Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
ฟ้ากระจ่างดาว ( ป๋อ - นุ่น - น้องเก้า ) ละครไทยในความทรงจำดีๆ



ขอมาอินเทรนด์กับละครในบทประพันธ์ของกิ่งฉัตร "ฟ้ากระจ่างดาว" ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับละครช่องสามเวอร์ชั่น "บอย-แมท" ที่ดูบ้างบางวัน เพียงผ่านๆ .. แต่ก็ทำให้คิดถึงเวอร์ชั่น "ป๋อ-นุ่น" ขึ้นมาจับใจ เพราะเมื่อแปดปีก่อนที่ดูละครเรื่องนี้ของช่องเจ็ด เป็นอะไรที่โปรดปรานอย่างมาก คิดถึงจริงๆ คิดถึง "คุณมี่" กับ "สารวัตรขยันยิ้ม"





Smiley อ่านรีวิวนวนิยาย ฟ้ากระจ่างดาว .. อบอุ่นกระจ่างใจSmiley




มาเล่าถึงละครเวอร์ชั่นนี้ ซึ่งนานทีปีหนได้รีวิวละครไทยสักที งานนี้ขอจัดเต็มอารมณ์อิน

บทโทรทัศน์โดย "ช่างปั้นเรื่อง"

มีคณา หรือ มี่ มี พื้นเพมาจากครอบครัวในหมู่บ้านตกเขียวแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ที่ๆ การทำอาชีพโสเภณีเกือบเป็นเรื่องปกติ เพราะใครๆ เขาก็ทำกัน บาดแผลในจิตใจที่เกิดขึ้นจากครอบครัวของเธอเอง ส่งผลให้มีคณาเลือกอาชีพเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม ติดตามทำข่าวเกี่ยวกับยาเสพติด การค้าประเวณี การทำทารุณกรรมผู้หญิงและเด็กมาโดยตลอด  เธอเป็นคนนิ่งๆ ค่อนข้างเงียบและเรียบร้อย แต่ในการทำงานเธอเป็นคนเด็ดขาด ใจกล้าขาลุย มั่นใจในความคิดและการกระทำของตนเอง อย่างที่พระเอกของเรื่องพูดไว้

"เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่ข้างในหัวใจนักสู้"
ถ้าคุณได้ทำงานร่วมกับเธอ คุณจะชอบเธอ ..เหมือนผม"




นุ่น-วรนุช คือมีคณาที่เดินออกมาจากหนังสือนิยาย แต่ถ้าจะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะได้ดูละครก่อนอ่านหนังสือ เป็นนุ่นต่างหากที่เดินเข้าไปในหนังสือที่เราอ่าน จะอ่านครั้งแรกหรือครั้งหลัง คุณมี่ในหนังสือกับคุณมี่ในละครก็คือคนๆ เดียวกัน ให้พยายามจินตนาการยังไง ก็หนีไม่พ้นหน้าบุคลิกหน้าหน้าที่นุ่นได้เล่นไว้ในละคร เรียกว่าอินจนติดภาพว่างั้นเถอะ ก็กระทั่งท่าขยับแว่นของนุ่นยังดูเป็นธรรมชาติมากเลย



พ.ต.ต. หิรัณย์ หรือที่นางเอกตั้งฉายาอยู่ในใจว่า "สารวัตรขยันยิ้ม" เป็นนายตำรวจสังกัดหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด แล้วการติดตามจับกุมเด็กหญิงส่งยาตัวน้อยๆ ก็เป็นเหตุให้เขาได้พบกับเธอ ผู้หญิงตัวบางๆ หน้าใสๆ ใส่แว่นหนา หน้าตาหงิมๆ แต่ดุดันเอาเรื่องเป็นที่สุด

"โธ่! ถ้าแกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฉันก็เป็นรัฐมนตรีหญิงแล้วล่ะ!"

ในตอนที่ยังไม่เคยอ่านนิยาย คือตอนนี้แหละที่ทำให้เราตกหลุมรักละครเรื่องนี้เข้าอย่างจัง นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ สารวัตรกำลังหาบัตรแสดงตัว แต่พลเมืองดี-มีคณาก็ไม่รอยืนยันและยังช่วยให้เด็กหญิงวิ่งหนีไปได้ เข้าขัดขวางผลักแม่เล้า (หมวดดาว) าง และฟาดหนังสือพิมพ์ใส่ไอ้แมงดา  (สารวัตรหิรัณย์) ไม่ยั้ง



ป๋อ-ณัฐวุฒิ อาจเป็นสารวัตรหิรัณย์ที่ไม่เหมือนในหนังสือซะทีเดียว (แน่ล่ะ ในนิยายพระเอกขาวตี๋ แต่พี่ป๋อดำมืดซะขนาดนี้) สารวัตรในหนังสือจะขยันหยอดแต่มาดเขานิ่ง ส่วนในละครพี่ป๋อจะเล่นออกมามีอารมณ์ขันมากกว่า ไม่ใช่แค่ 'ขยันยิ้ม' แต่ยัง 'ขยันฮา' อีกด้วย ออกมาทีไรถ้าไม่ได้หัวเราะก็ได้ฉีกยิ้มกว้างไปกับความตลกน่ารักของสารวัตรทุกที แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเค้าโครงอุปนิสัยที่ถูกอกถูกใจอย่างมาก เริงรื่นมีชีวิตชีวาจนนึกไปว่าอยากมีแฟนเป็นคนแบบนี้

 


สันติ เป็นลูกของ ธำรง น้องชายต่างพ่อของมีคณาที่มีเลือดพ่อแรง วันๆ ไม่คิดทำงานทำการอะไรนอกจากเกาะผู้หญิงกิน ดื่มเหล้าเมามายจนเกิดอุบัติเหตุขาพิการ แม่ของสันติจึงถูกบีบให้ต้องไปขายตัวที่เยอรมัน ความขัดสนและความหวังอยากให้ลูกผู้ชายได้รับการส่งเสียเลี้ยงดูได้เรียนหนังสือสูงๆ มีหน้ามีตา โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน สันติจึงถูกส่งตัวมาอยู่กับมีคณาที่กรุงเทพ โดยที่เธอไม่ได้เต็มใจแต่ก็ขัดคำขอร้องจากแม่ของเธอไม่ลง

น้องเก้า-จิรายุ ถูกเลือกมาเหมือนในหนังสือ คือ ผิวขาว หน้าตาน่ารัก อายุ ๑๐ ขวบ ตอนนั้นยังตัวกะเปี๊ยก หน้าเล็กนิดเดียว เล่นได้แสบไส้ โยยวน กวนโทโส แต่ด้วยหน้าตาน่ารัก จึงทั้งน่ารักน่าชัง และน่าสงสารใช้ได้เลยล่ะ

>


การนำนิยายเรื่องนี้มาทำเป็นละคร คิดว่าถ้าไม่มีการปรับเนื้อเรื่องจากหนังสือมันคงจะจืดชืดน่าดู เพราะในละครไม่อาจจะมีบทบรรยายความรู้สึกนึกคิด ต้องอาศัยเนื้อเรื่องและการแสดงบทบาทของนักแสดงให้เรารู้สึกและเข้าใจ เมื่อปรับแล้ว บางอย่างก็เว่อร์ไปบ้าง แต่บางอย่างก็ดี เสริมเหตุเสริมผลให้กับการกระทำของตัวละครและทำให้เรื่องราวสนุกขึ้น

 

ความเว่อร์มักจะเป็นในส่วนของเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉากบู๊แอคชั่นอันเป็นจุดขายของพระเอกไว้เอาใจแฟนละครคอบู๊ของช่องเจ็ดไงล่ะ  ละครที่พระเอกเป็นตำรวจใช่จะหากันได้ง่ายๆ และนักแสดงที่จะเล่นเป็นตำรวจก็ใช่จะหาที่ดูเหมาะได้ง่ายๆ เหมือนกัน  พระเอกเป็นตำรวจต้องหมายถึงคนเก่ง คนเท่ห์ใช่ไหมล่ะคะ อาจจะต้องหล่อ แต่ไม่จำเป็นต้องหล่อมาก แต่ต้องดูแมนๆ เข้าไว้ (ดำๆ อย่างพี่ป๋อก็ถือว่าใช่เลย) เป็นถึงตำรวจ ยศไม่ใช่น้อยๆ "พันตำรวจตรี" จะมาเดินลอยชายจีบสาวไปวันๆ ได้ยังไงกัน มันต้องมีเรื่องให้พระเอกทำงานให้บู๊มากๆ เข้าไว้  เวอร์ชั่นนี้จึงออกแนวหนักไปทางดราม่าแอคชั่น

 

ตั้งแต่แรกพบ 'ท่านรัฐมนตรีหญิง' ที่หัวลำโพง ได้พบครั้งที่สองที่มูลนิธิช่วยเหลือเด็กและรู้ว่าเป็น 'นักข่าว' สองครั้งไม่เท่าไหร่ แต่ที่ได้พบอีกครั้งในงานแฟชั่นการกุศลเพื่อรณรงค์หาเงินช่วยเหลือทางการใช้เป็นงบประมาณปราบปรามยาเสพติด เอ๊ะ ชักยังไง สามครั้งนี่คงเป็นบุพเพสันนิวาส

แล้วจากวันนั้น สารวัตรหิรัณย์ก็มั่นใจ คนนี้แหละใช่เลย จึงตามจีบอย่างโจ่งแจ้งและใช้งานเป็นสะพานอย่างเปิดเผย  ทั้งความรู้สึกทั้งเจตนา แสดงออกตรงไปตรงมาให้รู้กันไปเลย

ยิงปืนนัดเดียวหวังสอยนกสองตัว สารวัตรพาตัวเองแวะเวียนมาที่สยามสาร ด้วยวัตถุประสงค์สองประการคือ หนึ่ง .. จีบคุณมี่ และสอง จีบ บ.ก.สยามสาร ที่หลงคารมคมหอกของสารวัตรจนต้องส่งมีคณาติดตามทีมงานของตำรวจไปทำข่าวจับกุมการล่อซื้อยาเสพติดในคดี "แกะดำ" (ฉายาคนร้ายที่ตำรวจตั้งให้) ก็สารวัตรต้องทำงาน จะเอาเวลาไหนมากมายมาจีบคุณมี่ ไหนๆ คุณมี่ก็ต้องทำข่าว เมื่อสารวัตรพิจารณาแล้วว่ามันไม่อันตรายมากนัก  ก็ไปด้วยกันนี่แหละดี จะได้ทำงานไปด้วยและจีบคุณมี่ไปด้วย (อย่างคุ้ม)




ดคีเอเย่นต์ "สุภาพบุรุษ" เป็นอีกคดียาเสพติดที่มีคณาได้มีโอกาสติดตามทีมงานของสารวัตรไปทำข่าวการจับกุมที่เชียงใหม่ ไปทำงานใหญ่งานสำคัญ นอกจากสารวัตรจะไม่เครียด ยังเริงรื่นชื่นอุราประหนึ่งไปฮันนีมูนสวีท แต่สารวัตรเวรี่แฮปปี้อยู่แค่ข้างเดียวแหละ เพราะคุณมี่เขาจริงจังกับงานในหน้าที่ไม่ได้แฮปปี้เอนเตอร์เทนไปกับคุณสารวัตรด้วย




จุดเริ่มต้นของดอกส้มสีขาว สัญลักษณ์แทนใจที่ไม่ใช่เพียงสื่อความหมายของการเป็นนักข่าว "นกน้อยในไร่ส้ม" เหมือนในนิยายที่สารวัตรส่งมาให้คุณมี่ทุกเช้า แต่ในละครเพิ่มไปว่าสารวัตรได้เห็นคุณมี่ชอบกลิ่นหอมของดอกส้ม หลังจากนั้นจึงจัดส่งมาให้ด้วยตนเองทุกครั้งที่มีโอกาส



ชอบ..ที่สารวัตรพาตัวเองไปเป็นแขกประจำของ สนพ.สยามสาร (จะว่าแขกของคุณมี่ก็ไม่ใช่ เพราะคุณมี่ไม่เคยเชิญ) ยามว่างเว้นจากการงานของตนเอง ก็เข้าตามตรอกออกตามประตูมาหาคุณมี่ ประสาคนไม่ได้เห็นหน้าเจ้าไม่รู้สึกว่าได้พักผ่อน จะได้คอยสึกกร่อนอีกหนึ่งด่านอรหันต์ของคนที่รักและห่วงใยคุณมี่ด้วยการผูกมิตรกับเจ้านายกับเพื่อนพ้องของคุณมี่เข้าไว้ แต่อย่าคิดว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่ทำงานทำการนะคะ เพราะถ้าไม่มาหาคุณมี่ สารวัตรก็ทำงานตลอดค่ะ ไม่ออกจับกุมก็อยู่ที่โต๊ะทำงาน พระเอกเป็นตำรวจชั้นหัวหน้าน่ะ เท่ห์ดีนะคะ




เกี่ยวกับเอเย่นต์ค้ายา "สุภาพบุรุษ" ละครปรับเพิ่มขึ้นมากจากหนังสือคือ สุภาพบุรุษถูกปล่อยตัว มาเล่นบทตัวโกงต่อ แค้นทั้งสารวัตรที่จับกุมและยึดของกลางไปได้เสียหายเป็นมูลค่ากว่าร้อยล้าน และแค้นทั้งมีคณาที่เป็นพยานปากเอก งานนี้คุณนักข่าวหวานใจนายตำรวจ (แต่นายตำรวจไม่ได้เป็นหวานใจของคุณนักข่าวเค้าหรอกนะ) จึงโดนสะบักสะบอม ทั้งถูกซ้อม ถูกยัดข้อหา ถูกลักพาตัว ให้สารวัตรได้โชว์พาวของการเป็นพระเอกมากกว่าในหนังสือสักหน่อย คือการเป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง

 

ตัวละคร วิมลิน หรือ ผู้หมวดดาว  ร้อยตำรวจหญิงลูกทีมสารวัตร รับบทโดย เอมี่ มรกต เราชอบนะที่หมวดดาวถูกเขียนบทให้แอบชอบสารวัตรหิรัณย์ มันมีสีสันดี เพราะนี่ก็ไม่ใช่ละครภาคต่อที่จะต้องไปห่วงว่าหมวดดาวจะไปเป็นนางเอกเรื่องไหน แต่ที่ไม่ชอบคือคาแรคเตอร์ของหมวดดาว นางสะบัดสะบิ้งไปสักหน่อย ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับการเป็นผู้หญิงมีมาด เก่งและเท่ห์และดีอย่างหมวดดาวในหนังสือเลย

แต่การปรับบทต่างไปจากหนังสือที่ดีและถูกใจมีอยู่หลายสิ่งอย่างมาก .. นั่นคือ ความดราม่า

ขอบ ครอบครัวที่อบอุ่นน่ารักของสารวัตร พ่อแม่ลูก รักใคร่กลมเกลียวได้น่ารักสุดๆ ส่วนเรื่องแฟนเก่าที่เสียชีวิตถึงไม่เห็นความจำเป็นต้องมี แต่ภาพผู้ชายแมนๆ หอบช่อดอกไม้ไปไหว้หลุมศพแฟนแล้วเล่าให้ฟังว่า ผมเจอคนที่ชอบแล้วนะครับ มาบอก มาขออนุญาติ มาสัญญา  ก่อนที่จะเริ่มไปจีบคุณมี่อย่างจริงจัง ช่วยสร้างภาพการเป็นผู้ชายที่ดี ที่อบอุ่นจริงใจให้กับสารวัตรได้อย่างมาก

ชอบ  ที่สารวัตรสามารถกระเถิบตัวเอง จากการส่งคุณมี่หน้าวัด หน้าโรงเรียน แล้วทำเนียนมาถึงหน้าบ้านได้เร็ว (ต่อมาก็พัฒนาจนเป็นเข้านอกออกใน เปิดพัดลม ทีวี ชงกาแฟ ซื้ออาหารเข้าบ้าน กินข้าวล้างจานเอง..ในที่สุด) จึงได้รู้จักกับสันติตั้งแต่แรกเริ่ม ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างผู้ชายต่างวัยสองคนเป็นความสนิทสนมกันเอง ที่คนเข้มงวด เจ้าระเบียบ มีแต่สั่งและสอนอย่างมีคณายังเข้าไม่ถึงใจของสันติอย่างที่สารวัตรทำได้



สันติถูกเลี้ยงดูมาจากความเชื่อฝังหัวที่ผิดๆ อยู่ในครอบครัวที่ผู้ชายกดขี่ทำร้ายผู้หญิง เขากลายเป็นเด็กที่วางตัวเบ่งโตหยาบคายนิสัยเสีย เมื่อต้องมาอยู่กับป้าที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้จัก  เคยได้ยินแต่ปู่กับพ่อด่ากราดถึงมันอยู่ทุกวัน มันก็ด่าปู่ด่าพ่อให้ได้ยินกรอกหูด้วย ป้าใจยักษ์มันคงเกลียดเรา คงไม่อยากให้เรามาอยู่ด้วยหรอก

ประสาเด็กที่รับรู้ความเกลียดชัง จึงวางท่ากร่างยโสไม่ยอมลงให้มันไว้ก่อน ส่วนคนเป็นป้า จากที่เกลียดปู่เกลียดพ่อของหลานอยู่แล้ว เจอหลานนิสัยกร่างโต ดูถูกผู้หญิง ทั้งหยาบคายทั้งก้าวร้าวเห็นแก่ตัวเข้าอีก 'อคติ' จึงทำให้เธอเอาแต่ดุว่า แม้เจตนาจะพร่ำสอนแต่ใจก็ไม่ได้เชื่อว่าหลานชายจะเปลี่ยนเป็นเด็กดีได้ สุดท้ายก็คงเชื้อไม่ทิ้งแถว




ในสายตาสารวัตรหิรัณย์ ไม่ใช่แค่สันติหรอกที่เป็น 'เด็กมีปัญหา' ป้ามี่ก็ดูจะเป็นอดีตเด็กมีปัญหาที่กลายเป็น 'ผู้ใหญ่มีปัญหา' ด้วยเหมือนกัน

"ต้องรอให้สันติอารมณ์ปกติก่อนน่ะค่ะ แล้วค่อยคุยได้"

"ผมว่า .. คุณต่างหากล่ะมั้งครับ ที่ต้องปรับอารมณ์ให้เป็นปกติซะก่อน
ก่อนที่จะคุยกับหลาน มี่.. โบว์น่ะสวยน่ะครับ แต่ต้องไม่ผูกไว้ที่คิ้ว"
....

"คุณกับผมเคยเป็นเด็กมาก่อนนะครับ เคยดื้อเคยซนด้วยกันทั้งนั้น"

"ฉันไม่เคยเป็นเด็กแบบนี้"

"แต่เราก็ต่างเคยเป็นเด็กที่เกลียดและกลัวไม้เรียวไม่ใช่เหรอครับ
สันติยังเป็นเด็กนะครับ เป็นไม้อ่อน ค่อยๆ ดัด ค่อยๆ สอนสิครับ"
.....

"เปิดใจสิครับ แล้วคุณจะเห็นว่าสันติเป็นเด็กดี"

"ฉันบอกฉันสอนจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว"

"สั่งให้ทำ กับเปิดโอกาสให้แสดงออกมันไม่เหมือนกันนะครับ"
....



ชอบสุดๆ คือฉากที่สารวัตรกับมีคณาโต้เถียงกันเรื่องนี้

"คุณเปลี่ยนอดีตไม่ได้หรอกครับ แต่คุณแก้ไขอนาคตได้!

ทำไมคุณไม่พยายามหยุดมันล่ะครับ คุณจะปล่อยให้เด็กอายุสิบขวบ

ต้องอยู่ในสถานที่แบบนั้น ทั้งๆ ที่คุณก็รู้เหรอครับว่ามันเลวร้ายขนาดไหน"

"แล้วไงล่ะ! คุณก็เห็นนี่นะว่าเด็กคนนั้นเลือกเองน่ะ แล้วคุณก็เห็นมั้ยล่ะว่าเค้าทำยังไงกับฉันบ้าง"

"ผมไม่เข้าใจเลยนะครับ ว่าคุณสงเคราะห์คนอื่นได้ แต่กับหลานคุณแท้ๆ คุณกลับมองข้ามเค้าไป
สายเลือดเดียวกับคุณนะครับ คุณจะไม่ช่วยเค้าหรือครับ"

"คุณไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นน่ะ เป็นยังไง!"

"ใช่! ผมไม่รู้หรอก ผมไม่รู้อะไรเลย! มีแต่คุณเท่านั้นน่ะครับที่รู้ว่าควรจะทำยังไง
อนาคตของสันติ อยู่ในมือของคุณแล้วนะครับ เท่ากับที่อยู่ในมือของพ่อคุณ
อยู่ที่คุณแล้วนะครับ ว่าจะตัดสินใจยังไง"





เห็นเป็นคนตลกอารมณ์ดี สารวัตรก็มีน้ำโหเหมือนกัน ดุคุณมี่แล้วก็หันหลังจากไป แต่ไม่ต้องมีใครไปง้อ  อีกเดี๋ยวสารวัตรก็กลับมาเอง ทำตัวเหมือนคำแนะนำที่ให้ไว้ ปรับอารมณ์เป็นปกติก่อนแล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่ สารวัตรจึงกลับมาพร้อมอาการขยันยิ้มเหมือนเดิม ทำเหมือนไม่มีเรื่องใส่อารมณ์กันเกิดขึ้น แล้วก็ทั้งหว่านล้อมทั้งโน้มน้าว ทั้งชักจูงมีคณาให้ขึ้นไปรับตัวสันติที่เชียงรายกับสารวัตร..จนได้ (ถือคติรักคุณมี่ รักครอบครัวของคุณมี่ด้วย) ที่จริงเรื่องนี้เป็นดราม่าเข้มข้นนะ แต่เพราะมีสารวัตรหิรัณย์ซะคน ที่จะเครียดตลอดก็ได้มีจังหวะน่ารัก ขำๆ ให้ผ่อนคลายอยู่เรื่อยๆ








สารวัตรหิรัณย์ที่พี่ป๋อเล่น ให้อารมณ์หลากหลาย ทั้งน่ารักน่าหัวเราะ ทั้งน่าเหนื่อยและก็น่าสงสารด้วย แสดงออกว่ารักอย่างจริงใจแต่คุณมี่เธอแค่นิ่งเฉยตลอด และถ้าจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง ก็อารมณ์เหลืออดกับสารวัตรที่ทำให้คุณมี่ต้องถลึงตาดุ หรือไม่ก็ใช้น้ำเสียงเข้มเพื่อปรามให้สารวัตรรู้ว่า "ไม่ขำ" ฉุนเฉียวมากหน่อยก็มือไม้ทุบตีเอาบ้าง ไม่ว่าจะกิริยาไหนที่คุณมี่รับมือกับคุณสารวัตร นุ่นกับป๋อเล่นได้น่ารักลงตัวอย่างที่สุด



ระหว่างทางไปเชียงราย ก็มียื้อยุดพาคุณมี่เลี้ยวลดไปเที่ยวโน่นนี่ถ่วงเวลาพาเพลินซะไม่น้อย แม้หน้าตาคุณมี่จะไม่ได้เพลินด้วย ก็ยังดูกุ๊กกิ๊กน่ารักซะจริงๆ  มีปัญหาเกิดขึ้นให้พอแทรกความตื่นเต้นด้วยฉากแอคชั่นบ้าง กว่าจะพาคุณมี่ไปถึงเชียงราย สารวัตรก็อิ่มอกอิ่มใจไปมากโข



ชอบ..ที่สารวัตรไม่ใช่แค่รับรู้อดีตของเธอเหมือนในหนังสือ เพราะในละครสารวัตรเข้าใจจากปัจจุบันที่ได้ยินกับหูได้เห็นกับตา (การเขียนบทค่อนข้างมีความไหลรื่น) สันติขโมยเงินสารวัตรและหายตัวไป เขารับโทรศัพท์ในบ้านของมีคณาเพราะเป็นห่วงหลาน(ของคุณมี่) คิดว่าสันติอาจจะโทรกลับมาบ้าน ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรสักคำก็ได้ยินเสียงด่าทอเต็มสองหู

"อีมี่! อีเนรคุณ!" ........ "มึงอย่าโผล่หน้ามาให้กูเห็นนะ กูจะตบมึงให้สำนึกเลย!"




ลูกผู้ดีที่พ่อแม่รักทูนหัวทูนเกล้าอย่างสารวัตรหิรัณย์เนี่ย อึ้งไปเลย! .. จะถามมีคณาเหมือนที่เคยก็รู้ดีว่าไม่มีคำตอบ เพราะทุกเรื่องของเธอคือ หลานของฉัน ครอบครัวของฉัน เรื่องของฉัน ..(ไม่มีเรื่องของคุณ หรือเรื่องของเราสักเรื่องหรอกนะ) ดังนั้น คุณไม่ต้องมายุ่ง และถ้าสารวัตริคิดเปิดปากจะยุ่ง ท่าทีมีคณาก็บอกชัด คำว่า..'ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก' นางเอาจริง สารวัตรก็ต้องหุบปากไป เรื่องอะไรจะเสี่ยงให้คุณมีตัดหนทางใกล้ชิด..เมื่อไม่ยอมบอกเล่า กับแค่ จ.เชียงราย ขอไปดูด้วยตัวเองก็ได้ บ้านนี้มีอะไรนักหนา สันติกับมีคณาจึงพากันมีปัญหาอย่างที่เป็น

แต่อุตส่าห์ถ่อสังขารไปถึงเชียงรายแล้ว คุณมี่ก็แยกตัวไปดื้อๆ ซะงั้น ไม่ยอมเปิดโอกาสให้สารวัตรได้รู้จักบ้านช่อง แต่มาไกลถึงนี่ มีหรือสารวัตรจะยอมแพ้ง่ายๆ ก็หาทางไปเองจนได้นั่นแหละ (น่ารักจริงๆ ผู้ชายคนนี้) ได้เห็นสภาพครอบครัวและฉากดราม่าตบตีที่สารวัตรต้องเข้ามาขวางชี้หน้าพ่อเลี้ยงของมีคณาอย่างไม่สบอารมณ์ "เอาสิ ถ้าคุณทำคุณมี่เจ็บ ผมต่อยคุณร่วงแน่ จะลองมั้ยล่ะ" เป็นฉากแมนๆ ที่ให้ความรู้สึกของการเป็นฮีโร่ผู้ปกป้องมากเลยค่ะ ตอนขับรถกลับกรุงเทพกันมาสามคน ลุงทำหน้าที่พลขับ สองป้าหลานนั่งเมิน เหม่อมองออกไปคนละทาง สารวัตรหิรัณย์ที่มองคนนั้นที คนนี้ที ด้วยความใส่ใจห่วงใย ก็เริ่มจะดูคล้ายว่าเขากลายเป็นหัวหน้าครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้




ที่ชอบการปรับบทมากที่สุดคือเรื่องของน้องสาวทั้งสองคนของมีคณา  ธารา กับ ธิดา

ในหนังสือ มีคณาถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณป้ามั่นสินเป็นส่วนใหญ่ (พี่สาวของพ่อ) จึงไม่สนิทกับน้องและรับรู้ความเป็นไปของครอบครัวแค่ว่า หลังจากแม่ช่วยเธอหนีออกจากบ้านที่เชียงรายมาไม่นาน ธิดากับธาราก็ถูกพ่อบังคับให้ไปขายตัว ต่อมา..ธาราท้องและทำแท้งเถื่อนจนเสียชีวิตในซ่อง ธิดา..เลิกขายตัวอยู่พักนึง แต่ก็ได้สามีที่เลี้ยงด้วยลำแข้ง ท้อแท้กับชีวิตจนต้องกลับไปขายตัวอีกครั้งและข่าวคราวก็เงียบหายไป  แต่ในละครจะหยิบเอาเรื่องเหล่านี้มาเกิดตรงหน้านางเอกในปัจจุบัน เอาสารวัตรมาเกี่ยวข้องรับรู้ด้วย เพราะเขาทำคดียาเสพติดที่มีซ่องโสเภณีเป็นแหล่งค้า และสารวัตรต้องวางแผนบุกซ่องเข้าจับกุม





บุกเข้าไป .. ใครจะไปคิดว่าจะเจอคุณมี่แต่งตัวแก่แดดปะปนอยู่กับผู้หญิงในซ่อง จะว่าเว่อร์ก็เว่อร์นะ แต่นั่นก็อินมากอีกอย่างในความรู้สึก ความจริงอีกเรื่องที่มีคณาไม่เคยบอกใคร เปิดเผยให้สารวัตรได้รับรู้ซึ่งๆ หน้า เธอ..ไม่ได้แค่มาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง แต่เป็นครอบครัวที่ส่งลูกสาวไปเป็นโสเภณี

สารวัตรเปิดทางให้คุณมี่พาน้องสาวหนี ฉากที่เขามองตามหลังมีคณาที่เหลียวกลับมามองสารวัตรก่อนจะเลี้ยวลับเข้ามุมตึกนั้น ...ได้อารมณ์ดีจังเลย สารวัตรได้รู้อีก "ปัญหา" และมีคณาก็ได้รับอีก "ความช่วยเหลือ"



เพราะมีน้าธารากับธิดามาพักอยู่ด้วย จึงเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สันติได้รับบทเรียนบางอย่าง  ปู่อาจตบตีย่าเสมอ แต่ย่าก็แค่ยอมๆ ไป ไม่ถึงขั้นเลยเถิดรุนแรง ทว่าการที่สันติแอบโทรไปฟ้องปู่ว่าป้ามี่พาน้าทั้งสองออกจากซ่อง ด้วยเจตนาไม่อยากให้น้าอยู่ร่วมบ้านเพราะสันติอายชาวบ้านมอง อายเพื่อนที่โรงเรียนว่ามีน้ามีแม่เป็นโสเภณี ปู่ลงมากรุงเทพด้วยความโกรธจัด ทำให้ย่า-ป้า-น้า .. ทุกคนถูกทุบตีทำร้าย ป้ามี่ ถูกตบคว่ำ ถูกกระทืบซ้ำลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแทบเท้าสันติที่ยืนหน้าตาตื่นกับเหตุการณ์ตรงหน้า น้าธาราถูกจิกหัวลากตัวไปทำแท้ง ป้ามี่สลบไป แม้ฟื้นขึ้นมาใหม่ก็ยังกระเสือกกระสนออกไปตามหาเพื่อช่วยน้าธารา ฉากทารุณเกินคาดคิดเหล่านี้เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนในใจของสันติประการหนึ่ง เด็กชายผู้ซึบซับผลของความรุนแรงและสลดด้วยความสำนึกผิด




"ถ้าติไม่โทรไปบอกปู่ น้าธิดากับน้าธาราก็ไม่ต้องถูกทำร้าย แล้วมี่ก็ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย "

"ติ จะไปขอโทษมี่"


ความเปลี่ยนแปลงมันต้องเกิดขึ้นที่ละเล็กละน้อยให้เนียนค่ะ สันติอยากขอโทษป้า แต่ความที่ไม่ค่อยได้ลงรอยกันดีนัก และตัวเองก็ตั้งท่าแข็งข้อมาตลอด ถึงจะรู้สึกอยากขอโทษ แต่พอมายืนอยู่ตรงหน้าป้า เด็กชายก็พูดไม่ออก 'เป็นลูกผู้ชาย ต้องกล้ายอมรับทุกอย่างนะ' สิ่งที่ลุงรันเคยสอนนั้น สันติจำใส่ใจ แต่ความกล้าจะยอมรับมันยังไม่เพียงพอ



ป้ามี่ไปขัดขวางปู่จนช่วยน้าธาราไว้ได้ แต่พอป้ามี่ไม่อยู่บ้าน ปู่ก็จัดการจับน้าธารากรอกยาใส่ปากหวังให้แท้งเองจะได้กลับไปขายตัวต่อ  แท้งตามความประสงค์ น้าธารานอนเลือดเปรอะร้องครวญครางโดยที่น้าธิดากับย่าช่วยอะไรไม่ได้เพราะกลัวปู่ สันติตัดสินใจได้เดี๋ยวนั้นว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ เมื่อจ้องมองไปยังโทรศัพท์ข้างตัวที่ปู่นั่งดูทีวีอยู่และแน่ใจว่าปู่จะไม่ยอมให้เด็กชายได้ทำแน่ สันติหลอกปู่ว่าจะออกไปซื้อขนมข้างนอก แล้ววิ่งพุ่งไปที่ตลาดเพื่อใช้โทรศัพท์สาธารณะ

"ฮัลโหล มี่เหรอ! น้าธาราแย่แล้ว รีบกลับมาบ้านเร็ว"

มันน่าปลื้มใจมากกับการเปลี่ยนแปลงที่นอกจากสันติจะแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด พัฒนาการต่อมาคือเด็กชายไม่ได้แค่รู้อย่างเดียว แต่เลือกจะทำด้วย

สารวัตรหิรัณย์อยู่กับมีคณาที่หน้าตาเขียวช้ำ อยู่กับเธอและเป็นคนที่อุ้มเอาธาราไปโรงพยาบาล อยู่ด้วย..ตอนที่ธาราเสียชีวิต ยังอยู่..ตอนที่มีคณาพุ่งเข้าทุบตีบุญสมด้วยความโกรธแค้น และเป็นอีกครั้งที่สารวัตรคว้าเอาแขนที่เงื้อมง่าของบุญสมไม่ให้ทำร้ายมีคณา (สารวัตรเท่ห์ม๊าก) ภาพน้ำตาของคุณมี่ที่ไม่อาจเอาเรื่องบุญสมไปแจ้งตำรวจได้ เพราะแม่ที่คุกเข่ายกมือไหว้ขอร้องวิงวอนอยู่นั้น เราว่า ... มันเป็นอะไรที่ดราม่ามากกว่าในหนังสือและมัน โค-ตร เจ็บปวด กับครอบครัวที่เป็นแบบนี้ พ่อเลี้ยงที่เลวทราม แม่ที่อ่อนแอจนช่วยอะไรใครไม่ได้ กระทั่งน้องสาวสองคนต้องถูกบังคับให้ไปเป็นโสเภณีเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว จนคนนึงต้องมาตายไปง่ายๆ เพียงเพราะถูกบังคับให้ทำแท้งเพื่อจะยังขายตัวให้ผู้ชายได้อยู่   ฉากนี้สงสารมีคณาสุดๆ (ดูจากหน้าตาอึดอัดคับข้องใจแต่ทำอะไรไม่ได้ของสารวัตรแล้ว เราอยู่ในอารมณ์เดียวกัน!)


 

อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตไปพาน้องออกจากซ่อง หวังให้ได้มีชีวิตใหม่ แต่คนหนึ่งต้องมาตาย อีกคนก็ถูกพ่อเลี้ยงพากลับไป โดยที่เธอช่วยอะไรไม่ได้เลย ช่วยไม่ได้ ทั้งที่รู้..อนาคตหลังจากนั้นของธิดาจะเป็นยังไง เธอจะถูกบังคับให้ไปขายตัวอีกครั้ง

 



จนมาถึงภาวะน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง สถานการณ์หลายอย่างทำให้มีคณาต้องทบทวนความรู้สึกที่มีต่อสารวัตรหิรัณย์และเธอก็เริ่มจะคิดถึงระยะห่างของความเหมาะสม คนดีๆ ที่มีพร้อมอย่างเขา มีกระทั่งผู้หญิงที่ดีพร้อมและเหมาะสมกันในทุกๆ ด้าน (คงจะเขียนบทให้ผู้หมวดดาวแอบชอบสารวัตรเพื่อเนื้อหาความรักส่วนนี้น่ะเอง)

"คนเรานะลูก เอื้อมได้อย่างมากที่สุด ก็แค่สุดปลายแขน
ถ้ามากเกินไป เราจะเหนื่อย เราจะท้อ"
....
"เกิดเป็นคนต้องรู้จักเจียมตัว เราต้องรู้ว่าเค้าเหมาะสมกับเรามากน้อยแค่ไหน"




ความรักที่ไม่กล้าเอื้อมคว้าเพราะปมด้อยที่รู้ตัวดีว่าไม่คู่ควร แผลลึกในใจเกี่ยวกับน้อง และข่าวใหม่เกี่ยวกับเส้นทางค้าประเวณีที่ทำให้เธอได้รู้ว่าธิดาอยู่ในซ่องนรกปลายทางนั่น ดูเหมือนจะรวมกันเป็นแรงผลักดันให้มีคณาตัดสินใจแฝงตัวไปเป็นเหยื่อเพื่อทำข่าว โดยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่มูลนิธีคือพี่บัวกับคุณทัพขันธ์ เราคิดว่าเหตุเหล่านี้มันช่วยให้นางเอกดูดีมีเหตุผลในการกระทำมากขึ้น การแฝงตัวเข้าไปในซ่องเพียงเพราะอุดมการณ์อันแรงกล้าที่อยากจะเปิดโปง อยากทำข่าวใหญ่ข่าวดังให้สังคมได้รับรู้ปัญหาและตื่นตัวขึ้นมาช่วยกันแก้ไข.. เราว่าถ้าเป็นเพราะเหตุแค่นั้นมันบ้าบอสิ้นดี  พอมันมีน้ำหนักมากขึ้นแบบในละครนี้ ..ก็ไม่ติดใจแล้วล่ะว่าทำเรื่องเสี่ยงชีวิตแบบนั้น มันสมควรล่ะหรือ (แต่ตอนอ่านนิยาย ไหงอินปานนั้น)

 

ฉากทลายซ่องที่มาเลย์ มีคณาไม่ได้โผเข้ากอดสารวัตรเหมือนในหนังสือให้เราได้อิ่มอกอิ่มใจว่าฮีโร่มาแล้ว  แต่เธอกอดธิดาน้องสาวของเธอเอาไว้ และนอกจากจะไม่ได้ปรับความเข้าใจลงเอยกันด้วยดีอะไร ความรู้สึกของมีคณายังเพิ่งจะมาถึงขีดสุด การที่เธอสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้สารวัตรต้องแล่นข้ามประเทศมาครั้งนี้ ทำให้เธอยิ่งคิดถึงความไม่เหมาะสม และไม่อยากจะเป็น 'ตัวปัญหา' ให้เขาอีกต่อไป จึงแข็งใจเอ่ยปากตัดรอนความสัมพันธ์ออกไปให้เด็ดขาด แล้วสารวัตรที่ไม่เคยหวั่นไหวหรือท้อใจมาก่อน ก็ถูกผลักไสเข้าสู่ภาวะท้อแท้ ...

ก็สมควรจะท้ออยู่หรอกนะ มันเกิดขึ้นซ้ำซาก ไม่ว่าจะเรื่องน้องสาวสองคนในซ่อง เรื่องสันติหนีหายออกจากบ้าน หรือแม้กระทั่งเรื่องนี้ เธอไม่เคยปริปากบอกเขาสักคำ แม้จะแสดงออกชัดเจนแค่ไหนว่าเขาพร้อม ยินดี เต็มใจ จะรับฟังและช่วยกันแก้ไข ให้มองยังไงก็แทบจะไม่เห็นเหตุผลอื่น นอกจากเป็นคนพลพล-คนไม่สำคัญ




แต่จะทำไงได้ ในเมื่อตั้งแต่แรกสารวัตรก็เหมือนรักคุณมี่อยู่ข้างเดียว เป็นแฟนเขาอยู่ข้างเดียวเขาไม่เคยเป็นแฟนของสารวัตรด้วยสักหน่อย ท้อ.. แต่ไม่ถอยนะจ๊ะ ยังคงเป็นสารวัตรหิรัณย์คนเดิมที่ไม่ยอมแพ้ เศร้าอยู่พักนึง นึกว่าจะเลิก กลับมาอีกละ!

เป็นเรานะ รักขนาดนี้ แล้วยังเฉยขนาดนี้ (ไม่เคยมีท่าทีตอบสนองให้ชื่นใจ) คงยอมยกธงขาวไปนานแล้ว ผู้ชายอะไรจะมีความเพียรพยายามและน้ำอดน้ำทนขนาดนี้นะ (น่ารักที่สุด)

ตะกร้าน้อยใส่ช่อดอกส้มสีขาว จึงยังคงแขวนรอคุณมี่อยู่ที่ประตูรั้ว ....ที่เดิม


 

ขับรถเท่ห์ หน้าตาดี มียศสูง   ฐานะรึ..ก็ร่ำรวย พ่อแม่ล่ะ...ก็ประเสริฐ  แล้วการจะรักผู้หญิงสักคน ทำไมจะต้องใช้ความพยายามสาหัสขนาดนี้  กว่าความรักของสารวัตรขยันยิ้มจะสมหวัง ได้ลงเอยแต่งงานกัน ..ก็รู้สึกเหนื่อยแทน..แทบแย่  แต่ก็เป็นละครที่ดูแล้วมีความสุขมากจริงๆ ยิ้มไป หัวเราะไป ..เหงือกแห้ง



ชอบ .. ทุกฉากอารมณ์ดีที่สารวัตรมาหาคุณมี่ (ขอย้ำ ว่าทุกฉากเลยนะ)

"นี่คุณ ผมมีให้คุณเลือกสองแพคเกจเลยน๊า ด่าผม แล้วลงไปกินข้าวด้วยกัน
หรือลงไปกินข้าวด้วยกัน เสร็จแล้วค่อยกลับมาด่าผม
เอางี้ๆ แพคเกจที่สามเลยนะ สเปเชียลเชย นี่ถ้าไม่สนิทกันไม่บอกจริงๆ นะ
คือด่าเสร็จแล้วลงไปกินข้าวด้วยกัน อิ่มแล้วค่อยกลับมาด่าผมอีก โอเค้"


ชอบ..ทุกฉากกินข้าวด้วยกัน กินอาหารพื้นๆ นั่งกินร้านส้มตำปูปลาร้า ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทาง ร้านแหนมเนือง จำได้ในนิยายมีตอนหนึ่งที่มีคณานึกแปลกใจในความเรียบง่ายของสารวัตร การจีบผู้หญิงนึกว่าจะพาไปร้านหรูๆ กินอาหารแพงๆ แต่สารวัตรต้องรีบทำงาน ก็พากินร้านข้าวกลางวันทั่วไป ง่ายๆ




ชอบ.. สารวัตรพาคุณมี่ไปเชียงใหม่ เชียงราย ไปอัมพวา และที่สำคัญคือพาคุณมี่เข้าบ้าน อยากจะบอกว่า ไม่มีอะไรสักอย่างที่คุณมี่ 'เต็มใจ' แต่ก็ไม่มีอะไรสักอย่างที่คุณมี่จะขัดขวางความ 'ตั้งใจ' ของสารวัตรได้ ถึงจะต้องลงทุนลงแรงใช้เล่ห์เหลี่ยม ทั้งหว่านล้อม ทั้งบังคับชักจูงด้วยลูกเล่นแพรวพราวยังไง แต่ทั้งหมดของสารวัตรก็คือ 'ความจริงใจ' ที่แม้คุณมี่จะไม่เคยตอบรับแต่หัวใจเธอย่อมรับรู้

ถ้าดูจากรูปที่คัดมาก็จะเห็นว่าหน้าตาของสารวัตรหิรัณย์กับมีคณาที่อยู่ด้วยกันมันคนละอารมณ์! คนหนึ่งก็เริงรื่นซะเหลือเกิน ส่วนอีกคนนิ่งเฉยและติดจะเข้มดุด้วย นั่นจึงเป็นเหตุให้การอยู่ด้วยกันทุกครั้งของพระ-นางมันทั้งตลก ทั้งน่ารักและน่าขำ อีกทั้งทุกความรักความปรารถนาดีที่แฝงอยู่ในการกระทำของสารวัตรหิรัณย์ ทำให้ละครเรื่องนี้อบอุ่นมาก



ชอบ .. ทุกฉากอารมณ์ที่สารวัตรดุคุณมี่

เห็นเป็นคนอารมณ์ขัน (แต่คุณมี่ไม่ขำ) อย่างนี้ สารวัตรหิรัณย์เขาก็มีมุมเข้มที่จริงจังเช่นกัน ซึ่งเราชอบฉากจริงจังเหล่านี้มากเลย ดูแมน ดูเป็นผู้นำดีค่ะ ติดใจตั้งแต่แรกๆ ตอนมีคณาด่าทอผู้ต้องหาที่ตำรวจจับกุมมาได้ ปมในใจตัวเองทำให้เธอใส่อารมณ์เต็มที่ จนสารวัตรต้องห้ามปราม

"คุณมี่ครับ คุณมี ออกไปข้างนอกกับผม"

เมื่อมีคณาไม่ฟัง เสียงสารวัตรก็แผดดังขึ้นมา..ทั้งห้องเงียบกริบ

"คุณมี่ครับ เดี๋ยวนี้เลย!" (หมายถึงให้ออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้เลย)

แล้วมีหรือคุณมี่จะไม่เชื่อฟัง เพราะถ้าเขาจริงจังเมื่อไหร่ สุดท้ายเธอก็ต้องฟังทุกเรื่อง


...

"คุณมีปัญหาขนาดนี้ทำไมคุณไม่บอกผมสักคำ"

"ฉันไม่อยากรบกวนคุณ"

"ผมเคยบอกคุณแล้วนี่ครับ ว่าผมยินดีให้คุณรบกวน
ขอแค่พูดมาเท่านั้นว่าคุณมีปัญหาอะไร"

"แต่เรื่องบางเรื่อง ฉันก็อยากจะแก้ไขปัญหาด้วยตัวของฉันเอง ฉันไม่อยากให้คุณมองว่า

ฉันเป็นตัวปัญหาที่เอาแต่เรื่องวุ่นวายมาทับถมใจคุณ"

ฉากนี้ปลายประโยคมีคณายังพูดไม่ทันจบ สารวัตรสวนมาทันควัน

"ก็ทับถมมาสิ ผมไม่เห็นแคร์เลย!"

เงียบ....

"สิ่งที่ผมแคร์ที่สุดในชีวิต ก็คือความสุขของคุณนะครับมี่ จนป่านนี้คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"



อีกฉากหนึ่งที่ชอบมากคือฉากที่สารวัตรดุมีคณาหลังจากที่เธอเข้าไปช่วยน้องสาวทั้งสองในซ่องครั้งแรก คำพูดนี้ในฉากนั้นเหมือนความเป็นสารวัตรหิรัณย์ในหนังสือมันซ้อนขึ้นมาเลย จุดนั้นในหนังสือก็อ่านซ้ำอยู่หลายรอบมาก ตอนที่สารวัตรโทรหาคุณมี่ที่บ้านทัพใจภายใต้การดูแลของคุณทัพขันธ์ (สถานพักฟื้นช่วยเหลือเด็กและผู้หญิงที่ถูกทารุณกรรม) ก่อนที่เธอจะแฝงตัวไปเป็นเหยื่อถูกหลอกลงใต้ไปขายตัวที่มาเลย์ ฉากที่ขึ้นต้นด้วยคำถามห้วนๆ นำเสียงเย็นๆ แกมข่มขู่ให้ตอบคำถามตรงตามความจริงมาซะจะดีกว่า (ไม่ใช่ได้ยินหรอกนะ แต่รู้สึกจากการอ่าน)



"คุณอยู่ไหน คุณมี่" น้ำเสียงเขาไม่มีอารมณ์ขันเลย
.......

"คุณไปทำอะไร ที่เพชรบูรณ์" นายตำรวจถามทันทีที่หล่อนรับสาย ตามด้วยข่มขู่
"ห้ามตอบสั้นๆ ว่าไปทำข่าวนะ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าข่าวอะไรที่เพชรบูรณ์"

"มีนายหน้าล่อลวงเด็กไปขายที่ทางใต้คนหนึ่ง ตำรวจพยายามจะจับ แต่ยังขาดหลักฐาน ฉันเลยพยายามหาหลักฐานมัดตัวเอเย่นต์รายนี้อยู่ค่ะ"

"ทำยังไง" เขาถามสั้นๆ แต่น้ำเสียงเหมือนสั่งชัด อธิบายมา!

"ปลอมตัวเป็นนักเรียนผู้ใหญ่แฝงเข้าไปเป็นเหยื่อค่ะ"

เงียบกันไปครู่ ... แม้จะอยู่ไกล แต่มีคณาเหมือนได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ มาตามสาย
.........
"รอไม่ได้ค่ะ ฉันลางานมาน้อย สารวัตรไม่ต้องห่วงนะคะ"

"พูดออกมาได้ยังไงว่าไม่ให้ห่วง" น้ำเสียงปลายสายรวนจัด "คุณกำลังทำอะไรไม่เข้าท่า ไม่มีเหตุผลที่สุด"
........

"...มี่ ..คุณมี่ ผมขอร้องล่ะ ถ้าเลิกงานนี้ไม่ได้จริงๆ
ถ่วงเวลาอีกซักวันได้ไหม ผมจะรีบขึ้นไปให้เร็วที่สุด"




ในละครก็มีอารมณ์คล้ายคลึงกันอย่างนี้ เป็นการเขียนบทที่ไม่ได้ดำเนินเหตุการณ์ตามหนังสือเป๊ะ แต่ก็ดึงเอาอารมณ์หลายอย่างที่สำคัญออกมาใช้ได้

"คุณทำแบบนั้นได้ยังไง เข้าไปในสถานที่แบบนั้นคนเดียวได้ยังไง
ยังไงคุณก็เป็นผู้หญิงแล้วทำไมคุณไม่บอกผม"

"ฉันก็ไม่เป็นไรแล้วนี่ แล้วฉันก็ออกมาได้อย่างปลอดภัยด้วย"

"ไม่เป็นไรนี่นะมี่! คุณเกือบถูกพวกมันฆ่านะครับ"




และอีกครั้งกับเหตุการณ์ทลายซ่องที่มาเลย์

"ผมไม่เข้าใจเลย คุณทำแบบนั้นทำไม คุณเข้าไปในที่ที่อันตรายแบบนั้นคนเดียวได้ยังไง คุณคิดอะไรของคุณ!"

ชอบจริงๆ นะคะ ตอนสารวัตรดุคุณมี่เนี่ยนะ ตอนดุสันติก็เช่นกัน




เป็นฉากนั้นที่สารวัตรทนเห็นดูป้าหลานใส่อารมณ์เข้าหากันไม่ได้แล้ว จึงต้องเข้าไปแทรก

"คุณมี่ครับ คุณมี่ ให้ผมจัดการเอง"

สันติเอ๋ย เพิ่งจะเกี่ยวก้อยสัญญากับลุงรันไปหยกๆ ว่าจะไม่ลักโขมยอีก แต่ก็ถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าสันติกำลังโขมยเงินป้ามี่ มาคุยกันแมนๆ แบบลูกผู้ชายกันสองคนเลย น้ำเสียงที่ลุงรันพูดคุยนั้นเข้มมากและตอนสั่งทำโทษสันติก็ดุมาก สันติรู้ว่าทำผิด ถึงไม่ยอมรับ แต่ก็ยอมลงโทษตัวเองตามคำสั่งอย่างไร้คำขัดแย้ง  (น้องเก้ากับพี่ป๋อ เข้าฉากด้วยกันแต่ละครั้ง เล่นดีมาก) ชอบวิธีที่สารวัตรใช้คำพูดกับสันติเหมือนเป็นคนระดับเดียวกัน ฟังแล้วมันปวดใจดี



"ไม่คิดเลยนะ ว่าสันติจะเป็นเด็กที่แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ผมคิดมาเสมอว่าสันติเป็นเด็กดี แต่ตอนนี้รู้ละ ผมคิดผิดทั้งหมด
ผมผิดหวังในตัวคุณมากนะ "

เด็กชายสันติคิดอะไรไม่รู้ ละอายใจที่ตัวเองผิดสัญญากับลุงรัน โกรธ อาย ที่ถูกลงโทษ ประชดหรือไร ถึงลงเอยด้วยการล้วงกระเป๋าสตางค์ลุงรันติดมือไปด้วย ทำไม่ดีกับมี่ มี่ดุว่า สันติไม่เป็นไรมาก อย่างมากก็แค่ถกเถียงหรือกร่างตอบโต้ก่อนวิ่งเข้าห้องปิดประตูหนี แต่ทำไม่ดีกับลุงรันเด็กชายสันติ เสียใจและขมขื่น นั่งมองกระเป๋าสตางค์ของลุงรันที่ตัวเองโขมยมาแล้วสันติก็ร้องไห้อย่างหนัก



พี่ป๋อเขาเล่นได้น่ารักมว๊ากกก ตลกด้วย ดังนั้น ความจริงจังในบางครั้งคราวที่มาคั่น ทำให้สารวัตรดูเป็นผู้ใหญ่กว่าและเป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ ที่จริงก็แอบคิดว่าเรื่องนี้พี่ป๋อเค้าเล่นเป็นตัวเองหรือเปล่า ถึงได้เนียนเป็นธรรมชาติซะขนาดนั้น เพราะหลายๆ ครั้งที่เห็นข่าว ป๋อกับเอ๋ (ภรรยาพี่ป๋อ) หรือจากคำบอกเล่าของเอ๋เอง พี่ป๋อเค้าก็ทั้งขี้เล่น ทั้งดุด้วยเหมือนกันล่ะนะ แต่ผู้เขียนบทช่องสามจะทำออกมาแนวไหน ความสัมพันธ์ของสันติกับสารวัตรในฟ้ากระจ่างดาวก็ยังน่าสนใจอยู่ดี




ส่วนในเวอร์ชั่นนี้ สันติก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไป ที่พอรู้ว่า ลุงคนนั้น.. เป็นตำรวจ ในตอนรู้จักกันครั้งแรก ก็มีความเกรงๆ อยู่ เพราะตำรวจในความคิดของสันติคือพวกที่พกปืนโก้ๆ วางโตข่มคนอื่นได้ ไม่มีใครกล้ามากดูถูกหรือรังแก ต่อหน้าเขาที่เป็นมิตรไม่ดุไม่ว่าอย่างที่ป้ามี่ทำ เด็กชายจึงอยากทำตัวดีๆ ให้คุณตำรวจเห็น จะได้เป็นเพื่อนกับเขาได้ สันติอยากมีใครสักคนที่เข้าใจและ'ลุงรัน'ก็คือคนๆ นั้น

"ลุงรันจะไปหามี่เหรอ ลุงจีบมี่อยู่ใช่มั้ย
ติฝากเรื่องหนึ่งสิ ช่วยสอนมี่ให้เค้าใจดีหน่อย นะ .."

เป็นคำพูดซื่อๆ ของเด็ก แต่ความหมายของมันกินใจนะ




สันติก็มีความพยายามที่จะเป็นดี แต่ป้ามี่น่ะล่ะ มองไม่ลึกถึงหัวใจของหลาน อยู่ด้วยกันก็มีแค่สั่งกับสอนแค่นั้น การถกเถียงที่แสดงออกก็แค่เป็นอาการของเด็กต่อต้าน เพราะป้ามี่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ เห็นสันติเป็นเด็กไม่ดีเสมอ สุดท้ายมันก็เกิดเหตุ




"ป้าสะใจใช่มั้ย ที่พวกมันล้อติ!
ป้าสะใจใช่มั้ย ที่มันเกลียดติ ป้าสะใจใช่มั้ย!"

"ป้าไม่ได้สะใจนะ"

"โกหก! ดูหน้า! ก็รู้ละ!     ป้าใจร้าย ป้าอยากให้ติเจ็บ!
ป้าใจร้าย ป้าเกลียดติ ! อยากให้ติเป็นหมา! ป้าใจร้าย ป้าเกลียดติ!"


(น้องเก้าชี้หน้าชี้ความจริงใส่ป้านุ่นฉากนี้ สะเทือนใจอึก) เหมือนถูกสะกิดให้รู้ตัว แล้วคำพูดก็พุ่งเข้าแทงใจดำ มือป้ามี่จึงพลั้งฟาดลงไปที่ใบหน้า  ป้ามี่ห่วงใยลูกคนอื่น แต่หลานตัวเองทิ้งไว้ก่อน คนทำผิดแล้วไม่รู้จักยอมรับคงต้องปล่อยไว้แบบนั้นเผื่อจะสำนึกขึ้นมาบ้าง สารวัตรพยายามจะเตือนแต่ป้ามี่ก็ไม่ยอมฟังอะไรเลย จึงได้แต่มองดูอย่างเป็นห่วง



ผิดไปจากความเป็นห่วงของสารวัตรซะที่ไหน สันติหนีออกจากบ้าน หน้าตาสารวัตรตอนรู้ข่าวสันติจากข่าวโทรทัศน์ที่ประกาศหา 'คนหาย'  ชอบมากเลย สารวัตรอึ้งรับประทาน อารมณ์คล้ายๆ กัน กับตอนที่รู้ว่าคุณมี่แฝงตัวเข้าไปทำข่าวในซ่อง และสารวัตรถามพี่บัวเจ้าหน้าที่ว่า

"แล้วตอนนี้ มี่อยู่ที่ไหนล่ะครับ" ..

" ถูกส่งไปที่ซ่องที่ชายแดนแล้วค่ะ"

คำตอบอันนั้นมากกว่าอึ้งหน่อยคือสารวัตรช็อค หรืออีกตอนที่บุกซ่องในมาเลย์แล้วไม่เจอคุณมี่  จ่าโจเข้ามาบอกว่า

"สารวัตรครับ ข้างหลังเนี่ย มีหลุมศพเต็มไปหมดเลยครับ คิดว่าคงเป็นศพผู้หญิงที่ขัดขืนหรือคิดหลบหนี"

...หน้าตาสารวัตรงี้แบบว่า ..จิตใจสูญหายไปแล้ว




สันติหนีออกจากบ้าน ถ้าประกาศโทรทัศน์ก็แสดงว่าเวลามันผ่านไปนานพอสมควร แต่มีคณาไม่ยอมบอกสารวัตรสักคำ (ผู้หญิงอะไรอย่างนี้เนี่ย) นอกจากสันติจะหายไป ยังเข้าใจอารมณ์สารวัตรยิ่งกว่า .. ที่ทำมาทั้งหมด ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม เหมือนเป็นได้แค่หัวหลักหัวตอ ( น่าฉงฉาน)
แต่..ก็เหมือนกับเช่นทุกครั้งที่สารวัตรหิรัณย์เข้าใจคุณมี่ดี




พัฒนาการความสัมพันธ์ของสันติกับเด็กเร่ร่อน ภาวะจำยอม การตกกระไดพลอยโจน เป็นข้อคิดที่ดีอย่างหนึ่งของละครเรื่องนี้  บางครั้งเด็กก็รู้อยู่หรอกว่าอะไรถูกผิด แต่มันก็มีอะไรหลายอย่างแวดล้อมให้ถลำตัวเข้าไป ใช่ว่ากลัว ใช่ว่ารักดีแล้วจะยับยั้งชั่งใจได้เสมอไป หลายครั้งที่สันติลังเล แต่ก็เลือกในทางที่ผิด ในเมื่อเขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง

ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายตัวน้อยๆ ถึงอยากกลับบ้านแต่ก็ไม่อาจจะกลับไปให้ป้ามี่ดุว่า .. ความหิวโหยและการหมดทางไปทำให้สันติที่หนีเตลิดไปคนเดียวต้องกลับมายังแก๊งเด็กเร่ร่อน ทั้งที่รู้ดีว่าจะต้องทำอะไร ฝรั่งคนหนึ่งซื้อตัวเขาไป ทัศนคติฝังหัวจากหมู่บ้านตกเขียวเกี่ยวกับที่ใครๆ ก็ขายตัวกัน ช่วยปลอบใจสันติในสิ่งที่จะต้องทำเพื่อมีที่พักพิงอยู่ในแก๊ง มีอาหารตกถึงท้อง แต่ถึงเวลาความหวาดกลัวก็มาเยือน สิ่งที่สันติได้เรียนรู้ การขายตัวไม่น่าจะใช่เรื่องปกติ ภาพเด็กชายโผเข้ากอดสารวัตรหิรัณย์ตอนตำรวจบุกมาช่วยได้ทันขณะกำลังจะถูกข่มขืน น้องเก้าทำป้าอินมาก

สันติร้องไห้กอดลุงรันแน่น ไม่มองหน้าป้ามี่เลย




ไม่มีการพูดจากับป้ามี่ .. หลังจากลุงรันพาไปบ้านให้คุณยาย (แม่ของสารวัตร) เลี้ยงข้าวและเลี้ยงใจ เมื่อกลับถึงบ้านกันสองคน ที่สันติเอาเสียงดังเข้าข่มนั้น คือปฏิกิริยาของเด็กที่เตรียมพร้อมปกป้องตัวเอง..ถ้าป้ามี่จะดุว่า แต่มีคณาไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะตัวเธอเองก็เพิ่งจะได้เปิดใจเรียนรู้ปัญหาของตัวเองเช่นกัน อยากจะรับขวัญ อยากจะปลอบโยน แต่ด้วยนิสัยเป็นคนแสดงออกไม่เป็น เธอจึงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป ภาพสันตินั่งพิงเสาร้องไห้คนเดียวในห้องมืด นั่งมองผ้าห่มที่ป้าเพิ่งหยิบมาให้ แล้วก็คว้ามาห่อห่มตัวเองเอาไว้อย่างเหงาๆ สื่อถึงความรู้สึกโหยหาความรักความอบอุ่นได้ดีมากๆ เลยค่ะ




ความสัมพันธ์ซาบซึ้งของป้ามี่กับสันติ ที่มีพัฒนาการจากอคติและความเกลียดชัง มาเป็นความรักความเข้าใจ หรือความสัมพันธ์ของมีคณากับสารวัตรหิรัณก็ค่อยเป็นค่อยไปอย่างแนบเนียน อาการต่อต้านไม่ชอบใจที่ค่อยๆ ลดลง ถึงไม่ได้ยอมรับแต่มีคณาก็ไม่ได้ปฏิเสธจะมีเขาอยู่ใกล้ๆ ยิ่งความสัมพันธ์ของสันติกับลุงรัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง (พี่ป๋อกับน้องเก้าน่ารักมาก) ชอบตอนสารวัตรพาสองป้าหลานไปวัดพุทธบาทน้ำพุมากค่ะ จากที่สันติได้เรียนรู้จากโลกภายนอกมาแล้ว ลุงรันก็พาไปสอนตอกย้ำค่าของคนที่วัดพุทธบาท เจอผู้ป่วยติดเชื้อ ถูกรังเกียจ ถูกทอดทิ้ง สันติเริ่มคิดถึงแม่ที่ไปขายตัวที่เยอรมัน เริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อที่เคยถูกฝังหัว การมีอาชีพโสเภณีไม่ใช่เรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน ความในใจเกี่ยวกับแม่ที่ถูกเก็บซ่อนไว้เพราะมันขัดกับความคิดความเชื่อที่ปู่พร่ำพูดไว้ เริ่มหลุดออกมาจากปาก สองป้าหลาน เขารักกันมาสักพักแล้วนะ แต่ก่อนหน้านั้นมันเหมือนมีกำแพงมากั้นขวาง หลานก็ไว้ท่า ป้าก็ไม่แสดงออก แต่เพราะมีสารวัตรคอยเชื่อมกลาง เขาทั้งเป็นแบบอย่าง ทั้งคอยเตือนใจให้สติ มีคณาจึงละทิ้งอคติลงได้ เมื่อสัมผัสความรักความห่วงใยของป้าได้ เด็กชายสันติก็เริ่มเปิดหัวใจ กำแพงที่เคยขวางกั้นก็พังลง

การเปลี่ยนแปลงของสันตินั้นน่าชื่นใจขนาดไหน เห็นได้จากการที่เด็กชายเข้าขวางหน้าปู่ไม่ให้ทำร้ายย่า  เอื้อมมือคว้าแขนของปู่ที่เงื้อมง่าลงมา ผลักอกดันออกไป  แล้วตั้งท่าจะขัดขวางสุดกำลังเพื่อปกป้องย่านั้น เหมือนเป็นภาพซ้อนของมีคณาที่คอยปกป้องแม่กับน้องๆ และภาพของสารวัตรหิรัณย์ที่ปกป้องป้ามี่ให้สันติได้เห็น ..(อิทธิพลของป้ามี่กับว่าที่ลุงเขย)





เรื่องนี้นอกจากพี่ป๋อจะเล่นเนียนเวอร์ น้องเก้าจะน่ารักสุดๆ แล้ว คุณนุ่นสมควรได้รับคำชมมาก แม้เธอจะเป็นนักแสดงที่เหมาะกับบทดราม่านำตานองอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้นุ่นเล่นไม่เยอะเลยสักอย่าง ยิ้มไม่เยอะ ร้องไห้ไม่เยอะ หลังจากพ้นวัยเด็กที่ถูกบังคับให้ขายตัวแล้ว เธอมีน้ำตาหยดให้เห็นแค่สองหน ที่เหลืออื่นนั้นเป็นเพียงแววใสๆ คลออยู่ในดวงตา ทั้งที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สมควรฟูมฟายไร้สติ  นุ่น..และคงเป็นที่ผู้กำกับด้วย ดูเหมือจะตีความบุคลิกของ "มีคณา" ออกมาได้ถูกใจเรามาก ผู้หญิงที่ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา เก็บกดและอดกลั้นเพื่อจะยืนหยัดเป็นลูกเนรคุณ (เพราะไม่ยอมขายตัว) จะมาร้องไห้คร่ำครวญน้ำตาท่วมจอจึงไม่น่าจะเหมาะกับนิสัย








ยิ้ม นุ่นก็ยิ้มนิดเดียว ที่ยิ้มกว้างหน่อยมีอยู่ไม่กี่ครั้ง ความขัดเขิน ความพึงพอใจ ความนิยมนับถือที่มีต่อนิสัยใจคอของสารวัตรไม่ว่าจะต่อหน้า หรือการได้มองการกระทำเขาอยู่ลับหลัง มีอาการแค่พอให้เห็นร่องรอยความรู้สึก...นิดเดียว เวลาไม่พอใจอย่างมากเธอก็แค่จ้อง จ้องสารวัตรนิ่งๆ แล้วสารวัตรก็จะเปลี่ยนท่าทีก่อนที่คุณมี่จะเริ่มโกรธเข้าจริงๆ  แต่ถึงจะแสดงออกน้อย ความรู้สึกก็ให้มาก เพราะมีคณาที่เป็นแบบนั้น..ยามเธอน้ำตาคลอนิดเดียว แต่เราก็น้ำตาร่วง ยามเธอหน้าเศร้าหรือฝืนยิ้มนิดเดียว เราก็อยากจะร้องไห้ออกมาแทนเสียให้ได้  ชอบอีกอย่างคือการใช้น้ำเสียง ถ้าสารวัตรอยู่ในอารมณ์ขันและกำลังทำงานราษฏ์เพื่อหัวใจ มีคณาจะพูดด้วยห้วนๆ เร็วๆ ไม่มีหางเสียง ในยามที่เธอต้องปราม ..(สารวัตรชักเริงรื่นมากไปแล้ว) เสียงของเธอจะต่ำ เข้ม ดุ แต่ถ้าสารวัตรพูดเรื่องงานหลวงหรือเรื่องอื่นที่ที่จริงจัง หางเสียงของเธอก็จะทอดอ่อนฟังดูเรียบร้อยอ่อนหวาน  แต่ถ้าเป็นการอมรมบ่มนิสัยสันติล่ะก็ เสียงของเธอจะสูงขึ้น  เข้ม และเฉียบขาด



ชอบ .. ทรวดทรงองค์เอวของเธอ แขนขาเล็ก ใส่กางเกงยีนต์ เสื้อเชิ๊ต สวมแจ็คเก็ตแล้วดูไม่เทอะทะแถมดูเท่ห์เป็นนักข่าวขาลุยด้วย ตอนใส่เสื้อพอดีเอว ยามขยับตัวจะเห็นเอวขาวเล็กๆ รูปร่างบอบบางน่ารักดี ตัวบางๆ อย่างนี้ เวลาออกอาการบู๊สู้ยิบตา ทำให้เธอดูปราดเปรียวคล่องแคล่ว อันนี้แหละเรื่องเดียวที่นุ่นเล่น "เยอะ" ความโกรธของเธอที่มีต่อพ่อเลี้ยง ต่อแมงดา ต่อผู้ชายเลวๆ ที่ทำทารุณกรรมผู้หญิง ถ้าเป็นกับคนพวกนี้ นางเอกของเราจะหน้ามืดมาก ตอนที่เธอใช้ท่อนไม้ฟาดแมงดาในซ่อง เรียกว่า ... คนโดน ปางตาย



แล้วดูผมของเธอสิคะ เหมือนที่นักเขียนนิยายชอบใช้คำบรรยายอย่างเช่น ผมดำขลับนุ่มเป็นแพรไหมอะไรแบบนั้น ตอนแรกๆ ที่ดูก็จะแค่ว่านุ่นใส่แว่นแล้วน่ารักนะ แต่ดูไปดูมา พอเราอินกับบทบาท นุ่นก็ดูเหมือนจะสวยขึ้นเรื่อยๆ  โดยเฉพาะตอนเธอเศร้า ยิ่งดูก็ยิ่งสวย



ซึ้งสุดๆ ตอนสันติคุกเข่าลงกราบน้าธิดา  และตอนมีคณายกมือไหว้สารวัตรก็เป็นฉากที่ชอบมากฉากหนึ่ง ดูนุ่มนวลเรียบร้อย กับการแสดงความรู้สึกขอบคุณในน้ำใจที่จะเรียกว่าเมตตาปราณีก็ย่อมได้  และเธอแทบไม่เคยแสดงให้สารวัตรหิรัณย์ได้เห็น (ว่าซึ้งนะ แต่ไม่แสดงออก)





ขอบฉาก "กราบอก" ในคืนวันแต่งงานที่สุดเลยด้วย เธอดูเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานมาก

อารมณ์นี้เข้าใจผู้หญิงไทยสมัยก่อนที่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนในการฝากชีวิตไว้กับสามีเลยนะ

แม้จะอยู่ในยุคนี้แล้ว แต่มันไม่ได้ดูโบราณสักนิด 

เพราะด้วยความทุ่มเทอันเหนื่อยยาก กราบนี้ของมีคณา สารวัตรหิรัณย์สมควรได้รับจริงๆ




เรื่องนี้ ชอบคำพูดหนึ่งจากปากสารวัตรหิรัณย์

"สำหรับความรัก อะไรคือความเหมาะสม  เพราะสำหรับผม

เพียงแค่เราเข้าใจกัน นั่นก็เป็นความเหมาะสมที่สุดแล้ว"

เพลงประกอบละคร ตรงมาก ละครแปลความหมายของเรื่องได้ตรงใจ เพราะไม่ว่าจากละครที่ดู หรือหนังสือนิยายที่อ่าน ก็ทำให้เรารู้สึกอย่างเดียวกัน .. สารวัตรหิรัณย์คือดวงดาวที่ส่องประกายสุกสว่าง..ให้กับท้องฟ้าที่เคยมืดมิดของมีคณา

 





Create Date : 07 กรกฎาคม 2556
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 0:45:36 น. 7 comments
Counter : 15857 Pageviews.

 
เวอร์ชั่นเก่าก็น่าสนุกดีนะคะ
น้องเก้าเด็กมากๆเลย ตอนนี้เป็นหนุ่มซะแล้ว ^^


โดย: lovereason วันที่: 8 กรกฎาคม 2556 เวลา:0:28:54 น.  

 
ยังอ่านไม่จบเลย เดี๋ยวจะไล่อ่านอีกทีค่ะ

แต่จะบอกว่าประทับใจเวอร์ชั่นนุ่น-ป๋อมากเลยชอบถึงขนาดต้องไปหานิยายมาอ่านทั้งชุด พออ่านแล้วต้องบอกว่าแคสติ้งมีคณาออกมาตามจินตนาการเลยค่ะ นุ่นนี่เหมือนหลุดมาจากนิยายยังไงยังงั้น ป๋อถึงรูปลักษณ์จะไม่ให้แต่เล่นไ้ด้เข้าถึงสารวัตร์หิรัณย์มากๆส่วนผู้หมวดดาวก็ชอบเอมมี่มาก ส่วนน้องเก้าก็เล่นเป็นสันติที่น่าซัดซักป๊าบจริงๆ

พูดถึงนิยายเรื่องนี้เราชอบมากนะสะท้อนปัญหาสังคมได้ดีบทมีคณาก็ดูต่างจากนางเอกทั่วๆไปเป็นคนเก็บกด เย็นชา ดื้่อรั้นและยึดมั่นถือมั่นในบางครั้งจนเกือบพาตัวเองไปตายซะแล้วดีที่มีพระเอกเป็นเหมือนแสงสว่างเข้ามาในชีวิต


โดย: หนูวาลี IP: 171.4.147.244 วันที่: 11 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:50:00 น.  

 
ดีใจจังค่ะ คุณหนูวาลี
นึกว่ามี prysang อินอยู่คนเดียว
คราวก่อนอ่านเจอคอมเมนท์ในพันทิป
บอกว่า ดูเวอร์ชั่นนี้เป็นสิบรอบ ชอบมาก
ค่อยรู้สึกว่า เห็นมั้ยล่ะ....
ว่าเราไม่ได้อินไปเองคนเดียว มีพวก^^

พอดูละครเรื่องนี้ คิดว่าจะติดตามชม
นุ่นกับป๋ออีกครั้งในทองเนื้อเก้า เร็วๆ นี้ค่ะ



โดย: prysang วันที่: 11 กรกฎาคม 2556 เวลา:15:10:28 น.  

 
เจ้าของบล็อคบรรยายได้ละเอียดดีจังเลยค่ะ ชักอยากดูละครเวอร์ชั่นของป๋อกับนุ่นขึ้นมาเลย


โดย: ฟ้า IP: 115.87.233.43 วันที่: 11 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:04:30 น.  

 
เข้ามาดูรูปน้องเก้าตอนเด็กๆค่ะ
^^


โดย: nobuta wo produce วันที่: 22 กรกฎาคม 2556 เวลา:1:54:19 น.  

 
หวัดดีคร่าาา
แวะมาทักทายอีกรอบ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ดูซีรี่ย์เกาหลีเลยเหรอคะ ส่วนเราช่วงนี้เราติดเรื่องThe master's sunมากกๆๆๆ อยากให้จขบ.ลองดูนะคะน่าจะชอบเพราะเป็นผลงานของ2พี่น้องตระกูลฮง แถมนักแสดงก็เป็นที่ชื่นชอบด้วย อยากให้จขบ.ดูแล้วเอามาวิจารณ์อ่ะค่ะเราชอบอ่านเพราะคุณวิจารณ์ได้ละเอียดดี


ป.ล.เรื่องนี้เฮียซบหล่อมากกก(แอบอวยที่รัก5555)


โดย: หนูวาลี IP: 171.5.117.247 วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:8:28:47 น.  

 
@หนูวาลี ไม่ได้ดูเลยค่ะ ช่วงนี้ติดนิยายอยู่ค่ะ .. หลังจากพักอ่านมาดูซีรีย์ถึงเกือบห้าปี .. ตอนนี้พักดูไปอ่านนิยายบ้าง แต่คงไม่ยาวนานขนาดนั้น เอาแค่ทลายกองดอง ให้ต่ำลงบ้างก็คงจะเพียงพอ เพราะแค่นี้ก็คิดถึงการดูซีรีย์อยู่เหมือนกัน พอบอกว่าเป็นสองพี่น้องฮง ก็ตามแอบไปส่งเค้าโครงของ The master's sun ทันที น่าสนใจมากค่ะ ซับจบเมื่อไหร่ ปักหลักติดตามแน่
ขอบคุณมากนะคะที่นึกถึงกัน ดีใจจัง


โดย: prysang วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:21:30:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.