bloggang.com mainmenu search






สวัสดีค่า





เอนทรี่ล่าสุด รีวิวร้านอาหาร กรุงเทพฯ - Anna สีลม คราวนี้กินแบบฝรั่งๆ บ้างค่ (คลิกเพื่ออ่าน)







วันนี้ก็จะพาไปกินร้านสไตล์ Fine Yakiniku Dining แถวๆ ซอยทองหล่อ 13 นะคะ นั่นก็คือร้าน ITO-KACHO ซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อ 24 ตุลาคมปีที่แล้วนี่เองค่ะ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศที่สองที่ร้านนี้มาเปิดสาขานอกประเทศญี่ปุ่น (ที่แรกก่อนเราคือสิงคโปร์ค่ะ) เท่าที่เซิร์ชหารีวิวก็ยังไม่ค่อยมีมากนักอะค่ะ อย่างในพันทิปหรือโอเพิ่นไรซ์นี่ยังไม่เห็นเลยอ้ะ ส่วนสาเหตุที่ได้ไปกินนี่ก็เนื่องมาจากมีคนส่งข้อความหลังบ้านในพันทิปชวนไปกินเพื่อทำรีวิวแหละค่ะ โดยแจ้งมาห้าร้าน แต่เราบอกเงื่อนไขไปว่า เราไม่รีวิวอวยนะ ถ้าดีจะชม อันไหนไม่ดีจะติ แล้วก็ไม่สามารถลงรีวิวให้เร็วได้ เพราะขึ้นอยู่กับปริมาณงานประจำที่ทำอยู่ด้วย แต่จะไม่เกินสองเดือนเต็มที่ ไปๆ มาๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็เลยบอกว่าถ้างั้นขอให้ไปร้านนี้ก่อนเพราะมั่นใจที่สุด (ฮา ) ก็เลยได้ไปกินมาค่ะ


วันที่เราไปกินเป็นวันธรรมดานะคะ นัดไว้ที่ทุ่มครึ่ง ก็ไปถึงตรงเวลาเป๊ะ (ไปเสียเวลาหน่อยตอนหาที่จอดรถ เพราะตัวอาคาร 2 นี่ที่จอดรถเต็มน่ะค่ะ เพราะงั้นเราแนะนำว่าถ้าจะไปกินที่นี่ อาจไม่เหมาะกับการเอารถส่วนตัวไปนะคะ นั่งรถไฟฟ้าแล้วนั่งมอไซค์ต่อ หรือนั่งแท็กซี่ไปเลยดีสุดค่ะ) ตำแหน่งของร้านก็เข้าไปในซอยทองหล่อ 13 จากนั้นพอเลยสี่แยกเล็กๆ ไปสังเกตทางขวามือจะเป็นอาคารรูปตัวยูทางขวามือค่ะ นั่นก็คือ 2 นั่นเอง ร้าน ITO-KACHO จะอยู่ที่ชั้น 1 (ขึ้นไปหนึ่งชั้น เพราะชั้นล่างที่นี่นับเป็น ground floor น่ะค่ะ) ถ้าหันหน้าเข้าอาคาร ร้านจะอยู่ตรงหัวมุมฝั่งซ้ายนะคะ

นี่ก็คือหน้าตาหน้าร้านนะคะ
























เข้าไปในร้านก็เจอเจ้าหน้าที่รอต้อนรับอยู่แล้วคือคุณเปิ้ลกับคุณเดือน ซึ่งให้ข้อมูลเป็นอย่างดีเลยหละค่ะ (ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ นี่คือข้อดีอย่างหนึ่งของการไปกินแบบมีคนชวนไปค่ะ เพราะจะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและละเอียดกว่าไปกินเอง ซึ่งบางที บางร้านก็ไม่ได้มาให้ข้อมูลแบบนี้อ้ะ)

สำหรับบรรยากาศของร้านก็ตามภาพเลยนะคะ ออกแนวเรียบแต่ดูเก๋ โมเดิร์นนิดๆ ดูดีค่ะ

ที่จริงมีห้องส่วนตัวด้วยนะคะ แต่ว่าวันนั้นมีแขก เราเลยไม่ได้ไปถ่ายรูปมาให้ดูง่ะค่ะ

ทั้งร้านนี้จะรับได้เต็มที่อยู่ที่ 83 ท่านนะคะ


































หลังจากพาไปนั่งเรียบร้อยก็มาดูเมนูกันค่ะ หน้าตาเมนูก็ประมาณนี้นะคะ






















ภายในเมนูก็จะมีเรื่องราวต่างๆ นะคะ ที่จริงร้านนี้เป็นแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงด้านยากินิคุอยู่แล้วที่ญี่ปุ่นค่ะ ร้านแรกเปิดที่โตเกียวนะคะ แล้วก็มีการขยายสาขาเพิ่มเติมอีก ร้านนี้มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของเนื้อแบล็ควากิวค่ะ (Beef Lover นี่น่าจะรักร้านนี้เลยหละค่ะ อันจะบรรยายต่อไปนะคะ แฮ่...) เพราะที่นี่เค้าเอาเนื้อวัวเกรดเอ ระดับพรีเมี่ยมจากคิวชูมาบริการน่ะค่ะ แล้วก็ถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 3 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้เอนไซม์ยังไม่ถูกละลายค่ะ แต่ขณะเดียวกันสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อวัว ก็มีเนื้อหมูและซีฟู้ดบริการด้วยค่ะ























จะเห็นว่ามีรูปบอกด้วยนะคะว่าเนื้อแต่ละส่วนที่นำมาให้กินนั้น ส่วนไหนที่เรียกว่าอะไรค่ะ























สำหรับราคานะคะ จะมีทั้งแบ่งแยกตามราคาประเภทของเนื้อวัว ซึ่งก็มีแบ่งตามน้ำหนักของเนื้อวัวที่สั่งด้วยค่ะ

จะเห็นว่ามีตัวมาร์คสีแดงๆ ด้วยนะคะว่าอันไหนที่ recommend น่ะค่ะ






















นอกจากนั้นก็มีให้เลือกสั่งแบบเป็นชุดด้วยค่ะ รวมทั้งส่วนอื่นๆ เช่น ลิ้น ไส้ ฯลฯ





















ต่อไปเรามาดูรายละเอียดแยกย่อยแต่ละชุดแล้วกันนะคะ ชุดที่เป็นเนื้อวัวจะมีด้วยกันสามชุดค่ะ อันบนสุดนี่แพงสุดนะคะ แต่สองชุดแรกนี่จะไม่มีเนื้อหมูเลย มีชุดที่สามค่ะที่มีเนื้อหมูนะคะ





















ชุดแรกชุดมัตสึราคาอยู่ที่ 3580 บาทค่ะ (น้ำหนักของเนื้อรวมทั้งหมด 560 กรัม ครึ่งโลกกว่าๆ) ประกอบไปด้วยเนื้อแบล็ควากิวโรสึ โทกุโจบาระ โทโมะบาระ นากะบาระ ไคโนมิ และเนื้อหมักค่ะ






















ชุดที่สอง ชุดทาเกะ ราคา 2580 บาทค่ะ น้ำหนักเหมือนกันนะคะ มีเนื้อแบล็อกวากิวโทโมะบาระ นากะบาระ อูจิฮารามิ ไคโนมิ เนื้อคารูบิ (เป็นเนื้อ US) และสันคอ (US) ค่ะ






















ชุดที่สาม อูเมะ (เป็นชุดที่เราได้กินหละค่ะ) ราคาอยู่ที่ 1980 บาท น้ำหนักก็เท่าเดิม เป็นชุดที่ผสมระหว่างเนื้อวัวและเนื้อหมูนะคะ ประกอบไปด้วยเนื้อแบล็ควากิวโทโมะบาระ นากะบาระ ไคโนมิ คารูบิ (US) เนื้อหมูสามชั้นและเนื้อหมูหมักค่ะ






















อย่างที่บอกนะคะว่านอกจากเนื้อวัว ก็มีเนื้อหมู ไก่ ปู ซีฟู้ดต่างๆ ให้สั่งด้วยค่ะ





















และเมนูอาหารอื่นๆ ที่มีให้เลือกรับประทานค่ะ





















นอกจากนั้นท่านใดที่ติดที่จะกินของหวานหลังคาวเสมอๆ (เหมือนเรา แหะๆ) ที่นี่มีของหวานที่น่าสนใจคือไอศกรีมในชามหินค่ะ มีทั้งหมดสี่เมนูตามภาพนะคะ วันนั้นก็ได้กินไปหนึ่งเมนู เดี๋ยวจะรีวิวต่อไปนะฮับ





















อ้อๆ ลืมให้ดูอุปกรณ์ค่ะ ตะเกียบกับที่คีบสำหรับพลิกเนื้อเวลาย่างนะคะ จะเห็นว่าเค้าดีไซน์ดีมาก เวลาวางแล้วตรงปลายที่คีบจะไม่แตะพื้นโต๊ะให้สกปรกเลยค่ะ เก๋เชียว ชอบๆ






















สำหรับเตาที่นี่ก็เป็นเตาไร้ควันนะคะ คือควันจะถูกดูดลงข้างล่างเกือบหมดเลยหละค่ะ ทำให้ไม่มีกลิ่นติดเสื้อผ้าหน้าผมเวลากินค่ะ ชอบอ้ะ





















สักพักทางคุณเปิ้ลก็ได้เชิญเชฟมาพูดคุยด้วยค่ะ นั่นก็คือเชฟอ๊อฟ คุณอลงกรณ์เพชรหมัดนั่นเองค่ะ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในหลายๆ อย่างกับเราค่ะ

เราเองก็เพิ่งทราบว่าเนื้อวากิวนี่มีกฎหมายคุ้มครองด้วยนะคะ คือถ้าบอกว่าเป็นเนื้อวากิว แต่ไม่ใช่เนื้อวากิวจริงๆ (คือไปเอาของประเทศอื่นมาปน) จะถูกปรับค่ะ


เชฟเล่าให้ฟังด้วยค่ะว่า กว่าจะเปิดร้านได้ มีเชฟจากญี่ปุ่นมาเทรน กระทั่งการแล่เนื้อให้ได้น้ำหนักที่พอดีคำราวๆ 12-13 กรัม (แม่เจ้า) ก็ต้องเป๊ะจริงๆ (สมกับความเป็นญี่ปุ่นมากๆ อะค่ะ) กว่าจะแล่ เฉือนกันได้เป๊ะๆ แบบที่ขายได้นี่ก็หัดแล่กันหมดไปเป็นแสนอะค่ะ (อยากรู้มาก ตอนหั่นทิ้งเพื่อหัดนั่น เอาเนื้อไปไว้ไหนกันคะ ถ้าหัดคราวหน้าบอกด้วย เดี๋ยวหาอาสาสมัครสลายเนื้อให้ ฮี่ๆ)


นอกจากนั้นเชฟบอกว่า การปิ้งเนื้อควรปิ้งสักแค่ไม่เกินสองนาที ให้กึ่งสุกกึ่งดิบ จะทำให้เนื้อยังหวานอยู่ค่ะ





















จากนั้นเมนูแรกก็เริ่มมาเสิร์ฟค่ะ นั่นก็คือ ลิ้นวัวนั่นเอง ซึ่งเป็นที่หนึ่งสำหรับเมนูขายดีนะคะ แล้วเชฟอ๊อฟก็บอกด้วยว่า คนญี่ปุ่นจะเริ่มสตาร์ทด้วยลิ้นวัวเสมอ ตัวซอสที่มากับลิ้นวัวนั่นเป็นซอสเกลือและหอมญี่ปุ่นค่ะ เพราะฉะนั้นตัวลิ้นวัวนี่จะไม่มีการโรยเกลือเลย เพราะซอสก็เค็มอยู่แล้ว























สำหรับการกินลิ้นนะคะ กลิ่นพริกไทยชัดดีค่ะ ลักษณะเนื้อจะกรุบๆ นุ่มๆ นิดๆ ซึ่งเราลองกินแบบเปล่าๆ กินกับซอสเกลือที่เค้าให้มา และลองกินกับซอสมิโสะ (อันจะกล่าวต่อไปนะคะ) เราถูกจริตกับการจิ้มกับซอสมิโสะมากที่สุดนะคะ อร่อยสุดอ้ะ แฮ่..





















ซอสของทางร้านนะคะ จะอยู่ในโถแบบนี้ค่ะ ซึ่งเราก็ต้องเทใส่ถ้วยน้ำจิ้มสามช่องแบบนี้เอง ซอสของร้านจะมีซอสมิโสะและซอสมิโสะผสมสาเก (สีเข้มกว่านั่นคือซอสมิโสะค่ะ ที่สีออกส้มๆ นี่คือมิโสะผสมสาเกนะคะ) ทางคุณเปิ้ลและเชฟบอกว่าก่อนหน้านี้มีซอสเผ็ดด้วย แต่ทางญี่ปุ่นให้ยกเลิกไปเพราะต้องการให้กินแบบออริจินัลของทางญี่ปุ่นจริงๆ แต่ตอนนี้ทางเชฟเองก็กำลังพยายามคุยอยู่ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็ยังติดกินเผ็ดน่ะนะคะ























แต่เชฟก็ไปเอาพริกกับกระเทียมมาเพิ่มให้ด้วยค่ะ เพื่อให้ผสมถ้าต้องการเผ็ดเพิ่มเติม ตัวพริกใช้พริกดีนะคะ เผ็ดสมควรแก่การเป็นพริก ไม่ต้องใส่เยอะก็เผ็ดค่ะ





















ต่อไปเป็นชุดโทมะค่ะ จะเป็นจานขนาดใหญ่มีเนื้อวัวและหมูห้าชนิด และโถอีกหนึ่งโถตามภาพเลยค่ะ





















พอจะเริ่มปิ้งย่าง เชฟก็เอาไปราดซอสมิโสะมาตามภาพค่ะ






















ซูมๆๆ ขออภัยถ้าท่านมาเปิดดูรีวิวนี้ตอนท้องว่างด้วยนะคะ แหะๆ























ในชุดนี้ก็ประกอบไปด้วยเนื้อห้าอย่างตามภาพนะคะ





















ตัวเนื้อหมูหมักในโถนี่เป็นเนื้อสันคอนะคะ หมักซอสมิโสะนาน 24 ชั่วโมงค่ะ





















ตัวเนื้อสันคอหมักนะคะ ค่อนข้างมีความกรุบ เนื้อหนากว่าเด้งกว่าตัวเนื้อหมูสามชั้นค่ะ รสสัมผัสในปากค่อนข้างสู้ฟันดีมาก แต่ไม่ค่อยถูกจริตกับเราเท่าไหร่ค่ะ แต่ถ้าชิ้นไหนที่ไม่มีเอ็นจะนุ่มนวลอร่อยกว่าเยอะค่ะ (คือมันเป็นชิ้นใหญ่ แล้วเราต้องมาตัดอีกทีน่ะนะคะ เพราะงั้นอยู่ที่ว่าตัดแบบมีส่วนไหนผสมนะคะ)





















เนื้อแบล็ควากิว ไคโนมิค่ะ






















ผลการกินไคโนมิ ขอบอกว่าเนื้อมันนุ่มมากกกกกกก นุ่มที่สุดในจานเลยค่ะ เคี้ยวปุ๊บนี่หลอมละลายในปากไปเลย ไม่มีอาการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับฟันแต่นุ่มละลาย ตัวไขมันแทรกซึมซึ่งพอย่างมันก็ละลายไปกับเนื้อทำให้นุ่มมากๆ อร่อยค่ะ ชอบอ้ะ






















ต่อไปเป็นเนื้อหมูสามชั้นหมัก (ตัวนี้จะหมักไม่ถึง 24 ชั่วโมงเหมือนตัวในโถนะคะ) จะหมักตอนลูกค้าสั่งค่ะ แล้วก็เป็นเนื้อหมูไทยนะคะ ผลการกินคือ หอมตอนเคี้ยว แล้วก็เนื้อมีความเหนียวบางช่วง แต่พอกินอีกชิ้นกลับไม่เหนียวค่ะ กำลังดีเลย รสชาติดี แต่มีกลิ่นนิดหน่อยนะคะ





















ต่อไปค่ะ เนื้อแบล็ควากิวโทโมะบาระ ตัวนี้เชฟบอกว่า จะกินนิ่มไม่เหนียวมากค่ะ สำหรับผลการกินของเรานะคะ มันเป็นเนื้อที่ชุ่มฉ่ำมาก พอเคี้ยวปุ๊บ ไขมันที่ซ่อนอยู่ในตัวเนื้อจะเล็ดไหลออกมา (เหมือนมันได้แทรกซ่อนอยู่ตรงกลางของเนื้อแล้วค่อยปะทุออกมาค่ะ ซึ่งแตกต่างจากไคโนมิที่มันจะละลายผสมกับเนื้อไปเลยเมื่อย่าง) นิ่มค่ะ แต่ก็ยังมีความเป็นเนื้ออยู่





















ต่อไปเป็นเนื้อนากะบาระค่ะ ผลการกินนะคะ พอเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวปุ๊บ นุ่มมากกกก ระหว่างเคี้ยวตัวเนื้อจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับฟันไปด้วยค่ะ เคี้ยวสนุกดี เป็นอีกตัวที่เราชอบนะคะ





















ต่อไปค่ะกับเนื้อ US ตัวนี้เชฟบอกว่าเหมาะสำหรับคนชอบเนื้อ เนื้อแดงจะเยอะ ทำให้เคี้ยวยากและหนึบ (มีการบอกว่า อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุนัก ฮา ) สำหรับการกินของเรา ตัวกลิ่นจะเข้มกว่าเนื้อตัวอื่นๆ ในจานค่ะ นุ่มมากและความเป็นเนื้อชัดดี เวลาเคี้ยวก็เพลินมาก เป็นอีกตัวที่เราชอบเช่นกันค่ะ





















ต่อไปเป็นชุดซีฟู้ดค่ะ ชุดนี้จะประกอบไปด้วยปลาหมึกและหอยเชลล์โอดาเตะที่อยู่ในกล่องห่อฟอยล์ ปูทาราบะ และกุ้งลายเสือนะคะ ในกล่องฟอยล์หนึ่งจะมีหอยโอดาเตะอยู่สามตัวค่ะ ชุดนี้ราคาอยู่ที่ชุดละ 1280 บาทนะคะ





















สำหรับผลการกินชุดนี้นะคะ ตัวปลาหมีกมาเป็นแบบแว่นๆ ค่ะ สด รสดี เวลาย่างกลิ่นหอมระรวยออกมาค่ะ ส่วนตัวหอยเชลล์หนา สด ไม่เค็ม อร่อยค่ะ และปูทาราบะ สดในระดับหนึ่งนะคะ รสชาติปูก็ดีค่ะ (คือจะหวังให้สดเท่าไปกินที่ญี่ปุ่นก็คงไม่ใช่อะนะคะ อย่างน้อยก็ต้องมีเรื่องของเวลาในการขนส่งอยู่แล้ว แล้วเราเป็นคนเรื่องมากกับอาหารซีฟู้ดอย่างที่คนอ่านบล็อกคงจะทราบน่ะนะคะ เพราะโตมากับจังหวัดที่มีทะเล และได้กินอาหารซีฟู้ดสดๆ มาตั้งแต่เด็กอ้ะ) คือ โดยรวม สดไม่เสียชื่อค่ะ โอเลย แต่ก็ไม่ถึงกับว้าวสุดยอดนะคะ ส่วนกุ้งลายเสือนี่ ขอบอกว่าย่างแล้วหอมมากๆ กลิ่นพุ่งสุดๆ เนื้อเด้ง อร่อยค่ะ ชอบ























ส่วนนี่เป็นอีกเมนูที่เชฟสั่งมาให้กินค่ะ เป็นสลัดมันฝรั่ง บอกว่าเป็นเมนูขายดี เหมาะสำหรับกินแก้เลี่ยนจากการกินแต่เนื้อๆ สำหรับรสชาตินะคะ รสชาติกลมกล่อมดี แล้วก็ช่วยแก้เลี่ยนจากการกินเนื้อได้ดีจริงๆ หละค่ะ





















ต่อไปเป็นไส้วัวค่ะ อันนี้ก็ของไทยอีกเช่นกันค่ะ เชฟบอกว่าตัวนี้นำเข้าไม่ได้ (แต่ลืมถามเหตุผลต่อแฮะ) ซึ่งเชฟบอกว่า ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะกินเจ้านี่เป็นอย่างสุดท้ายค่ะ





















เวลาย่างเจ้าไส้นี่ จะมีเปลวไฟพุ่งขึ้นมาเป็นระยะค่ะ คงเพราะไขมันในไส้มันหยดลงไปอะนะคะ ตัวไส้นี่หอมมันๆ ดีค่ะ รสชาติค่อนข้างหวานเลยนะคะ กรุบหนึบ และค่อนข้างเคี้ยวยากนิดหนึ่งค่ะ โดยรสที่เจอ (หวานลิ้น) ค่อนข้างชอบค่ะ แต่ไม่ชอบที่เคี้ยวยาก แหะๆ





















สำหรับการบริการนะคะ ทางร้านค่อนข้างเอาใจใส่อย่างมากกับการเปลี่ยนตะแกรงค่ะ อย่างตอนเราไปนี่เปลี่ยนทั้งหมดสามรอบ และในการเปลี่ยนแต่ละครั้ง ทางพนักงานจะแจ้งว่าให้รอก่อน 3 นาทีเพื่อให้ความร้อนมันได้ระดับน่ะนะคะ พนักงานบอกว่าที่ต้องเปลี่ยนบ่อยเพราะไม่ต้องการให้รสชาติของเนื้อเปลี่ยนอันมีผลมาจากสิ่งที่ติดที่ตะแกรงค่ะ

นอกนั้นในการบริการอื่นๆ ค่อนข้างเอาใจใส่ดีค่ะ (แต่อย่าลืมว่าทางร้านทราบนะคะว่าเราไปกินเพื่อรีวิว เพราะฉะนั้นอาจจะได้รับการกำชับเรื่องของการบริการเป็นพิเศษ) มีพลาดนิดหน่อยคือ เราสั่งชาร้อน แต่น้องจะไม่ค่อยได้ดูว่าต้องเติมน่ะค่ะ ต้องแจ้งให้เติม ซึ่งถ้าร้านวางตำแหน่งตัวเองไว้ที่ Fine Dining เราว่าเรื่องการบริการตรงนี้ต้องระวังกว่านี้นะคะ ไม่ควรหลุดอะเนาะ


ต่อไปเป็นของหวานกันบ้างค่ะ กับชุดมิกซ์เบอรี่ มาเป็นชามหินอ่อนแบบนี้นะคะ แล้วเราต้องมาคลุกเคล้าอีกทีค่ะ























เค้าจะเสิร์ฟมาพร้อมกับถ้วยแก้วแช่เย็นด้วยนะคะ ใส่ใจดีค่ะ ทำให้รักษาอุณหภูมิของไอศกรีมได้ดีขึ้น





















มาดูกันค่ะ ชุดมิกซ์เบอรี่ราคา 190 บาท ประกอบไปด้วยไอศกรีม สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ ซอฟท์ครีม และชีสเค้กซึ่งทางร้านทำเองค่ะ (ชุดอื่นๆ ก็จะมีชีสเค้ก ยกเว้นชุดชาเขียวจะเปลี่ยนเป็นโมจิแทนชีสเค้กค่ะ ซึ่งคุณเปิ้ลแจ้งว่าต้องคลุก ถ้าไม่คลุกโมจิจะแข็งมากค่ะ)





















มาคลุกเคล้า มิกซ์ๆๆ กันค่ะ อันนี้เราวานให้คุณเปิ้ลคลุกให้ เพราะเราต้องการถ่ายรูป อิอิ


























คลุกเสร็จก็ตักใส่ถ้วยของแต่ละคนค่ะ รสชาติออกแนวเปรี้ยวๆ ค่ะ กินแล้วสดชื่นดี ล้างปากจากการกินเนื้อย่างได้ดีมากเลยหละค่ะ






















ไวน์ลิสต์ของร้านนี้นะคะ จะมีไม่มากนักค่ะ เชฟอ๊อฟบอกว่าแต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเริ่มกันด้วยเบียร์มากกว่าค่ะ แล้วพอกินไปสักพักค่อยสั่งไวน์ค่ะ





















ส่วนตัวนี้เป็นชาบูชาบู ซึ่งทางร้านทำเพิ่มขึ้นมาค่ะ สำหรับใครที่อาจจะไม่อยากกินแบบปิ้งย่าง แต่ต้องการคุณภาพของเนื้อในระดับเดียวกันค่ะ





















ปิดท้ายกันด้วยรูปเชฟอ๊อฟอีกครั้งค่ะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับข้อมูลและการแนะนำหลายๆ อย่างนะคะ เป็นมื้อหนึ่งที่กินได้อย่างรื่นรมย์มากๆ ค่ะ (ขอบคุณคุณเปิ้ลและคุณเดือนด้วยค่ะที่ดูแลและช่วยให้/หาข้อมูลเวลาเราสงสัย แฮ่...)


















สรุปสำหรับร้านนี้นะคะ เราว่าสำหรับคนที่รักการกินเนื้อวัว โดยเฉพาะคนที่โปรดเนื้อวากิวนี่ไม่ควรพลาดเลยหละค่ะ แม้ราคาจะสูง ด้วยทำเลกับวัตถุดิบดีๆ ที่ต้องนำเข้า แต่ถ้าถามเรานะคะ เราว่าคุ้มค่า เพราะถ้าเทียบกับตอนเราไปกินบุฟเฟท์ที่โตเกียว ตกหัวละสองพัน เราก็กินในปริมาณที่เราจ่ายที่นี่ในราคาที่น้อยกว่าด้วยซ้ำอะค่ะ สำหรับท่านใดที่จะไป ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 800-1200 บาทค่ะ แต่ถ้าใครจะเป็นกรุ๊ปไป ที่นี่ก็รับนะคะ ที่เชฟเล่าให้ฟังก็คือ เคยมีกรุ๊ปมาเลี้ยงสังสรรค์กัน 30 คนจ่ายคนละ 1500 บาท แล้วทางร้านก็จะจัดเซ็ตที่เหมาะสมให้อะค่ะ ถ้าใครสนใจก็ลองติดต่อกับทางร้านดูนะคะ




อ้อๆ ร้านนี้เปิด 17.30-24.00 น.นะคะ แต่รับออร์เดอร์สุดท้ายตอนห้าทุ่มครึ่งค่ะ เพราะฉะนั้นต้องไปกินเป็นมื้อเย็น-ดึกเท่านั้นนะคะ มื้อกลางวันไม่ได้อ้ะ เสียดายเหมือนกันค่ะ










การให้คะแนน (ความคิดเห็นส่วนตัวสุดๆ นะคะ)

รสชาติ
เนื้อยูเอส A / เนื้อนากะบาระ A / เนื้อไคโนมิ A / ลิ้น B+ / เนื้อโทโมะบาระ B++ /
เนื้อหมูสามชั้น B / สันคอหมู B และ A / ปลาหมึก B+ / หอยเชลล์ B++ / ปูทาราบะ B+
สลัดมันฝรั่ง B++ / กุ้งลายเสือ B++ / ไส้ B / ชุดไอศกรีมมิกซ์เบอรี่ B+
วัตถุดิบ B+ และ A
การบริการ B+
บรรยากาศ B++
ราคา B+
ความสะอาด B+
ความคุ้มค่า B++











ปฏิทินธรรม








วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557

1. ตักบาตรพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น วัดพุทธบูชา (ทุกวันเสาร์แรกของเดือน)




วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 (กิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน)

1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37
เวลา 06.30-10.30 น.


ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่
//www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447




วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557

1. ฟังธรรมจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล (วงศ์วรวิสิทธิ์) เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ
18.30 น. - สวดมนต์ ทำวัตรเย็น / 19.00-21.00 น. - นั่งสมาธิ และ ฟังธรรม (เน้นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4)

ณ หอประชุมพุทธคยา อมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.facebook.com/events/461810827222317/?ref=5




วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2557 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน)

1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14
กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น.

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts



วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557

1. ฟังธรรมจากหลวงปู่ท่อน ญาณธโร เจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน บ้านหนองมะผาง ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย และเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต)

18.30 น. - สวดมนต์ ทำวัตรเย็น / 19.00-21.00 น. - นั่งสมาธิ และ ฟังธรรม (เน้นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4)

ณ หอประชุมพุทธคยา อมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.facebook.com/events/204465446420916/?ref=5




วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557 (กิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือน)

1. ตักบาตรพระกรรมฐาน (นิมนต์พระสายหลวงปู่มั่น) ที่วัดบรมนิวาส (ไม่มีรายละเอียดอย่างอื่นค่ะ)





วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557
1. อบรมปฏิบัติธรรม โดย พระครูเกษมธรรมทัต (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
ตั้งแต่เวลา 15.00 น. - 17.00 น.
ณ ศาลาไตรสิกขา บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2

เว็บไซต์บ้านจิตสบาย
//www.jitsabuy.com/





วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557 (จัดทุกวันเสาร์ที่สี่ของเดือน)

1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร เมตตารับบาตร โดย พระราชภาวนาวิกรม (หลวงเลี่ยม ฐิตธมฺโม) วัดหนองป่าพง จ. อุบลราชธานี พระครูสุธรรมประโชติ (หลวงพ่อคำผอง ฐิตปุญโญ) วัดป่าพิทักษ์ธรรม จ. นครราชสีมา พระครูภาวนาอุดมคุณ (หลวงพ่อโสภา อุตฺตโม) วัดเขาวันชัยนวรัตน์ จ. นครราชสีมา

เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ บ้านอารีย์

เว็บไซต์บ้านอารีย์
//www.baanaree.net





วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557

1. ฟังธรรมจากพระครูเกษมธรรมทัต เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา

18.30 น. - สวดมนต์ ทำวัตรเย็น / 19.00-21.00 น. - นั่งสมาธิ และ ฟังธรรม (เน้นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4)

ณ หอประชุมพุทธคยา อมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.facebook.com/events/507821282670092/?ref=5



















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ

1,469,696+1405716=2875412/10216/832



Create Date :13 กุมภาพันธ์ 2557 Last Update :13 กุมภาพันธ์ 2557 5:31:15 น. Counter : 19700 Pageviews. Comments :43