bloggang.com mainmenu search
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
มติชน 25 พ.ย. 2555









ไปเยี่ยมพระผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักคุ้นเคยรูปหนึ่ง ท่านเล่าว่า เพิ่งกลับจากไปเยือนจีนที่สิบสองปันนา ไปเห็นคนที่นั่นพูดภาษาไทยกันรู้เรื่อง ก็ดีใจเหมือนญาติที่จากไปนานๆ มาเจอกัน เขาขอให้ท่านสวดมนต์ให้ฟัง ท่านสวดพระปริตรจากเจ็ดตำนานให้ฟัง

"หลับตาสวดอยู่คนเดียว จนเหนื่อย พอลืมตาขึ้นมา โอ้โฮ ไม่ทราบว่าญาติโยมมาจากไหน มานั่งฟังกันสลอนเลย" ท่านว่าอย่างนั้น

"เขาฟังรู้เรื่องไหม" ผมถามท่าน ความจริงไม่น่าถาม เพราะสวดให้คนไทยในประเทศไทยฟัง ก็น้อยคนจะฟังรู้เรื่อง

ท่านบอกว่า ไม่รู้ดอก แต่การสวดมนต์นี่มันอานิสงส์หลายอย่างนะ "อานิสงส์" ที่พระท่านว่าหมายถึง "ผลดี" ผมไม่ได้ถามท่านว่า "หลายอย่าง" ที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ผมขอตอบแทนท่านก็แล้วกัน

ก่อนอื่นขอเล่าความเป็นมาของการสวดมนต์ หรือการสวดพระปริตรก่อนในยุคพุทธกาล ไม่ทราบว่ามีคติเรื่องการสวดมนต์ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ แล้วหรือยัง อ่านพระสูตรบางสูตร เช่น รัตนสูตร กรณียเมตตสูตร ที่บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎก ก็บอกในทำนองว่า เรื่องอย่างนี้มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล

อย่างเช่นสาเหตุที่ทำให้พระพุทธองค์ตรัสสอน รัตนสูตร มีว่าที่เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี เกิดโรคห่าประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากเรียน "รัตนสูตร" จากพระพุทธองค์ แล้วให้ไปสวดพระสูตรดังกล่าว พร้อมประพรมน้ำพุทธมนต์จากบาตรของพระพุทธองค์ทั่วบริเวณ

พระอานนท์ได้ทำตามพุทธบัญชา ไม่ช้าไม่นาน โรคห่าก็สงบหลังจากเกิดฝนตกลงมาขนานใหญ่

ชาวพุทธก็เลยถือเป็นธรรมเนียมสวดพระสูตรนี้เพื่อขจัดโรคภัยเช่นโรคห่า เป็นต้น

ส่วนความเป็นมาของ กรณียเมตตสูตร มีว่า สมัยหนึ่งพระสงฆ์สาวกจำนวนหนึ่งทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปจำพรรษา ท่านเหล่านั้นไปพักอยู่ในป่า พวกเทวดาที่สถิตอยู่ตามต้นไม้ทั้งหลายพากันคิดว่า พระคุณเจ้ามาอยู่สักสองสามวันก็คงจะไป เพื่อถวายความเคารพแก่พระสงฆ์ เทวดาเหล่านั้น พากันลงมาอยู่ตามพื้นดิน

แต่พระสงฆ์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะย้ายไป ยังคงปักหลักอยู่ ณ ที่นั้น พวกเทวดาเห็นว่าพระคุณเจ้าไม่ไปแน่ จึงพากันหลอกหลอนในขณะที่ท่านเหล่านั้นนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ต้นต่างๆ "เดี๋ยวก็คงเปิดแน่บกันแน่นอน" เหล่าเทวดาคิดอย่างนี้

เนื่องจากอยู่ในระหว่างพรรษา พระคุณเจ้าทั้งหลายถึงจะถูกผีหลอกหลอน กลัวจนขนลุกขนพองอย่างไร ก็ไม่สามารถจะหนีไปได้ ต่างก็ทนอยู่จำพรรษาจนครบไตรมาส จึงพากันกลับไปเฝ้าพระพุทธองค์

เมื่อตรัสถามว่าไปจำพรรษาอยู่ในป่าสบายดีอยู่หรือ พระคุณเจ้าทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่สบายเลย ถูกผีหลอกหลอนตลอดเวลา พระพุทธองค์ตรัสเปรยว่า พวกเธอมิได้เอาอาวุธไปด้วย จึงสู้รบกับผีไม่ได้

"อาวุธ" ที่ว่านี้ก็คือ การแผ่เมตตานั่นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงสอนวิธีแผ่เมตตาให้พวกเธอท่องจำจนขึ้นใจ แล้วให้กลับไปอยู่ ณ ที่เดิมใหม่

คราวนี้พระคุณเจ้าทั้งหลายได้ท่อง "กรณียเมตตสูตร" จนคล่องปากเดินทางกลับไปยังป่าแห่งเดิม สวดพระสูตรนี้ทุกวันเช้าเย็น

พวกเทวดาทั้งหลาย ได้ฟังเสียงสวดพระสูตร มีเนื้อความแผ่ความรักใคร่ไมตรี ไม่มีเวรมีภัยกับใครๆ ก็มี จิตอ่อนโยนรักใคร่ตอบ ไม่คิดหลอกหลอนพวกเธออีกต่อไป

แถมยังพากันอารักขาพระคุณเจ้าเหล่านั้นให้ปลอดภัยอีกด้วย

ชาวพุทธจึงถือเป็นธรรมเนียมว่าจะต้องมีการสวด กรณียเมตตสูตร ในงานมงคลต่างๆ เพื่อสวัสดิมงคล

นี้คือที่มาของการสวด รัตนสูตร และกรณียเมตตสูตร ที่พระอรรถกถาจารย์ได้เขียนเล่าไว้


ยังไม่จบนะครับ แต่เนื้อที่ไม่พอเสียแล้ว
ไว้มาต่อในสัปดาห์หน้า




ขอบคุณ
มติชนออนไลน์
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก

อาทิตยวารสวัสดิ์วิบูลย์ค่ะ
Create Date :25 พฤศจิกายน 2555 Last Update :25 พฤศจิกายน 2555 13:12:20 น. Counter : 6512 Pageviews. Comments :0