๑ สํ.ส.อ.๒๔ หน้า ๔๗ (อรรถกถาอุปเนยยสูตร)
อนิพฺพตฺเตน น ชาโต ปจฺจุปฺปนฺเนน ชีวติ จิตฺตภงฺคมโต โลโก ปญฺญตฺติ ปรมตฺถิยา.[เพราะจิตไม่เกิด สัตว์โลกก็ชื่อว่าไม่เกิด เพราะจิตเกิดขึ้นเฉพาะหน้า สัตว์โลกก็ชื่อว่าเป็นอยู่ เพราะความแตกดับแห่งจิต สัตว์โลกจึงชื่อว่าตายแล้ว นี้เป็นบัญญัติเนื่องด้วยปรมัตถ์.]
๒ ที.ปา.๑๑/๓๐๖/๒๐๗; อภิ.วิ.๓๕/๑๒๐/๗๕. วิญญาณธาตุ ๖
๓ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิต [ชีวิต น. ความเป็นอยู่, ตรงข้ามกับ ความตาย. (ป., ส.).]
๔ อภิ.สํ.๓๔/๙๕๕/๓๒๘ อุปาทินนกธรรม
[๙๕๕] อุปาทินนธรรม เป็นไฉน? วิบากในภูมิ ๓ และรูปที่กรรมแต่งขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อุปาทินนธรรม.
สงฺคห ปริจเฉทที่ ๑ หน้า ๖๐
อุปาทินนกรูป แปลว่า รูปที่กรรมยึดครอง คือรูปที่เป็นผลเกิดจากกรรมได้แก่กรรมชรูป คือรูปเกิดแต่กรรมนั้นเอง รูปนี้มี ๑๘ ชนิด คือ ปสาทรูป ๕ ภาวรูป ๒ หทยรูป ๑ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ อวินิพโภครูป ๘ เหล่านี้เรียกว่าอุปาทินนกรูป ส่วนรูปที่เหลืออีก ๑๐ ชนิด คือสัททรูป ๑ วิญญัติรูป ๒ วิการรูป ๓ ลักขณรูป ๔ เรียกว่าอนุปาทินนกรูป แปลว่ารูปที่ไม่ถูกกรรมยึดครอง คือรูปที่ไม่เป็นผลเกิดจากกรรม
๕ สํ.ส.อ.๒๔ หน้า ๔๕ ชีวิตนาม
ก็เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ขณะแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยมาก (เกินเปรียบ) คือสักว่าเป็นไปเพียงจิตดวงเดียวเท่านั้น (ว่าโดยปรมัตถ์ ขณะมี ๓ คือ อุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ) จึงชื่อว่า น้อย เพราะความที่
ชีวิตนามนั้นเป็นของเป็นไปกับด้วยขณะ. อุปมาด้วยล้อแห่งรถ แม้เมื่อหมุนไป ย่อมหมุนไปโดยส่วนแห่งกงรถหนึ่งเท่านั้น แม้เมื่อหยุดอยู่ ก็ย่อมหยุดโดยส่วนแห่งกงรถหนึ่งนั่นแหละ ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปในขณะแห่งจิตดวงหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นเมื่อจิตดวงนั้นสักว่าแตกดับแล้ว ท่านก็เรียกว่า สัตว์ตายแล้ว
๖ ขุ.ปฏิ.อ.๖๘ หน้า ๒๓๕
สหชาตธรรมดำรงอยู่ได้ด้วยธรรมชาตินั้น ฉะนั้นธรรมชาตินั้นชื่อว่า
ชีวิต, ชื่อว่า
ชีวิตินทรีย์ เพราะทำชีวิตินทรีย์นั้นให้เป็นใหญ่ ในลักษณะแห่งการอนุบาลรักษาสหชาตธรรม.
ชีวิตินทรีย์นั้นมี ๒ อย่าง คือ รูปชีวิตินทรีย์ ๑. อรูปชีวิตินทรีย์ (นามชีวิตินทรีย์) ๑. ธรรมชาติที่เกิดร่วมกับกัมมชรูปทั้งหมด อนุบาลรักษาสหชาตรูปไว้ ชื่อว่า
รูปชีวิตินทรีย์, เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทั้งหมด อนุบาลรักษาสหชาตนามธรรมไว้ ชื่อว่า
อรูปชีวิตินทรีย์.
๗ สงฺคห ปริจเฉทที่ ๑ หน้า ๕ เจตสิก
สิ่งที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์และวัตถุ (คือที่อาศัยเกิด) ร่วมกับจิตเป็นสิ่งที่ประกอบอยู่กับจิตเท่านั้น เรียกว่า เจตสิก ได้แก่นามขันธ์ ๓ คือเวทนาขันธ์ ๓ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ ในเบญจขันธ์นั่นเอง กล่าวคือขันธ์ทั้ง ๓ นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ประกอบกับใจเท่านั้น เช่น เวทนาขันธ์อันได้แก่สุข ทุกข์ อุเบกขา โสมนัส และโทมนัส เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ประกอบกับจิตเท่านั้น ถ้าไม่มีจิต เวทนาก็เกิดขึ้นไม่ได้ สัญญา และสังขารก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่เกิดขึ้นในจิต ประกอบกับจิตใจทั้งสิ้น
๘ สงฺคห ปริจเฉทที่ ๔ หน้า ๘
ขณะ คือจิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งก็นับเป็นขณะหนึ่ง เรียกว่า ขณะจิต บางที่ก็เรียกว่า ขณะเฉยๆ แต่ว่าจิตที่เกิดขึ้นดวงหนึ่งที่เรียกว่าขณะหนึ่งนั้นยังแบ่งได้เป็น ๓ อนุขณะ หรือ ๓ ขณะเล็กคือ
อุปาทขณะ หมายถึง ขณะที่จิตเกิดขึ้น ๑ อนุขณะ
ฐิติขณะ หมายถึงขณะที่จิตที่ตั้งอยู่ ๑ อนุขณะ และ
ภังขณะ หมายถึง ขณะที่จิตนั้นดับไป ๑ อนุขณะหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าขณะจิตหรือจิตแต่ละดวงนั้นมีอยู่ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ๑ ฐิติขณะ ๑ ภังคขณะ ๑ อนึ่ง จิต ๑๗ ขณะ เท่ากับอายุของรูปธรรมรูป ๑ กล่าวคือจิตเกิดดับไป ๑๗ หน รูปจึงดับไปหนหนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รูปแต่ละรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับไป ๑๗ ขณะหรือ ๑๗ หน ดังนั้นรูปแต่ละรูปจึงมีอายุเท่ากับ ๕๑ อนุขณะ หรือ ๕๑ ขณะเล็ก เป็นอุปาทขณะ คือ ขณะที่รูปเกิดขึ้น ๑ อนุขณะ, เป็นฐิติขณะ คือ ขณะที่รูปตั้งอยู่ ๔๙ อนุขณะ และเป็ยภังคขณะ คือขณะที่รูปดับไป ๑ อนุขณะ
โดยนัยนี้จึงเห็นว่า อุปาทขณะของจิตกับอุปาทขณะของรูปมี ๑ อนุขณะเท่ากัน ภังคขณะของจิตกับภังคขณะของรูปก็มี ๑ อนุขณะเท่ากันอีก, ส่วนฐิติขณะของจิตก็มี ๑ อนุขณะ แต่ฐิติขณะของรูปนั้นมีถึง ๔๙ อนุขณะ รูปจึงมีอายุยาวกว่าจิตมาก รูปที่มีอายุเท่ากับ ๑๗ ขณะจิต หรือ ๕๑ อนุขณะนั้น มีชื่อเรียกว่า สตตรสายุกรูป คือรูปที่มีอายุชั่ว ๑๗ ขณะจิต
รูปธรรมทั้งหมดมี ๒๘ รูป แต่เป็น สตตรสายุกรูป คือรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะจิตเพียง ๒๒ รูปเท่านั้น ส่วนอีก ๖ รูปคือ วิญญัติรูป ๒ และลักขณะรูป ๔, หามีอายุถึง ๑๗ ขณะจิตไม่ เพราะวิญญัติรูป ๒ เป็นรูปที่เกิดพร้อมกับจิตและดับไปพร้อมกับจิต จึงมีอายุเท่ากับอายุของจิตดวงเดียวคือ ๓ อนุขณะเท่านั้น
๙ ส่วนลักขณะรูป ๔ นั้น อุปจยรูปกับสันตติรูป เป็นรูปที่ขณะแรกเกิด คือ อุปาทขณะ มีอายุเพียง ๑ อนุขณะเท่านั้นไม่ถึง ๕๑ ขณะ, ชรตารูป เป็นรูปที่ตั้งอยู่คือฐิติขณะ มีอายุ ๔๙ อนุขณะเท่านั้นไม่ถึง ๕๑ ขณะ, และอนิจจตารูปที่กำลังดับไป คือภังคขณะ ก็มีอายุเพียง ๑ อนุขณะ ไม่ถึง ๕๑ ขณะ เป็นอันว่าลักขณะรูปทั้ง ๔ นี้ แต่ละรูปก็หามีอายุไม่ถึง ๕๑ อนุขณะแต่สักรูปหนึ่งไม่
๙ สงฺคห ปริจเฉทที่ ๑ หน้า ๑๑
ชีวิตรูป แปลว่า รูปที่ทำให้ดำรงอยู่ ทำให้เป็นอยู่ได้ หมายความว่า ทำให้กรรมชรูป (รูปเกิดจากกรรม เช่น ปสาทรูป และภาวรูป เป็นต้น) ดำรงอยู่ได้ โดยชีวิตรูปนี้ทำหน้าที่ธำรงสหชาตรูป (รูปที่เกิดร่วมกับตน คือกรรมชรูป) มิได้สลายไป กล่าวคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น ที่สามารถทำหน้าที่ได้อยู่ ยังเป็นอยู่ได้ ก็เพราะมีชีวิตรูปรักษาไว้ ธำรงไว้ตลอดอายุ
๑๐ อภิ.วิ.๓๕/๒๓๘/๑๑๗
ชีวิตินทรีย์ เป็นไฉน ? ชีวิตินทรีย์มี ๒ อย่างคือ รูปชีวิตินทรีย์ อรูปชีวิตินทรีย์ ในชีวิตินทรีย์ ๒ อย่างนั้น
รูปชีวิตินทรีย์ เป็นไฉน ? อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่สืบเนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิต อินทรีย์คือชีวิต ของรูปธรรมนั้นๆ อันใด นี้เรียกว่า รูปชีวิตินทรีย์.
อรูปชีวิตินทรีย์ (นามชีวิตินทรีย์) เป็นไฉน ? อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่สืบเนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิต อินทรีย์คือชีวิต ของนามธรรมนั้นๆ อันใด นี้เรียกว่า อรูปชีวิตินทรีย์.
อภิ.ธา.อ.๗๙ หน้า ๒๔
คำว่า
"ชีวิตินฺทฺริยฺ ทฺวีหิ ขนฺเธหิ" ความว่า รูปชีวิตินทรีย์นับสงเคราะห์ได้ด้วยรูปขันธ์
อรูปชีวิตินทรีย์นับสงเคราะห์ได้ด้วยสังขารขันธ์.
วิ.ม.อ.๒ หน้า ๓๘๒
ในบทว่า อินทรีย์คือชีวิต นั้น อินทรีย์คือชีวิต มี ๒ อย่าง คือ รูปชีวิตินทรีย์๑ อรูปชีวิตินทรีย์๑. ใน ๒ อย่างนั้น ในอรูปชีวิตินทรีย์ ไม่มีความพยายาม ใครๆ ไม่สามารถปลงอรูปชีวิตินทรีย์นั้นได้. แต่ในรูปชีวิตินทรีย์ มีบุคคลอาจปลงได้. ก็เมื่อปลงรูปชีวิตินทรีย์นั้น ชื่อว่า ปลงอรูปชีวิตินทรีย์ด้วย. จริงอยู่ อรูปชีวิตินทรีย์นั้น ย่อมดับพร้อมกับรูปชีวิตินทรีย์นั้นนั่นเอง เพราะมีพฤติการณ์เนื่องด้วยรูปชีวิตินทรีย์นั้น.
อภิ.สํ.อ.๗๖ หน้า ๒๔๔ (อรรถกถาชีวิตินทริยนิทเทส)
พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งชีวิตินทรีย์..
สหชาตรูปานุปาลนลกฺขณํ ชีวิตินฺทริยํ ชีวิตินทรีย์มีการตามรักษารูปที่เกิดพร้อมกันเป็นลักษณะ (สภาวะ)
เตสํ ปวตฺตนรสํ มีความเป็นไปของรูปธรรมเหล่านั้นเป็นรส (กิจ หน้าที่ ความถึงพร้อม)
เตสฺเยว ปนปจฺจุปฏฺานํ มีความดำรงอยู่ซึ่งรูปธรรมเหล่านั้นนั่นแหละเป็นปัจจุปัฏฐาน (อาการปรากฏ)
ยาจยิตพฺพภูตปทฏฺานํ มีภูตรูปอันยังรูปธรรมให้ดำเนินไปเป็นปทัฏฐาน (เหตุใกล้ให้เกิด) ดังนี้แล.
๑๑ สงฺคห ปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๕๗
ตามปกตินั้น จิตเป็นสิ่งที่รับรู้อารมณ์ ต้องมีอารมณ์จึงจะเกิดขึ้นได้ และจิตนั้นก็มีการเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา การเกิด-ดับนี้กำหนดเป็น ๓ ขณะ คือ อุปปาทะ (ขณะเกิด) ฐิติ (ขณะตั้งอยู่) และภังคะ (ขณะดับ) การเกิด-ดับของจิตนี้เป็นไปรวดเร็วมาก มีคำกล่าวว่า ชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น จิตจะเกิด-ดับถึงแสนโกฏิขณะ แม้จิตจะเกิด-ดับรวดเร็วอย่างนี้ จิตก็คิดอ่านหาอารมณ์อยู่เสมอ คิดปล่อยอารมณ์หนึ่งไปอารมณ์หนึ่งอยู่ตลอดเวลา
สงฺคห ปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๖๔
เรื่องกิจและฐานของจิตที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะการทำงานของจิตนั้นกำหนดตามขณะจิตที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ ๆ ไป การเกิดดับของจิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว ขนาดที่กำหนดกันว่าชั่วลัดนิ้วมือเดียว จิตก็เกิดดับนับได้ถึงแสนโกฏิครั้ง ดังนั้น การทำงานของจิตจึงเป็นไปโดยรวดเร็ว ยากที่จะเห็นได้ กำหนดได้แต่เพียงว่าจิตนั้นทำงานทุก ๆ ขณะจิต ตามลำดับกิจนั้น ๆ นับแต่ปฏิสนธิกิจเป็นต้นไป
๑๒ ขุ.อิติ.อ.๔๕ หน้า ๔๔๓
อธิบายว่า การฆ่าสัตว์มีชีวิต อนึ่งขันธสันดานที่เรียกกันว่าสัตว์ ชื่อว่า ปาณะ ในคำว่า
ปาณาติปาโต นี้ ขันธสันดานนั้นโดยปรมัตถ์ ได้แก่รูปชีวิตินทรีย์ และอรูปชีวิตินทรีย์. แท้จริงเมื่อรูปชีวิตินทรีย์ที่บุคคลให้พินาศแล้ว อรูปชีวิตินทรีย์นอกนี้ก็พินาศไป เพราะอรูปชีวิตินทรีย์เนื่องกับรูปชีวิตินทรีย์นั้น.
เจตนาคิดจะฆ่าของผู้มีความสำคัญในสัตว์มีชีวิตนั้น ว่าเป็นสัตว์มีชีวิต ที่ยังความพยายาม อันเข้าไปตัดขาดชีวิตินทรีย์ให้ตั้งขึ้นเป็นไปแล้ว ทางกายทวาร และวจีทวาร ทวารใดทวารหนึ่ง ชื่อว่าปาณาติบาต.
๑๓ ม.มู.อ.๑๗ หน้า ๕๗๐
เจตนานั้นเอง ท่านเรียกว่า มโนสัญเจตนา....อธิบายว่า กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยพิเศษของรูปกายของสัตว์ทั้งหลายผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา ผัสสาหารเป็นปัจจัยพิเศษของเวทนา ในหมวดนาม มโนสัญเจตนาหารเป็นปัจจัยพิเศษของวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยพิเศษของนามรูป. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้อาศัยอาหารจึงดำรง (ชีพ) อยู่ได้ ไม่มีอาหาร ดำรง (ชีพ) อยู่ไม่ได้ ฉันใด. เหมือนอย่างเวทนาเกิดมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย นามรูปเกิดมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย.
ถามว่า ก็ในอาหารวาระนี้ อาหารอะไร นำอะไรมาให้ ?
ตอบว่า กวฬิงการาหาร นำรูปมีโอชะเป็นที่ ๘ มาให้ (อวินิพโภครูป ๘) ผัสสาหารนำเวทนา ๓ มาให้ มโนสัญเจตนาหาร นำภพทั้ง ๓ มาให้ วิญญาณาหาร นำนามรูปในปฏิสนธิมาให้
มโนสัญเจตนาหาร คือกรรมที่จะให้เข้าถึงกามภพ จะนำกามภพมาให้. ที่จะให้เข้าถึงรูปภพและอรูปภพ ก็จะนำรูปภพและอรูปภพมาให้.
๑๔ อภิ.วิ.๓๕/๑๐๙๙/๕๑๒
[๑๐๙๙] ในขณะที่เกิด ขันธ์เท่าไรย่อมเกิดปรากฏ ฯลฯ จิตเท่าไรย่อมปรากฏ แก่เหล่าเทวดาอสัญญสัตว์ ? ในขณะที่เกิด ขันธ์ ๑ คือ
รูปขันธ์ ย่อมเกิดปรากฏแก่เหล่าเทวดาอสัญญสัตว์. อายตนะ ๒ คือ รูปายตนะ ธัมมายตนะ ย่อมเกิดปรากฏ.
ธาตุ ๒ คือ รูปธาตุ ธัมมธาตุ ย่อมเกิดปรากฏ.
สัจจะ ๑ คือ ทุกขสัจจะ ย่อมเกิดปรากฏ.
อภิ.วิ.อ.๗๘ หน้า ๙๙๕
อินทรีย์ ๑ คือ รูปชีวิตินทรีย์ย่อมเกิดปรากฏ. เหล่าเทวดาอสัญญสัตว์ ไม่มีเหตุ ไม่มีอาหาร ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีเจตนา ไม่มีจิต ย่อมเกิดปรากฏ.
๑๕ อภิ.สํ.อ.๗๖ หน้า ๘๑
๑๖ สงฺคห ปริจเฉทที่ ๔ หน้า ๘
๑๗ ขุ.ธ.อ.๔๐ หน้า ๔๑๒ เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ [๒๗]
ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.[ชนเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระ มีถ้ำเป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร.]
๑๘ ที.สี.๙/๑๓๒/๗๒ มโนมยิทธิญาณ
[๑๓๒] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตรกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝักดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง..
๑๙ ที.สี.๙/๑๓๓/๗๓ อิทธิวิธญาณ
[๑๓๓] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลง แม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือ ของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้...
๒๐ องฺ.ติก.๒๐/๕๗๖/๒๗๓ (อุปปาทสูตร)