส่งผลกระทบอันร้ายกาจต่อความเฉียบขาดของกฎอัยการศึกสิ่งนี้ย่อมปรากฎอย่างชัดแจ้ง” จางเวินมิอาจหักใจสั่งการดังกล่าวได้จึงกล่าวขึ้นว่า“ท่านสมควรกลับไปได้แล้ว มิเช่นนั้นต่งจั๋วจะเริ่มระแวงสงสัย”ซุนเจียนจึงเลิกราและจากไป ส่วนเปี้ยนจางและหานซุ่ยครั้นทราบข่าวว่าทัพใหญ่ของนครหลวงกำลังจะยกมาถึงบรรดาสมัครพรรคพวกที่ติดตามต่างแตกกระจัดกระจายออกไปและร้องขอสวามิภักดิ์ทัพหลวงจึงเคลื่อนพลกลับราชสำนักแต่ข้าราชการบางคนยังคงรั้งอยู่ดูสถานการณ์ซึ่งปราศจากการสู้รบเกิดขึ้นอีกจึงมิได้มีความชอบเพิ่มขึ้นแต่ประการใด เมื่อเรื่องราวที่ซุนเจียนลำดับโทษต่งจั๋วสามประการเพื่อกระตุ้นให้จางเวินสังหารต่งจั๋วถูกเล่าออกไปก็ไม่มีผู้ใดมิทอดถอนชมเชยในพฤติการณ์ครานี้ จากนั้นซุนเจียนก็ได้รับโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งจากราชสำนักให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางทหารขณะนั้นมีหัวหน้าโจรนามโอวซิงแห่งเมืองฉางซา (เตียงสา) เรียกตนเองเป็น “เจียงจวิน”(แม่ทัพ) นำสมัครพรรคพวกกว่าหมื่นคนเข้าโอบล้อมโจมตีตามเมืองและเขตชุมชนต่าง ๆซุนเจียนจึงได้รับการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เป็นที่ “ผู้ว่าราชการเมืองฉางซา”เขายกทัพไปถึงเมืองฉางซาและบัญชาการศึกถ่ายทอดคำสั่งไปยังบรรดาแม่ทัพและไพร่พลทหารด้วยตนเองกลยุทธของเขาประสบความสำเร็จ สามารถปราบปรามโอวซิงและพรรคพวกได้อย่างราบคาบ โจวเชาและกั๋วซื่อต่างพาพรรคพวกลุกฮือขึ้นที่เมืองหลิงหลิง(เลงเหลง) และกุ้ยหยาง (กุยเอี๋ยง) เพื่อประสานงานกับโอวซิงซุนเจียนจึงยกทัพออกจากเขตปกครองของตนเองเข้าปราบปรามจนเมืองทั้งสามกลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่งราชสำนักฮั่นรับฎีกาถวายรายงานความชอบครั้งนี้ ซุนเจียนจึงได้รับการโปรดเกล้า ฯพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นที่ “อู่เฉิงโหว”

ครั้นฮั่นหลิงตี้(พระเจ้าเลนเต้) ถึงกาลสวรรคต ต่งจั๋วยาตราทัพเข้าควบคุมราชสำนัก กระทำการโหดเหี้ยมเผด็จการหัวเมืองในมณฑลต่าง ๆ ล้วนชูธงก่อตั้งกองทัพธรรมเพื่อปราบปรามต่งจั๋วซุนเจียนก็ก่อตั้งกองทัพธรรมขึ้นเช่นกัน หวังรุ่ยผู้เป็นข้าหลวงแห่งจิงโจว(เกงจิ๋ว) เคยพบปะซุนเจียนและแสดงอาการไม่ให้เกียรติซุนเจียนจึงสังหารเขาเสียเมื่อเขาเดินทางผ่านมาในเขตปกครองของซุนเจียน เมื่อซุนเจียนเคลื่อนทัพมาถึงแดนหนานหยาง(ลำหยง) กองทัพของเขาก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นหลายหมื่นคน เมื่อจางจื๋อซึ่งรั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหนานหยางในขณะนั้นทราบข่าวว่ากองทัพของซุนเจียนยกมาถึงก็แสดงอาการต้อนรับโดยปลอดโปร่งซุนเจียนจึงกำนัลวัวและสุราเป็นการตอบแทนจางจื๋อก็รับของกำนัลโดยเดินทางมาแสดงความขอบคุณด้วยตนเองขณะที่ทั้งสองกำลังดื่มสุราด้วยกันอยู่นั้น ขุนนางฝ่ายธุรการแห่งฉางซาผู้หนึ่งเข้ามารายงานว่า“ทัพเราได้แจ้งทางเมืองหนานหยางไว้ก่อนแล้ว (ว่าจะเดินทางผ่าน)แต่ผู้น้อยพบว่ามิได้มีการบำรุงรักษาถนนหนทางให้เรียบร้อย ทั้งปราศจากเสบียงสนับสนุนการมาของทัพเราแต่อย่างใดขอให้นายท่านสั่งขังเจ้าหน้าที่ของมันไว้แล้วดำเนินการสอบปากคำให้ได้ความ”จางจื๋อบังเกิดความกลัว มองหาช่องทางที่จะหลบหนี แต่ก็มิอาจกระทำได้เพราะถูกทหารล้อมไว้ทั้งสี่ด้านไม่นานหลังจากนั้นขุนนางฝ่ายธุรการผู้นั้นก็กลับมารายงานอีกว่า “ผู้ว่าราชการเมืองหนานหยางลอบดำเนินการขัดขวางกองทัพธรรมของพวกเราเป็นเหตุให้กองทัพเรามิอาจกำจัดโจรกบฎโดยเร็วขอให้นายท่านจับกุมตัวไว้แล้วลงโทษตามกฎอัยการศึก” ดังนั้นจางจื๋อจึงถูกตัดศีรษะที่หน้าค่ายข้าราชการในเมืองหนานหยางล้วนสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าทัพซุนเจียนเรียกร้องอันใดทางเมืองหนานหยางล้วนส่งมอบให้ทั้งสิ้น

ระหว่างการเคลื่อนทัพสู่เมืองลู่หยางซุนเจียนได้พบปะหยวนซู่ (อ้วนสุด) และได้รับการแต่งตั้งโดยหยวนซู่ให้ดำรงตำแหน่ง “แม่ทัพปราบภัยพาล”ควบตำแหน่ง “ข้าหลวงประจำมณฑลอวี้โจว” จากนั้นเขาจึงตั้งประจำการณ์ที่เมืองลู่หยางครั้นพอใกล้ถึงเวลาที่ต้องปะทะกับต่งจั๋ว เขาได้มอบหมายให้นายเสมียนนามก่งโชวเฉิงเดินทางกลับไปดำเนินการเรื่องเสบียงทัพให้พรั่งพร้อมซุนเจียนสั่งการตั้งค่ายขึ้นทางบูรพาทิศของประตูเมืองแล้วจัดงานเลี้ยงส่งก่งโชวเฉิงก่อนออกเดินทาง ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของก่งโชวเฉิงได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วต่งจั๋วส่งทัพทหารม้าและทหารราบเป็นจำนวนหลายหมื่นนายเข้าโจมตีซุนเจียนโดยมีทหารม้าเร็วหลายสิบนายออกนำหน้าทัพ ขณะนั้นซุนเจียนกำลังเสพสุราเจรจาพาทีหัวร่อด้วยความสนุกครั้นมองเห็นกองทัพฝ่ายศัตรูกำลังมุ่งหน้ามาแต่ไกลก็สั่งการให้ไพร่พลของเขาเตรียมพร้อมแต่ห้ามมิให้เคลื่อนไหวใด ๆ โดยปราศจากคำสั่งเป็นอันขาด จนกระทั่งทัพม้าของศัตรูเพิ่มขึ้นเป็นลำดับซุนเจียนค่อยลุกออกจากเก้าอี้กลางงานเลี้ยงและนำไพร่พลกลับเข้าเมือง เขากล่าวกับผู้ติดตามในภายหลังว่า“เหตุที่เรามิได้สั่งการให้ถอยกลับเข้าเมืองในทันที ก็เพราะเราเกรงว่าไพร่พลทั้งหลายจะตื่นตระหนกจนเหยียบกันเองกีดขวางทางเข้าประตูเมืองเช่นนั้นแล้วพวกท่านทุกคนคงมิอาจกลับเข้าเมืองได้เป็นเด็ดขาด” เมื่อทัพของต่งจั๋วเห็นวินัยทางทหารกองทัพซุนเจียนก็มิกล้าที่จะล้อมเมืองสืบไปจึงต้องถอนทัพกลับ ต่อมาซุนเจียนย้ายฐานที่มั่นไปตั้งณ เบื้องบูรพาเมืองเหลียงเฉิง ต้องเผชิญกับการโจมตีเต็มรูปแบบจากกองทัพต่งจั๋วซุนเจียนอาศัยกองกำลังทหารม้าเพียงไม่กี่สิบนายฝ่าออกจากวงล้อมของทัพต่งจั๋ว ซุนเจียนมักใช้ผ้าโพกศีรษะสีแดงอยู่เสมอเขาจึงถอดผ้าโพกศีรษะออกแล้วมอบให้จู่เมา (โจเมา) ซึ่งเป็นนายทัพคนสนิทสวมใส่แทนทัพม้าของต่งจั๋วจึงต่างแย่งกันควบขับไล่ติดตามจู่เม่า ซุนเจียนจึงสามารถอาศัยทางแยกหลบหนีรอดไปได้ส่วนจู่เม่านั้นถูกไล่ติดตามอย่างหนักหน่วง เขาจึงลงจากหลังม้าแล้วนำผ้าโพกศีรษะนั้นวางไว้บนตอไม้บนหลุมฝังศพข้างทางจากนั้นก็หลบซ่อนตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ เมื่อหน่วยทหารม้าของต่งจั๋วติดตามมาจนพบผ้าโพกศีรษะก็ค่อยตีวงล้อมเข้าโอบพื้นที่ดังกล่าวครั้นแจ้งว่านั่นเป็นเพียงตอไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นก็ถอนกำลังจากไป ซุนเจียนทำการรวบรวมไพร่พลที่กระจัดกระจายกลับมาอีกครั้งแล้วเปิดศึกที่สมรภูมิหยางเหริน สามารถยัดเยียดความปราชัยให้แก่ทัพต่งจั๋วอย่างราบคาบทั้งยังตัดศีรษะแม่ทัพของต่งจั๋วนามหัวสยง (ฮัวหยง) และพรรคพวกได้อีกด้วยในเวลานั้นมีผู้กล่าววาจาให้ร้ายซุนเจียนต่อหยวนซู่ หยวนซู่จึงเกิดความระแวงไม่จัดส่งเสบียงข้าวเปลือกไปสนับสนุนทัพซุนเจียนด้วยเหตุที่สมรภูมิหยางเหรินอยู่ห่างจากเมืองลู่หยางกว่าร้อยหลี่ (ร้อย) ซุนเจียนจึงควบม้าฝ่าราตรีไปหาหยวนซู่แจกแจงแผนการทุกประการก่อนจะกล่าวแก่หยวนซู่ว่า “เบื้องบนข้าพเจ้าออกศึกปราบกบฎเพื่อองค์จักรพรรดิเบื้องล่างกล่าวได้ว่าข้าพเจ้าช่วยท่านชำระแค้นของตระกูลสิ่งนี้คือสาเหตุที่ข้าพเจ้าสู้ศึกโดยปราศจากความกังวลต่อความปลอดภัยของตัวเอง ทั้งที่ตระกูลของข้าพเจ้าก็มิได้มีข้ออาฆาตอันใดกับต่งจั๋วแต่ท่านกลับมาเชื่อฟังคำอสัตย์ หวาดระแวงโดยไร้เหตุผล”หยวนซู่บังเกิดความกระอักกระอ่วนเป็นที่ยิ่งจึงสั่งการให้จัดส่งข้าวเปลือกให้แก่ทัพซุนเจียนในทันที ซุนเจียนจึงกลับไปประจำการณ์ณ แนวหน้าแห่งสมรภูมิ ต่งจั๋วบังเกิดความกริ่งเกรงต่อความกล้าหาญเข้มแข็งของซุนเจียนจึงจัดส่งแม่ทัพหลี่เจวี๋ย (ลิฉุย)และคณะเดินทางไปเจรจาเพื่อจัดให้มีการสมรสดองญาติกับตระกูลซุน โดยกล่าวแก่ซุนเจียนว่าจะแต่งตั้งบุตรชายและพี่น้องของซุนเจียนเป็นข้าหลวงหรือผู้ว่าราชการระดับมณฑลทั้งให้คำมั่นว่าทั้งหมดจะได้รับการแต่งตั้งเป็นมั่นคง ซุนเจียนกล่าวตอบว่า “ต่งจั๋วเป็นปฏิปักษ์ต่อสวรรค์ปราศจากคุณธรรม เข่นฆ่าสังหารล้มล้างราชวงศ์ บัดนี้เว้นแต่เราจะได้สังหารมันสามชั่วโคตรเพื่อประกาศไปทั่วสี่ทิศทะเลมิเช่นนั้นเราคงมิอาจตายตาหลับ แล้วจะสามารถมีการสมรสดองญาติได้กระไรเล่า ?” เมื่อซุนเจียนเคลื่อนทัพถึงต้ากู่ห่างจากนครหลวงลั่วหยางราวเก้าสิบหลี่ ต่งจั๋วจัดการย้ายนครหลวงอพยพหนีไปทางประจิมทั้งเผาผลาญนครลั่วหยางตลอดจนบ้านเรือนราษฎรจนวาดวอยหมดสิ้นเมื่อซุนเจียนยกทัพเข้าเมืองลั่วหยางก็จัดการบูรณะหลุมฝังศพต่าง ๆที่ต่งจั๋วขุดทำลายเพื่อเอาสิ่งมีค่า เมื่อสำเร็จเสร็จสิ้นเขาก็ถอนทัพกลับไปตั้งมั่นที่เมืองลู่หยาง

ชูผิงศกปีที่สาม(ค.ศ. 192) หยวนซู่บัญชาซุนเจียนให้ยกทัพเข้าตีหลิวเปี่ยว (เล่าเปี่ยว) แห่งจิงโจวหลิวเปี่ยวบัญชาให้หวงจู่ (หองจอ) รับศึกซุนเจียน ณ ท้องที่ระหว่างเมืองฝานเฉิง(ห้วนเสีย) และเติงเฉิง ซุนเจียนยกทัพเข้าตีได้ชัยชนะเหนือทัพจิงโจว จึงเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำฮั่นสุ่ยเข้าล้อมเมืองเซียงหยาง(ซงหยง) ซุนเจียนควบม้าเพียงลำพังขึ้นเขาเซียนซาน ถูกทหารของหวงจู่ยิงเกาทัณฑ์สังหารถึงแก่อสัญกรรมบุตรชายของพี่ชายใหญ่ของเขานามซุนเปินสืบทอดอำนาจในการสั่งการแม่ทัพและไพร่พลทหารรวมถึงบรรดาผู้ติดตามนำกองทัพทั้งหมดเดินทางไปหาหยวนซู่ หยวนซู่จึงแต่งตั้งซุนเปินให้ดำรงตำแหน่ง “ข้าหลวงประจำมณฑลอวี้โจว”

ซุนเจียนมีบุตรชายสี่คนได้แก่ซุนเช่อ (ซุนเซ็ก) ซุนเฉวียน (ซุนกวน) ซุนอี้ (ซุนเซียง) และซุนควง ครั้นซุนเฉวียนสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิในภายหลังก็ได้สถาปนายศย้อนหลังให้แก่บิดาเป็นที่ “อู่เลี่ยหวงตี้”




 

Create Date : 17 เมษายน 2555
0 comments
Last Update : 17 เมษายน 2555 5:05:52 น.
Counter : 5760 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ElClaSsicA
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ElClaSsicA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.