ใจเจ๊ก บทที่ 7
นวนิยาย ใจเจ๊ก โดย เดชา เวชชพิพัฒน์ บทที่ 7 พรเพ็ญขับรถออกจากซอยไปจากที่หน้าร้านกาแฟบอกตัวเองในฐานะหลานและในฐานะสื่อมวลชนสายการเมือง ไหนๆก็ขับรถมาตั้งหลายชั่วโมงควรให้อากงเห็นหน้า และควรสังเกตการณ์บรรยากาศสภากาแฟในจังหวัดบ้านเกิดดูว่าคนรุ่นปู่รุ่นตามีความคิดเห็นอย่างไรกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน เธอมองโต๊ะใหญ่หน้าร้านที่มีคนนั่งอยู่เต็มเมื่อไม่เห็นตาจึงมองเลยเข้าไปเห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะกลางร้านกับชายวัยเดียวกันสองคน บนโต๊ะมีถ้วยกาแฟ ถ้วยน้ำชากาน้ำชา และจานใส่ปาท่องโก๋ เธอเดินเข้าไปใกล้ แล้วกล่าวทักทายแบบธรรมเนียมจีนแล้วทรุดตัวลงนั่ง อาหมวย ลื้อมาตั้งแต่เมื่อไร ตาของเธอกล่าวเสียงแหบแห้งเพราะสูบบุหรี่มาตั้งแต่เป็นหนุ่มถึงตอนนี้ก็ยังสูบอยู่ พรเพ็ญเห็นสภาพร่างกายเขาแล้วใจเสีย ตาดูแก่กว่าเธอที่เคยเจอเมื่อหลายเดือนราวกับเวลาผ่านไปห้าหรือหกปี เห็นแล้วทำให้ใจไม่ดี เธอสูดลมหายใจเต็มปอดเพื่อให้ช่วยคลายอาการลำคอตีบตันก่อนกล่าว มาเมื่อครู่เอง แวะหาอาม่าแล้ว ม้าฝากไวตามินมาหลายขวด อากงอย่าลืมกินนะ พรเพ็ญไม่ได้บอกว่าเธอมาครั้งนี้เพื่อทำบุญในวัดที่เธอศรัทธราเป็นที่สุดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่น้องชายที่จากไป รวมทั้งแวะเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสทั้งสองเพราะสมาชิกในครอบครัวไม่อยากพูดถึงการจากไปของพรชัยที่เป็นทายาทชายคนเดียวของทั้งสองตระกูล ตาของพรเพ็ญผายมือไปทางชายคนที่นั่งด้านซ้ายของเขา คนนี้เถ้าแก่ฮก พรเพ็ญไหว้ขณะที่เถ้าแก่ฮกยิ้ม จากนั้นเขาผายมือไปทางขวาแล้วกล่าว คนนี้ลุงสุวัฒน์ เคยทำงานที่อำเภอ พรเพ็ญหันไปไหว้ชายผู้ดูอ่อนวัยกว่าตาเธอหลายปีสุวัฒน์รับไหว้แล้วหันไปถามตาของพรเพ็ญ คนนี้ใช่ไหมที่เล่าให้ฟังบ่อยๆว่าเป็นนักข่าวอยู่ในกรุงเทพ ใช่เลี้ยว ตาของพรเพ็ญกล่าวแบบคนพูดไทยไม่ชัด สุวัฒน์หันมาถามพรเพ็ญ พวกลุงกำลังคุยเรื่องม็อบที่สถานีรถไฟอยู่พอดีเลย เจอนักข่าว กทม. อย่างหนูก็ดีแล้วขอถามว่าเหตุการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง พรเพ็ญยิ้มบางๆ ยิ่งมาคนก็ยิ่งเยอะค่ะ ดูในข่าวก็เห็นว่าแน่นเชียว ทำไมไปจัดตรงนั้นล่ะ ที่แคบนิดเดียว พรเพ็ญกล่าวยิ้มๆ เป็นเพราะอยู่ใกล้พรรคการเมืองของผู้นำม็อบไงคะ ใกล้สถานีรถไฟด้วย คนมาจากต่างจังหวัดไม่ต้องไปไหนต่อลงรถไฟปุ๊บร่วมม็อบได้ปั๊บ ฮ่าๆๆ เถ้าแก่ฮกกล่าวอย่างอารมณ์ดีพรเพ็ญชื่นชมที่ได้ยินเขาพูดไทยชัดกว่ารูปร่างหน้าตาที่ดูเป็นอาแปะ ลื้อว่าม็อบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนล่ะ โขลกๆ ตาของพรเพ็ญถามไปไอไปเสียงดังจนพรเพ็ญกลัวกระเดือกของเขาหลุดออกมาบนโต๊ะ คงอยู่ได้นานค่ะอากง ทำไมล่ะ สุวัฒน์ถามบ้าง ถ้าเป็นเวลาทำงานพรเพ็ญคงคิดนานก่อนตอบคำถามนี้อย่างเป็นกลางที่สุดแต่ในเวลานี้ที่เธออยู่กับตาและเพื่อนตา จึงตอบตรงกับใจ ที่แน่ๆคือคนอย่างน้อยครึ่งประเทศไม่เอารัฐบาลนี้แล้วค่ะคุณลุงก็คงทราบนะคะว่าทำไม เรื่องจำนำข้าวใช่ไหม ลุงดูในคอมพิวเตอร์ของลูก เห็นคลิปรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ตอบคำถามเรื่องจำนำข้าวแล้วสงสารประเทศไทยจริงๆอึกๆอักๆ เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย พรเพ็ญยิ้มรับ เรื่องจำนำข้าวเป็นเรื่องหนึ่งค่ะแต่เรื่องที่สำคัญคือพยายามออกกฎหมายแบบลักหลับไงคะ ผู้อาวุโสทั้งสามหัวเราะพร้อมกันตาของพรเพ็ญยิ้มให้หลานก่อนกล่าว เก๋าเจ้งจริงๆยกมือออกกฎหมายกันตอนตี่สี่ คงนึกว่าไม่มีใครดู แต่อั๊วดู ฮ่าๆๆ โขลกๆๆ พรเพ็ญรีบรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยกให้ตาเขารับไปจิบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สรุปก็คือนายกฯ คนสวยไม่ได้เข้ามาทำงานเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อพี่ชายสุวัฒน์กล่าว แต่คนชื่นชมเขาก็มี เถ้าแก่ฮกกล่าว ใช่สิ ลื้อเป็นเจ้าของโรงสีนี่ สุวัฒน์กล่าวท่าทางทีเล่นทีจริง ฮกรีบโบกมือ อั๊วไม่เกี่ยวนาอย่าเอาอั๊วไปยุ่งด้วย โรงสีอั๊วขนาดเล็ก โกดังก็ขนาดเล็กไม่มีที่เก็บข้าวผีหรอกจะบอกให้ ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะพรเพ็ญหันถามเถ้าแก่ฮกอย่างเป็นงานเป็นการ มีคนมาขอให้สวมสิทธิ์บ้างไหมคะ ไม่มี้ เถ้าแก่ฮกถึงกับขึ้นเสียงสูงแล้วลุกยืน อั๊วขอตัวก่อนดีกว่า ไม่อยากคุยกับนักข่าว เดี๋ยวจะเดือดร้อน กล่าวแล้วผู้อาวุโสเจ้าของโรงสีก้าวออกไปจากโต๊ะสุวัฒน์และตาของพรเพ็ญพยายามเหนี่ยวรั้งก็ไม่ได้ผล นักข่าวอย่างเธอชินเสียแล้วกับสถานการณ์แบบนี้จึงไม่รู้สึกอะไร แบบนี้เรียกว่าทำตัวมีพิรุธ สุวัฒน์กล่าว ช่าย โขลกๆ สงสัยต้องเรียกคุณหมอนักสืบมาตรวจโกดังสักหน่อย โขลกๆๆตาของพรเพ็ญหมายถึง ส.ส.ฝ่ายค้านผู้เปิดเผยเรื่องไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวเคยเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลในจังหวัดภาคเหนือ แล้วหนูว่าเรื่องมันจะจบอย่างไรล่ะ สุวัฒน์ถาม พรเพ็ญตอบทันที ที่ตอบได้แน่ๆคือเรื่องไม่จบง่ายๆค่ะอาจประท้วงกันนานหลายเดือนหรือเป็นปี อาจมีการยุบสภา หรือนายกฯ ลาออกแต่ก็ไม่จบแค่นี้ ไม่จบแค่นี้แล้วจบแค่ไหน จบที่ทหารออกมายึดอำนาจไงคะ สุวัฒน์ขมวดคิ้ว คงเป็นไปไม่ได้หรอกลุงดูท่าทาง ผบ.ทบ. คนนี้แล้ว เกรงใจนายกฯ คนสวยจะตายไป คงไม่ยอมทำแน่ๆคงอยู่ในตำแหน่งจนเกษียณแบบไม่ต้องมีศัตรู พรเพ็ญรู้อะไรมากกว่านั้น แต่เธอไม่อาจบอกผู้ใหญ่ทั้งสองได้จึงกล่าวอย่างขอไปที ก็ต้องดูกันต่อไปค่ะ แสดงว่าหนูรู้อะไรดีๆ บอกลุงหน่อยสิ รับรองจะเก็บเป็นความลับ สุวัฒน์กล่าวอย่างรู้ทัน พรเพ็ญยิ้มแห้งๆ หนูไม่รู้อะไรหรอกค่ะ บอกหน่อยน่าอาหมวย อาสุวัฒน์ไม่ไม่พูดต่อหรอก อั๊วรับรองได้ส่วนอั๊วเองอีกไม่กี่วันก็ตายเลี้ยว ไม่มีเวลาไปบอกใครหรอก โขลกๆ ตาของพรเพ็ญกล่าวอย่างตรงความรู้สึก พรเพ็ญขยับไปจับแขนตามาลูบเบาๆ โธ่ อากง ทำไมพูดแบบนี้ ก็จริงๆนี่หว่า ไอจนบ้านสะเทือนแบบนี้ อากงไม่หยุดสูบบุหรี่นี่ หยุดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ ลื้อไม่ต้องพูดเรื่องอั๊วตอบคำถามอาสุวัฒน์มาเร็วๆ พรเพ็ญเห็นใจตาที่อยากรู้จนถึงขนาดพูดให้ร้ายตัวเองจึงตอบเรียบๆ หนูบอกได้เพียงว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น สุวัฒน์ยิ้มอย่างพอใจ ลุงรู้นะว่าหนูหมายถึงอะไรเอ้า จะเชื่อตามที่หนูบอก อย่างน้อยจะได้สบายใจว่าประเทศเรามีทางออกลุงเชื่อมาตลอดว่าทหารของพระราชาย่อมเป็นทหารของพระราชาไม่มีใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ ตาของพรเพ็ญพยักหน้าแล้วกล่าวสนับสนุน อั๊วก็เชื่อลื้อนะอาหมาย เป็นทหารต้องจงรักภักดีต่อแผ่นดิน พรเพ็ญยิ้มรับคำตา มองนาฬิกาบนผนังร้านแล้วกล่าว อั๊วไปก่อนนะ ต้องขับรถอีกหลายชั่วโมง ลื้อฝันถึงอาตี๋บ้างหรือเปล่า โขลกๆ อั๊วคิดถึงมัน ฝันถึงบ่อยๆอีกไม่นานก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว พรเพ็ญฟังแล้วรู้สึกว่าลำคอตีบตันขึ้นมาทันทีเธอลูบแขนตาอีกครั้ง อากงอย่าพูดอย่างนี้สิ ลื้อไม่ต้องรีบไปไหนหรอกอยู่ดูจนถึงวันที่อั๊วบอกแหละ ตาของพรเพ็ญพยักหน้ารู้ดีว่าหลานสาวต้องขับรถอีกหลายชั่วโมงจึงกล่าว ลื้อขับรถดีๆนะไม่ต้องรีบ พรเพ็ญยิ้มรับคำตาเธอไหว้ลาสุวัฒน์ เขารับไหว้แล้วกล่าว ไม่ค้างสักคืนล่ะขับรถหลายชั่วโมงแบบนี้เดี๋ยวหลับในขึ้นมาจะยุ่ง พรเพ็ญยิ้ม ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าง่วงหนูจะกินกาแฟหรือไม่ก็งีบที่ปั๊มน้ำมัน เอางั้นเหรอ ค่ะ ต้องรีบกลับไปทำงาน กล่าวกับสุวัฒน์แล้วเธอหันไปกล่าวกับตาอั๊วไปก่อนนะ อย่าลืมกินไวตามินที่ม้าซื้อมาฝากล่ะ เออๆๆ รีบไป ตาของพรเพ็ญกล่าวแล้วโบกมือ พรเพ็ญลุกยืนแล้วก้าวออกจากร้าน ขณะพรเพ็ญขับรถออกจากหน้าร้านขายกาแฟการพูดคุยกับตาและยายทำให้เธอนึกถึงน้องชายขึ้นมาจับใจ หากเขายังมีชีวิตอยู่แน่นอนว่าพรเพ็ญต้องบอกเรื่องภูมิชัยให้เขาฟังเป็นคนแรกคงไม่ใช่เพื่ออะไรนอกจากเพื่อความสะใจที่รู้เรื่องไม่ดีของอริตัวเอ้ นอกจากนี้เธอยังนึกเล่นๆหากน้องชายยังมีชีวิตอยู่และมาเยี่ยมยายด้วยกัน รู้เรื่องเด็ดนี้ด้วยกันเธอจะขับรถพาเขาไปที่หน้าบ้านหรือร้านของภูมิชัยลงจากรถพร้อมน้องชายแล้วตรงเข้าไปหาภูมิชัยจากนั้นกล่าวเสียงดังพอให้ได้ยินไปทั้งอำเภอ ... มาเรียกฉันว่าอีหมวยเรียกน้องฉันว่าไอ้ตี๋ แล้วแกล่ะ โธ่ ไอ้เด็กเก็บมาเลี้ยง คิดได้แค่นี้เธอก็หน้าแดงเพราะอายแก่ใจถามตัวเองว่าเก็บกดอะไรนักหนากับการถูกเหยียดหยามความมีเชื้อสายจีนแน่นอนว่าพรเพ็ญไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้เพราะความเก็บกดไม่มีให้เห็นเป็นรูปร่างหน้าตา บรรยายก็ไม่ได้ง่ายๆแย่ยิ่งกว่านั้น เอาเข้าจริงเธอกลับรู้สึกผิดขณะขับรถผ่านหน้าบ้านของภูมิชัยตำหนิตัวเองว่าจินตนาการได้ก้าวร้าวพอๆกับพฤติกรรมของภูมิชัย เข้าทำนอง ... ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เธอจึงนึกต่อราวกับน้องชายนั่งอยู่ข้างๆ ...ช่างหัวมันดีกว่าพรชัยน้องรัก อะไรที่แล้วก็ให้มันแล้วไป พรเพ็ญสนิทกับน้องชายเป็นอย่างยิ่งคงเป็นเพราะห่างกันแค่ปีเดียวและมีกันสองคนพี่น้อง แถมยิ่งโตก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นเพราะสนใจเรื่องเดียวกัน นั่นคือติดตามข่าวสารบ้านเมือง แม้พรชัยสนใจข่าวกีฬาบ้างตัวเธอเองก็สนใจข่าวบันเทิงบ้าง แต่หลักๆแล้วเธอและเขาสนใจข่าวการเมืองเป็นพิเศษต่างกันที่น้องชายเธอมักใช้อารมณ์ความรู้สึกกับข่าวการเมืองจนน่าวิตกตรงกันข้ามกับเธอที่หลายครั้งเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันเพราะทุกเรื่องล้วนมีที่มาจากความโลภของนักการเมืองแต่แสดงออกหรือกระทำการใดๆราวกับประชาชนเป็นเด็กไร้เดียงสา ด้วยเหตุนี้เธอจึงใช้อารมณ์ขันอย่างสุดความสามารถเมื่อพูดคุยเรื่องการเมืองกับน้องชายเพื่อไม่ให้เขาเครียดจนเกินไป กับข้าวอะไรเอ่ยที่ทำให้คนไทยกินไปน้ำตาไหลไป เธอจำได้ว่าถามเขาหลังรัฐบาลประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัวทำให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศ พรชัยหัวเราะชอบใจก่อนตอบประชด ฮ่าๆๆ แกงจืดเต้าหู้มั้งพี่ โธ่ คำถามนี้เด็กปอสี่ก็ตอบได้ ต้มยำกุ้งไง ปีต่อมารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขถูกจับได้ว่าโกงกินงบประมาณยาที่จัดให้โรงพยาบาลทั่วประเทศเธอจึงถามเขาว่า ยาอะไรเอ่ย กินแล้วแพ้ต้องพักนานถึงสิบห้าปี พรชัยหัวเราะอีก ตอบว่า ยาตรากระทรวงสาธารณสุขไงพี่โกงกินไปเยอะไปถึงหลายร้อยล้าน ทำให้ต้องไปนอนในเรือนจำ ฮ่าๆๆ เมื่อมีข่าวนักศึกษาพม่าจำนวนหนึ่งที่ใช้นามว่ากลุ่ม ก๊อดอาร์มี บุกยึดสถานทูตพม่าในไทยเพื่อให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองและนางอองซานซูจี เธอก็ถามเขาว่า ก๊อด องค์ไหนนะ ชอบยึดสถานทูต เขายิ้มอย่างถูกใจก่อนตอบอย่างมีมุก ก๊อดที่เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งมั้ง โธ่ ก๊อดอาร์มีไง ใครๆก็รู้ นายกฯรัฐมนตรีคนไหนของเราที่มีชื่อเหมือนคนเกาหลี พรเพ็ญจำหน้าตาของน้องชายได้เมื่อเจอคำถามนี้เขาขมวดคิ้วแล้วทำหน้าเหมือนถูกแม่บังคับให้กินแกงจืดมะระกับข้าวที่เขาเกลียดอย่างยิ่ง ยอม เขากล่าวออกมาหลังคิดอยู่นานอึดใจ มิสเตอร์ซุกหุ้นจัง ไง แค่นี้ก็คิดไม่ได้ พรชัยหัวเราะดังลั่นบ้านนึกถึงนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งถูกพิจารณาคดีจงใจปกปิดการถือครองหุ้นมูลค่าหลายหมื่นล้านภาษาชาวบ้านเรียกว่าซุกหุ้น จนกระทั่งเกิดการทำรัฐประหารในปี 2549 เธอจึงถามน้องชาย บิ๊กอะไรเอ่ย เป็นห้างขายของก็ไม่ใช่ เป็นปากกาก็ไม่ใช่อีกแต่ทำให้ผู้มีอำนาจไปต่างประเทศแล้วไม่ได้กลับมา บิ๊กบัง พรชัยตอบชื่อเล่นของพลเอกผู้เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารแล้วกล่าวต่อคำถามนี้ง่ายไปหรือเปล่าเจ๊ ถ้างั้นถามต่อว่ารถอะไรที่คนไทยชอบถ่ายรูปด้วยที่สุด พรชัยขมวดคิ้ว เธอกลัวเขาคิดได้จึงรีบเฉลย รถถังไง พรเพ็ญหมายถึงเหตุการณ์หลังทำรัฐประหารที่ประชาชนนิยมถ่ายรูปกับทหารและรถถังแถมยังนิยมมอบดอกกุหลาบให้แก่ทหารที่รักษาการณ์ตามจุดต่างๆในเมืองหลวง ถึงตอนนี้พรเพ็ญคิดถึงน้องชายจนน้ำตาไหลอาบสองแก้มรู้ดีว่าหากขับรถต่อไปอาจเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อเห็นปั๊มน้ำมันเธอจึงเลี้ยวเข้าไปจอดรถหน้าร้านขายของชำแล้วซบหน้าลงกับพวงมาลัยเพื่อทำใจให้สงบก่อนขับรถต่อ ก๊อกๆ เสียงกระจกรถเธอถูกเคาะ พรเพ็ญสะดุ้งสุดตัว หันมองแล้วเห็นหน้าคนที่เธออยากเจอเป็นคนสุดท้ายในโลกใบนี้... ภูมิชัย เธอรีบขมวดคิ้วทำหน้าดุ ทำนองถามว่าเคาะกระจกทำไมภูมิชัยกลับทำท่าทางให้เธอลดกระจกลง พรเพ็ญจึงโบกมือไล่แล้วติดเครื่องรถถอยหลังแล้วหักเลี้ยวออกไปจากปั๊มน้ำมันอย่างรวดเร็ว
Create Date : 12 สิงหาคม 2559 |
Last Update : 12 สิงหาคม 2559 18:27:37 น. |
|
0 comments
|
Counter : 642 Pageviews. |
|
|