No One Perfect
Group Blog
 
All Blogs
 

Diet Diary 26 Jul 09

หลังจากไปพบคุณหมอมาเมื่อวาน น้ำหนักยังคงเท่าเดิมไม่ลดไม่เพิ่มจากครั้งแรกที่ไปพบคุณหมอ

ปัจจุบัน
สูง 164 cm.
น้ำหนัก 80 kg.

คุณหมอบอกว่าต้องลดน้ำหนักให้ได้ จริง ๆ ตามมาตรฐานคือ 54 kg. แต่ปัจจุบันเราตั้งเป้าหมาไว้ว่าช่วงแรก จนกกว่าจะพบคุณหมอครั้งหน้า เกือน กันยายน จะลดให้ได้ ประมาณ 10 kg. ซึ่งต้องเป้าหมายให้สูงไว้ก่อนว่าภายใน 2 เดือนต้องลดให้ได้ 10 kg. แล้วต้องพยายามให้เต็มที่ โดยตั้งใจควบคุมอาหาร พยายามใช้ร่างให้มากขึ้น อาจจะเดินมาก ๆ ขึ้น ไปไหนไม่ไกลมากก็จะเดิน และไม่กินยาลดความอ้วนเด็ดขาด

ต้องพยายามสักครั้ง ห้ามใจตัวเองให้ได้ แล้วค่อยมาดูว่าจะเป็นอย่างไรกับความพยายามครั้งนี้ เพื่อสุขภาพที่ดี หายป่วยให้ได้




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 13:07:49 น.
Counter : 591 Pageviews.  

Love mode

ตอนนี้เราอยู่ในความรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจ ว่าตนเองกำลังมีความรักหรือไม่ หรือเป็นแค่ความใกล้ชิด ก่อให้เกิดเป็นความผูกพันธ์

ยังไง ๆ อีกไม่นานคงรู้ใจตนเอง เพราะความห่างไกลจะทำให้ตัวเราเห็นอารมณ์และความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอย่างไร เราก็ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดีเพราะถ้าเรารู้สึกดีกับใคร เราก็จะให้ใจคนนั้นไปเต็ม ๆ เพราะอย่างไรการที่ได้รักใครมันก็ดีกว่าการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ความรู้สึกไม่ใช่หรอ


love emotion




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2551 17:25:04 น.
Counter : 391 Pageviews.  

มหกรรมความซวยซ้ำซาก..............หรือว่าดวงตกนี่............บทสรุป

หลังจากตกลงว่าจะไปนอนกันที่ทุ่งแสลงหลวง (ชื่อนี้สมชื่อนัก เพราะพอได้ยินแล้วมันแสลงใจยิ่งนัก) พวกเราเลยคิดว่าคงจะเป็นบรรยากาสแบบไปปิกนิกกัน โอเค เอาว่ะพร้อมลุยแล้วกัน อย่างแรกจะไปปิกนิกก็ต้อ
เตรียมหาของกินก่อน ไปเลยโลตัสพิษณุโลก โอ้โหไม่เคยเห็นโลตัสที่ไหนที่จะมีลูกค้าแน่นขนาดนี้ สงสัยว่าไอ้เจ้าของโลตัสนี่คงจะรวยโคตรจากการมาเปิดห้างในแทบจะทุกจังหวัดในไทยแน่นอน อ้าวกลับมาเรื่องของเราต่อ พวกเราเลยแบ่งกันไปซื้อของ ตาลกับฝ้ายซื้อของสด พวกไก่ หมู ผักไนเงี่ย ที่เหลือไปซื้อพวกของแห้ง จานกระดาษ น้ำ เมื่อเสร็จแล้วก็เริ่มเดินทางคร๊าบ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โอ้วค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย (แต่สุดท้ายแย่กว่าเดิมหว่ะ) พอมาถึงก็จะเข้าไตดต่อเจ้าหน้าที่ แต่เริ่มมีอุปสรรคแรกมาแว้ว ถนนมันเป็นหลุมเป็นบ่อ คราวนี้รถก็โหลด พวกเราก็เลยลงจากรถกันให้เอกขับเข้าไปคนเดียว ส่วนเพื่อน ๆ เดินเข้าไปกัน เมื่อไปติดต่อเจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่ก็มีเต้นท์ให้นอนแต่แนะนำว่าให้ไปนอนที่ทุ่งหญ้าสะวันน่าดีกว่า เพราะสวยกว่า ส่วนบริเวณนี้เป็นช่วงต้นน้ำ ไม่ค่อยมีอะไรหรอก คราวนี้เพื่อน ๆ ก็อยากไปตรงที่เขาแนะนำ ถามพี่เขาว่าไกลไหมเขาบอกว่า 60 กิโล เอกบอกว่าเอาน่ามาถึงนี่แล้วไปเถอะ และแล้วความเครียดก็เริ่มเกิดจากจุดนี้เป็นต้นไป โดยปกติ 60 กิโลขับช้าอย่างไรก็ไม่น่าเกิน 1 ชั่วโมง แต่พวกเราทำลายสถิติไปเลย เพราะมันเป็นการเดินทางที่นานมากในความคิดเรา ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าได้ ด้วยสาเหตุแรกแทบจะไม่มีป้ายบอกทางให้ไปอุทยานในบริเวณนั้นเลย เราก็หลงนิดหน่อย อาศัยว่าลงไปถามคนแถวนั้นตลอด แล้วพวกเราไม่ได้เตรียมข้อมูลมาไม่รุ้ว่ามันต้องเดินทางยังไง ลำบากไหม พอถามทางเรื่อย ๆ ก็ใจชื้นขึ้น แต่เมื่อมาถึงทางแยกไปเขาค้อเพชรบูรณ์ ถึงได้รู้ว่าทางไปทุ่งหญ้าสะวันน่านั้นมันคือทางเดียวกับไปอนุสาวรีย์เขาค้อ โอ้พระเจ้าช่วยอะไรวะนี่ต้องขับรถไต่เขาแทบจะตลอด แล้วรถก็โหลดอีก เราโคตรสงสารรถ และเจ้าของรถเลย เพราะคนที่มาทริปนี้ก็ตัวอย่างใหญ่เลยหว่ะ ก็ต้องมีหยุดพักรถกันอยู่บ้าง กว่าจะมาถึงอุทยานก็น่าจะ 6 โมงกว่าแล้ว ก็เห็นวิวรอบ ๆ จริง ๆ มันก็สวยดีนะ แต่สำหรับตัวเราเองยังมีเรื่องเครียดอีกเพียบเพราะเรื่องที่นอนอีก เจ้าหน้าที่บอกว่ามีให้เช่าเต้นท์ ต้องไปดูเต้นท์ด้านบน พวกเราก็ไปดูกันตอนแรกเพื่อน ๆ บอกว่าจะเอาเต้นมากางข้างล่างหน้าที่ทำการบริเวณที่เห็นทุ่งหญ้าชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าวงนี้มีฝนตกบ้างไม่อยากให้ลงไปกางข้างล่าง เพราะไม่มีที่หลบฝนให้ ประกอบกับเขาบอกวว่าถ้ากางข้างบนเขาจะช่วย เราก็เลยบอกไปว่างั้นคงกางข้างบนแล้วกัน เพราะตอนนั้นมันมืดมากแล้ว และพวกเราก็กางไม่เป็นด้วย โอ้ยกูจะบ้า ส่วนฝ้ายกับผิงก็ไปหาซื้อถ่านกับพวกเตาอยู่ไม่มาสักที เรากับอุ้มก็เป็นห่วงเพื่อน ๆ เอกก็เลยขับรถลงไปตาม กว่าจะมากันครบก็ 2 ทุ่มกว่า ๆ พวกเราเริ่มทำอาหารกันฝ้ายกับผิงช่วยกันก่อไฟ สุดท้ายพี่เจ้าหน้าที่ก็มาช่วยไม่งั้นคงอดกินกันแน่ เพราะว่ามันไม่ติดสักที มื้อนี้มีไก่ย่างที่ซื้อสำรวจมา 1 ตัว พร้อมกับบาบีคิวไส้กรอก หมูแดดเดียวย่าง มันเผา ฟักทองย่าง ถึงแม้ฟังดูอัตคัตแต่ขอบอกว่าอร่อยมากเลยอ่ะ กินไปสักพักก็มีพี่คนหนึ่งที่กางเต้นท์อยู่ไม่ไกลจากเราเดินผ่านมาพี่เขาถามว่าไม่มีข้าวกันหรอ เดี๋ยวพี่เขาเอามาให้เพราะว่าเขาหุงไว้เยอะมาก ตอนแรกก็เกรงใจบอกว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายพี่เขาบอกว่าเขามีเยอะมากเราก็เลยเอาแล้วกัน สรุปว่ามื้อเย็นผ่านไปด้วยดีและอร่อยมาก สิ่งสำคัญเลยที่ได้จากการไปนอนที่นี่ก็คือน้ำใจของคน ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ หลังจากนั้นก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวนอนกัน เราระแวงอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนมาเลยบอกว่าจะไม่นอนริมนะ กลางก็ไม่เอา ถึงจะดูนิสัยเสีย แต่ยังไงเราก็ไม่ยอมนอนเด็ดขาด แต่ก็ไม่มีอะไรในคืนนั้น มีเพียงเสียงสัตย์ดังตลอดคืนทั้งชะนี และไก่ขัน ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ ประกอบกับแปลกที่ด้วยมั้งเราหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน จะบ้าตาย ตนเช้าประมาณตี 4 ฝ้ายปลุกทุกคนว่าเช้ามากแล้ว เดี๋ยวอดดูพระอาทิตย์ขึ้น เนี่ยไก่ขันแล้ว เรากับเอกเลยบอกฝ้ายว่าไก่มันขันทั้งคืนเลย แล้วตอนนี้เพิ่งจะตี 4 กว่า ๆ เอง แต่สุดท้ายเมื่อตื่นกันหมดแล้วก็เลยไปเดินเล่นกันดีกว่า เพราะว่าตอนนั้นมันสว่างมาก เนื่องจากพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกันทั้งคืนเลย พวกเราก็เดินมาตรงหน้าที่ทำการบริเวณทุ่งหญ้าสะวันน่า แสงสวยงาม ธรรมชาติสดชื่นมาก ๆ พวกเราถ่ายรูปกันใหญ่ แต่ก็ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์เราคิดกันว่าคงเพราะภูเขาบัง แต่สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเราดูทิศผิดอ่ะ เราไปดูทิศคตะวันตกมันเลยไม่เห็น สรุปว่าวันนั้นก็ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากนั้นก็ไปกินข้าวกัน ฝ้าย กับผิงก่อไฟเหมือนเคย มื้อนี้มีมาม่าต้มยำกุ้ง ใส่ไก่ย่าง ขอบอกว่าอร่อยมาก ๆ ไม่เคยกินมาม่าที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย คงเป็นเพราะบรรยากาศมั้ง หลังจากนั้นพวกเราก็รีบเก็บของเพราะต้องอกจากที่ทุ่งแสลงหลวงไม่เกิน 8.30 น. เพราะพวกเราอยากให้เอกไปนอนหลับที่พิษณุโลกก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ ขากลับนี่ใช้เวลารวดเร็วมากไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็มาถึงพิษณุโลก
เมื่อมาถึงก็รอพี่ที่จะมาเปิดผับให้พวกเราเก็บของ ก็รอกันไปประมาณชั่วโมงพี่เขาก็มา ส่วนเอกก็ไปคุยธุระกับพี่ เมื่อเก็บของเสร็จเอกก็มาแล้วพวกเราก็เลยคิดว่าจะกลับกันเลย เพราะเอกไม่อยากพักแล้ว พวกราก็ออกเดินทาง โดยแวะไปไหว้พระก่อน หลังจากนั้นก็เดินทางกลับกัน โดยตลอดทางช่วงพิษณุโลกมานครสวรรค์ถนนจริง ๆ มันก็ดี แต่ไม่ได้เรียบไปหมด พอเอกขับรถเร็ว ๆ มันก็กระแทกกับพื้น พวกเรางี้นั่งกันตัวเกรงเพราะเป็นห่วงรถ แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากรถกระแทกอย่างเดียว แต่ก่อนเข้ากรุงเทพเอกบอกว่าเราต้องแวะไปดูรถที่ซ่อมไว้ก่อน พอไปดูช่างบอกว่าสภาพหม้อน้ำและลูกสูบเสียหายมาก พี่เขาบอกว่าหม้อน้ำนี่หมดสภาพมาก ๆ ถึงเราจะเติมน้ำมามันก็รั่วออกหมดอยู่ดี สรุปว่าคราวนี้พวกเราซวยที่เอารถคันนี้มา ค่าซ่อมนี่ก็ประมาณ 20000 กว่า ๆ โอ้ยจะบ้าตาย สงสารเอกอ่ะ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับกรุงเทพกัน กว่าจะมาถึงกรุงเทพก็ประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ เพราะแถวอยุธยารถติดมาก ๆ เนื่องจากมีอุบัติเหตุ เป็นอันว่าทริปนี้ร่างกายปลอดภัยดี แต่เสียทรัพย์ไปหลายอยู่ เป็นอันว่าถ้าต่อไปเราจะไปไหนต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้เพื่อเป็นการป้องกัน และเตรียมพร้อม แต่ยังไง ๆ ทริปนี้ก็ดีเพราะเป็นการสร้างความสามัคคีกับเพื่อน ๆ
นะ




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550    
Last Update : 17 มิถุนายน 2550 16:59:34 น.
Counter : 353 Pageviews.  

มหกรรมความซวยซ้ำซาก..............หรือว่าดวงตกนี่............บทต่อมา

หลังจากที่พักกินข้าวและพักรถที่ปั้ม ปตท. แถวอยุธยา เราก็เริ่มเดินทางกันต่อไปเรื่อย โดยการขับรถนั้นก็เริ่มเข้าสู่โหมดปกติแล้ว ไม่มีไฟฉุกเฉินขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้ว และก็ไม่มีปัญหาอะไร เรามาถึงนครสวรรค์กันประมาณ 4 โมงกว่า ๆ ได้ แล้วก็ขับเข้าทางแยกนครสวรรค์ที่จะไปพิจิตร พิษณุโลก ผ่านมาได้ไม่นาน เอกก็พูดว่าเดี๋ยวก็ใกล้ถึงแล้วไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็ถึง เดี๋ยวจะพาเพื่อน ๆ ไปเดินตลาดนัด แบบถนนคนเดินกัน เราก็ส่งเสริมเลยเพราะอยากไปอยุ่แล้ว สักพักเอกก็บอกว่าเราเหยีบสุด ๆ เลยดีกว่าเพราะตลอดทางที่ขับมาก็เหยีบนะแต่ว่าไม่ค่อยเร็วเลยอ่ะ พอเหยีบเข้าไปเท่านั้นแหละสักพักเครื่องเหมือนจะดับแบบกระตุก ๆ แล้วเราก็เลยบอกว่าให้ออกซ้ายหลบลงข้างทางดีกว่า แล้วรถก็ดับไป เราก็ลองลงมาดูที่กระโปรงรถก็เห็นควันออกมาจากฝากระโปรง ก็เลยคิดว่าอย่าเพิ่งเปิดเลยเดี๋ยวจะอันตราย ก็รอกันไปนานประมาณครึ่งชั่วโมง ประกอบผิงเดินไปที่ปั้มบางจากข้างหน้าเผื่อว่าจะมีช่าง ก็รอผิงอยู่สักพักผิงก็มาพร้อมกับช่าง เมื่อช่างดูก็บอกว่าไม่แน่ใจแต่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องไม่ได้เติมนำนี่แหละ แต่ลูกสูบจะติดหรือไม่นั้นเขายังไม่รู้ ช่างก็เลยจะลากรถไปที่อู่ แต่ลากไปไม่ถึง 10 เมตร รถช่างก็ดับ พวกเรานี่ทั้งเขาทั้งสงสารตัวเองเลย เพราขนาดช่างที่ตามมาช่วยยังดูช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ช่างเขาเลยเดินกลับไปที่อู่ แล้วกลับมาพร้อมรถกับช่างอีก 1 คน พร้อมกับนำมันแล้วก็มห้รถคันใหม่มาลากรถพวกเราไป เมื่อไปเปิดกระโปรงรถที่อู่ดู เขาคิดว่าลูกสูบติดแน่ แต่อย่างอื่นต้องรอให้เครื่องเย็นก่อนถึงจะรู้ว่าเป็นอะไรบ้าง เราก็รอสักพักช่างบอกวว่ายังไงวันนี้ก็ขับไม่ได้แน่นอน เอกเลยโทรไปหาพี่ที่ให้ยืมรถมาว่าให้พี่เขามารับด้วย พอดีว่าพี่เขาอยู่นครสวรรค์เขาก็เลยบอกว่าจะมารับ ก็รอกันไปประมาณชั่วโมงพี่เขาก็มารับ โดยออกจาที่อู่ประมาณทุ่มกว่า ๆ แล้วก็มาถึงผับที่พิษณุโลก ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง แล้วอย่างแรกพวกเราก็เริ่มโดยการย้ายของไปไว้ที่รถของพ่อเอกก่อน แล้วก็เอาดอกไม้มาแสดงความยินดีกับพี่เขาก่อน แล้วหลังจากนั้นก็คิดว่าเราต้องหาที่พักก็เลยตกลงใจว่าพักโรงแรมนี่แหละ เพราะว่ามันมืดแล้วจะไปหาที่อื่นก็ไม่ไหว ก็เลยไปเปิดไว้หนึ่งห้อง ห้องก็ใหญ่พอสมควร ตอนแรกเอกบอกว่าให้ผู้หญงสามคนนอนที่นี่แหละ แล้วเอกกับผิงจะไปนอนที่บ้านที่พี่เขาเช่าไว้เอง แต่สุดท้ายพวกเราก็บอกว่านอนด้วยกันทั้งหมดที่นี่แหละ เพราะว่าห้งก็ใหญ่ หลังจากนั้นเอกกับผิงก็ไปที่ผับก่อน ส่วนสาว ๆ ก็อาบน้ำแต่งตัวกัน หลังจากนั้นพวกเรารุ้สึกหิว ก็เลยมาหาเอกกับผิง ชวนไปกินข้าวกัน แต่เอกไม่ไป ก็เลยเหลือแค่ 4 หน่อ โดยเราเป็นคนขับรถของพ่อเอกไป แอบกลัว ๆ เล็กเพราะว่าไม่ใช่รถเรา แล้วเมื่อตอนบ่ายเพิ่งเกิดรถเสียอีก กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หลังจากออกจากโรงแรมก็ไม่รู้ว่าไปทางไหนดี มองทางก็ไม่เห็น เพื่อน ๆ ก็กลัวฝีใอการขับรถของเราเพราะยังไม่เคยนั่งกลัวเหตุอีก แต่สุดท้ายก็พามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่างปลอดภัย หลังจากนั้นก็กลับมาที่ผับแล้วก็มันกันอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้ากินเหล้าเขาไปเยอะมาก จนมึน ๆ เลยแหละ แล้วก็มีโทรศัพท์มาตลอด ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว จะบ้าตาย จนประมารหลังเที่ยงคืนได้หลังจากคุยโทรศํพท์เรื่องงานเสร็จ เราก็หายเครียด แล้วเข้าไปแดนซ์อย่างเมามัน ผ่านไปสักพักจะโทรศัพท์อีก แต่หาไม่เจอ มันหายไปแล้ว อยากจะบ้าตายนึกไม่ออกด้วยว่ามันจะหายไปตอนไหน นั่งคิดอยุ่ตั้งนาน เลยสรุปว่ามันหายตอนหลังจากที่คุยโทรศัพท์ที่หน้าร้านเสร็จแล้วจะเก็บโทรศํพท์เข้ากระเป๋า แต่มันคงไม่เข้า โทรศัพท์คงร่วง แล้วคนที่เก็บได้ก็สบายไป นี่คือเรื่องที่ซวยเป็นเรื่องที่ 2 หลังจากนั้นพอทำใจได้ก็ไปนอน แล้วพอวันรุ่งขึ้นเพื่อน ๆ ก็บอกว่าจะไปทุ่งแสลงหลวงกันโดยจะไปนอนเต้นท์กันด้วย สำหรับส่วนตัวแล้วการไปทุ่งแสลงหลวงและการไปนอนเต้นท์ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับข้าพเจ้า แต่ที่เป็นปัญหา คือการที่ข้าพเจ้าไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะไปนอนที่นั่น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่มั้นใจ ประกอบกับคิดว่าอกมาที่นี่คงอยากจะช่วยพี่มันดูร้านมากกว่า ก็เลยไปพูดกับเอกดู แต่เอกบอกว่ามันอยากไปเที่ยวไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายก็เลยเป็นอันว่าเราจะไปนอนทุ่งแสลงหลวงกัน




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 13 มิถุนายน 2550 11:51:39 น.
Counter : 323 Pageviews.  

มหกรรมความซวยซ้ำซาก........หรือว่าดวงตกเนี่ย....บทเริ่มต้น

เริ่มต้นมหกรรมความซวยครั้งนี้เกิดจากความรู้สึกเหงาลึก ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ (จริง ๆ แล้วตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจ) เพื่อน ๆ ที่อยากคุยด้วยก็หายไปเพราะเขาติดธุระกัน ส่วนคนอื่น ๆ เราก็ไม่รู้จะคุยให้ฟังว่าเราเป็นอะไร เหมือนกับดังคำพูดที "เหมือนที่เขาว่ากันว่า มีคนรอบตัวมากมาย แต่มันเหงาซะยิ่งกว่าอยู่คนเดียวอีก"

เมื่อเป็นเช่นนี้เอกก็ได้ชวนไปงานเปิด Pub ของพี่มัน ซึ่งในอนาคตมันก็จะไปทำด้วย เราก็เลยโทรไปบอกมันว่าจะไปด้วยแล้วกันนะ ไป้เราก็เป็นคนตัดสินใจคนสุดท้าย เหมือนตัวแถมไรอย่างงี้ ในทริปนี้ก็มีเพื่อน ๆ ไปด้วยกันทั้งหมด 5 คน คือเอก เจ้าของทริป อุ้ม ฝ้าย ผิง และเราเอง

ก่อนไปนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาจะเปิด pub นี่หว่าควรจะมีอะไรติดมือไปบ้าง ไม่งั้นจะดูสันดานตลกแดกเกินไป คราวนี้เมื่อคิดได้ว่าต้องมีของติดมือไปซะหน่อย แต่จะเอาไรไปให้ดีวะ ก็เกิดการโทรตะลุยถามเพื่อน ๆ ทั้งหลายที่น่าจะพอช่วยได้ จึงสรุปออกมาเป็นดอกไม้แล้วกันวะ เวลาใครเขาขึ้นบ้านใหม่หรือเปิดร้านดอกไม้น่าจะดีที่สุดอ่ะ คราวนี้เมื่อสรุปตกลงใจได้แล้วว่าจะเป็นดอกไม้พรุ่งนี้ช่งเช้าเราก็จะต้องไปสั่งแล้วกัน ปัญฆามันมีอีกว่าจะสั่งร้านไหนดีนี่ คิดออกร้านแรกก็ที่หน้า villa แต่มีที่อื่นอีกไหมหว่า สุดท้ายก็หน้าวิลล่านี่แหละชัวร์สุดเพราะมาซื้อบ่อย ยังไงเขาก็จัดสวย เมื่อตกลงใจได้ก็เริ่มเก็บเสื้อผ้ากระว่าไปมันเที่ยวกันเต็มที่เสื้อผ้าพร้อมเที่ยวแล้น แต่เมื่อเลือกเสื้อผ้าเสร็จจะยัดมันลงกระเป๋านี่สิปัญหาใหญ่กว่า เพราะเราอยากเอากระเป๋าไปให้เล็กที่สุด เนื่องจากไม่รู้ว่ารถจะใหญ่ขนาดไหน แล้วเรายังต้องขึ้นรถไปฟ้า ไปต่อรถใต้ดินอีก กว่าจะไปเจอพี่เอกนี่ เราจะต้องแบกสมบัติบ้าไปอีกไกลเลยนะนี่ เอาวะยังไงก็สู้จะไปเที่ยวแล้ว แต่อย่าลืมเอารายงานไปด้วยนะตอนนี้เป็นพวกโรควิตกกังวลขึ้นสมอง กลัวว่างานจะไม่เสร็จต้องเอาติดตัวไว้ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่ได้จะทำให้มันคืบหน้าขึ้นมาเลย (ถ้าจะใกล้บ้าขึ้นทุกที)

รุ่งเช้ามาถึงมีกิจกรรมที่ต้องทำก่อนไปเยอะมาก อย่างแรกต้องเอาหนังสือมาคืนที่ห้องสมุดครุฯ ก่นอเพราะเลยกำหนดมาหลายวันแล้วเกรงใจแดน แล้วก็ต้องไปเอา notebook ที่ส่งซ่อมไว้ที่ศูนย์ acer pantip อีก ไหนจะดอกไม้ที่ต้องไปสั่งอีก ดอ้ยทำไมมันยุ่งอย่างงี้วะ สุดท้ายก็เริ่มโทรไปศูนย์ acer ก่อนว่ามันซ่อม notebook เสร็จหรือยัง ได้ผลมาว่ายังไม่เสร็จเพิ่งจะส่งอะไหล่มา จเสร็จตอนเย็น ๆ ค่อยมารับเครื่องตอนเย็น ๆ นะ โอ้ยแล้วจะไปรับได้ไงเดี๋ยวเที่ยงกว่า ๆ ก็จะไปพิษณุโลกแล้ว เอองั้นก็ช่าง notebook ไปก่อน เดี๋ยวกลับมาค่อยไปเอาก็ได้วะ หลังจากนั้นก็ไปจุฬาเพื่อให้แดนคืนและยืมหนังสือให้ เนื่องจากว่าเชื่อง summer ข้าพเจ้าเรียนแบบไม่ต้องลงทะเบียบทำให้ไม่สามารถยืมหนังสือได้ต้องรบกวนเพื่อนแดนซะแล้ว เมื่อเอาหนังสือมาคืนก็โชคดีไปไม่ต้องเสียค่าปรับเพราะว่าช่วงที่เลยกำหนดนั้นเป็นช่วงที่ห้องสมุดปิดพอดี โอ้ยสบายไปเรื่องนึง หลังจากนั้นต้องไปสั่งดอกไม้ ก็นั่งรถไฟฟ้าจากมาบุญครองมาพร้อมพงษ์ ไปบอกพี่เขาว่าเอาแบบทน ๆ ไม่เหี่ยวง่ยอ่ะนะ เพราะต้องเดินทางไกล พี่เขาก็แนะนำมา 2 แบบ คราวนี้จะเอาอันไหนดีวะเลือกไม่ถูกอีก ก็บอกพี่คนขายไปว่าเอาแบบที่ไปตั้งใน pub แล้วมองเห็น พี่เขาก็เลือกมาให้เป็นแจกกันที่มีหลายสีมาก ๆ แต่ไม่ใช่สีแบบแจ็ด ๆ นะ แต่ว่ามันยังไม่เสร็จดีเราเลยบอกว่างั้นให้เขาทำไปก่อนเดี๋ยวกลับมาเอาแล้วกัน เราจึงกลับบ้านปอาบนำกับเอากระเป๋าก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยแวะลงรถไฟฟ้ามาเอาอีกที เมื่อถึงบ้านก็รีบทำภารกิจทุกอย่างแบบรวดเร็ว เพื่อจะได้รีบออกมาเดี๋ยวเพื่อนรอนาน แต่ของเรารู้สึกว่ามันเยอะโคตร มีกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบไม่ใหญ่เท่าไร แล้วก็ถุงผ้าอีกใบทรงมันเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมสูง ๆ เลยทุเทอะทะมาก เอาวะช่างมัน แล้วของก็หนักสุด ๆ เมื่อมาถึงสถานีพร้อมพงษ์ต้องเดินไปเอาดอกไม้อีก (ทำไมมันหนักอย่างงี้) พอไปถึงจะให้พี่เขาใส่ในถุงผ้า พี่เขาบอกว่าไม่ได้เพราะเดี๋ยวดอกไม้มันจะช้ำ คราวนี้ฉันกลายเป็นอีบ้าจริง ๆ แล้ว เพราะไหล่ข้างนึงสะพายกระเป๋าแดงใบใหม่ใหญ่มาก มืออีกข้างถือถุงผ้าสีเขียวลายใบไม้ใบใหษ่โคตร อีกมือถือแจกันดอกไม้ โอ้ยพระเจาทำไมมันลำบากขนาดนี้นี่ เมื่อขึ้นรถไฟฟ้าแขนล้าแทบหมดแรง ต้องมาต่อรถไปใต้ดินอีก เราก็เดินเข้าไปยืนริมประตูด้านในเลยเพราะของเยอะมาก ตอนแรกก็ว่าจะวางแค่กระเป๋ากับถุง แต่สวรรค์ไม่เป็นใจอีก แจกันดันมีน้ำรั่วอีก ข้าพเจ้าต้องรีบหาถุงมาใส่ความน ๆ ไปเจอถุงโลตัส 1 ใบ วินาทีนั้นดีใจขึ้นมาพลัน ไม่งั้นกูทำท่วมรถใต้ดินแน่ คงอายพิลึก แล้วสุดท้ายก็มาถึงสถานีลาดพร้าวอย่างปลอดภัย เพื่อนผิงผู้ใจดีมารอรับเราเพราะเราโทรหาว่าของเยอะ ค่อยยังชั่วหน่อย แล้วก็เลยเดินไปหาเอกที่ลานจอดรถกัน ซึ่งยังไม่มีอุ้ม กับฝ้ายมา เพราะว่ายังทำงานไม่เสร็จ แล้วนี่ข้าพเจ้าจะรีบไปหาสวรรค์ไร ให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้วะนี่ ช่วงรอเพื่อนเราก็เลยไปหาของกินก่อนดีกว่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย พอเดินไปได้สัก 100 เมตร รถเอกก็ส่งสัญญาณโหยหวนมาเชียว เอกก็ต้องกลับมาเฝ้ารถ เรากับผิงเลยไปหาขนมกันแค่ 2 คน เอกบอกว่ารถคันนี้เพื่อนพี่ให้ยืมมาอีกที เพราะว่ารถมันพี่ยืมไป มันพรีเซนต์ว่าเครื่องเสียงดีสุดยอด ก็จริงหว่ะ แต่สภาพภายในรถมันไม่ได้ดีไปด้วยเลยหว่ะแก หลังจากนั้นอีกสักพัก เพื่อน ๆ ก็มาครบ เราออกจากกทม. ประมาณ บ่าย 2 ด้วยความที่ไม่เคยขับรถคันนี้ มันมีอะไรเต็มไปหมด เดี๋ยว ๆ ไฟฉุกเฉินก็ขึ้น อะไรประมาณนี้ไปตลอดทาง แต่พอขับไปสักชั่วโมงก็หายไปเองพวกเราก็เลยไม่สนใจ จุดแรกเลยไปแวะพักกินข้าวกันที่ปั้ม ปตท. แถวอยุธยา แล้วก็เดินทางต่อไป ....... อันนี้ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังมีเรื่องราวอีกยาวไกล




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2550    
Last Update : 8 มิถุนายน 2550 14:27:26 น.
Counter : 311 Pageviews.  

1  2  3  

cherryandree
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherryandree's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.