และแล้ว ฟ้าก็สั่งให้ชั้นผอม # 1 ต่อจาก ตอน "ความอ้วนเอ๋ย" หมดเวลาของเธอแล้ว" พอเรา มีโอกาสมาอยู่ที่อังกฤษ ตอนนั้น ก็เหมือนเดิม คือ ประมาณ 98 กิโล เราก็ต้องไปเรียนด้วยตอนเที่ยง แล้วไปทำงานตอนเย็น กว่าจะเลิกงาน ก็เกือบเที่ยงคืน ซึ่งพอเลิกงาน ที่ร้านเค้าก็จะมี ข้าวให้คนละกล่อง เราก็เอากลับมาบ้าน ซึ่งในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ เค้าก็จะกินกันเลยไง เพราะว่าเหนื่อยและหิวมาก แต่เรา"งก"ไง เอาเก็บในตู้เย็น แล้วเอามากินเป็นข้าวเช้าดีกว่า (อยู่ที่นี่ก็ต้องประหยัดใช่มั้ย) แล้วเราก็คิดว่า ถ้าเรากินอิ่ม มันก็จะหลับสบาย ยิ่งจะทำให้ตื่นสายเข้าไปอีก ถ้าเราไม่กิน พอเราหลับไป ตอนเช้ามันก็จะหิว แล้วจะทำให้เราตื่นได้ เป็นไง ความคิดเรา โอ มั้ย แต่ขอบอกว่า ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องลดความอ้วนเลยนะ คือ แบบ ชีวิตยุ่งมาก มีแต่เรียน กะ ทำงาน และเราก็คิดว่า เราก็กินเยอะนะ คือ เยอะมากด้วย เพราะเหนื่อยไง ทั้งเรียน ทั้งทำงาน เวลาผ่านไป เกือบ สามเดือน เราก็คิดว่า ตายตาย เรากินเยอะขนาดนี้ น้ำหนักต้องขึ้นอีกแน่เลย แต่พอเราลองชั่งดู ต๊ายตาย ลดไป 2 โล ค่า เหลือ 96 งงเลยตรู ว่ามันลงไปได้ยังไง ทั้งๆที่เราก็กินเยอะนะ เราก็เอ๊ะ เริ่มไม่เชื่อตาชั่งอันนั้น ลง ทุนไปหยอดเหรียญชั่งน้ำหนักที่ร้าน Boots ตั้ง ยี่สิบเพนนี แหน่ะ ปรากฏว่า เฮ้ย เท่ากัน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ตื่นเต้นมาก นำหนักตรู ลดไปได้ยังไง งงมาก แต่พอมาคิดทบทวนนะ เราคิดว่ามันน่าจะเกิดจากการที่เราเปลี่ยนนิสัยการกินอะ คือ เมื่อก่อนเราจะกิน ไม่เลือกเวลาไง คือกินเมื่อหิว แล้วก็จะกินเยอะทุกมื้อ ไม่เป็นเวลา กลางดึก กลางดื่นก็กิน หิวเมื่อไหร่ ก็ฟาดทุกอย่าง แต่พอมาอยู่ที่นี่ เราเริ่มกินเป็นเวลา คือ กินตอนประมาณ สิบโมงก่อนไปเรียน มื้อนึง เรียนเสร็จ บ่ายสาม ก็ หาอะไร กิน อีกนิดหน่อย เพราะตอนห้าโมง เราก็ต้องกินที่ร้านก่อนทำงาน อีก สรุปแล้ว เรากิน สามมื้อ และ มื้อสุดท้ายของวัน เรากินตอน ห้าโมงเย็น แล้วเรานอนประมาณ ตีหนึ่ง ซึ่งทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 7 ชั่วโมง เราเลย คิดว่า นี่น่าจะเป็นเหตุผล ที่น้ำหนักเราลดไปได้นิดหน่อย และทีสำคัญที่สุดเลย คือ เราเป็นคนไม่กินของจุบจิบ ไม่ชอบขนมหวาน คือจะเน้น ไปที่อาหารหนักอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้น ก็คงเป็นอีกเหตุผลนึงมั้ง หลังจากนั้นเราก็ย้ายออกมาจากลอนดอน มาอยู่ที่ Surrey ทางตอนใต้ของลอนดอน และตอนนั้น น้ำหนักของเราก็ลดมาอยู่ที่ 93 กิโล พอมาอยู่ที่นี่ ก็มีเวลาว่างมากขึ้น ได้ดูแล และสำรวจตัวเอง ว่า ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วเราก็เริ่ม นโนบาย ลดความอ้วนอย่างจริงจัง และถูกหลัก โดยที่ไม่ทำให้เสียสุขภาพ (ฟังดูดีเนอะ แต่กว่าจะทำได้ เฮ้อออเหนื่อย) แต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ต้องรู้จัก ผ่อนหนัก ผ่อนเบา คือหมายความว่า ควรจะเคร่งครัดและผ่อนปรนสลับกันไป เพื่อที่จะได้ไม่เครียดมากนัก และ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักก็คือ "เวลา" เราต้องให้เวลา กับมัน อย่าเร่ง อย่ารีบ และที่สำคัญไปกว่านั้น มีคำพูดของหมอท่านนึง ซึงเราชอบมาก แต่จำชื่อท่านไม่ได้แล้ว (เป็นฝรั่งอะ) ว่า " No pills can make you slim healthily" "ไม่มียาเม็ดใดทำให้คุณผอมอย่างสุขภาพดีได้" โหหหหหหหหหหหห โดนใจเราอย่างแรง เพราะเราเคยแบกเพื่อนเรา ไปส่งโรงพยาบาล เพราะเป็นลม จากยาลดความอ้วนมาแล้ว และหลังจากนั้น ชีก็ประสบกับ สิ่งที่เรียกว่า โยโย่เอฟเฟกต์ เลยทำให้เรากลัวมากกกกกกกกก หลังจากนั้น เราก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ว่า เราจะเริ่มปฏิบัติการณ์ ยังไงดี เราเริ่มจาก การเปลี่ยนแปลง วีถีการกิน คือ ปกติเราเป็นคนที่กินแต่มื้อหลัก คือ ไม่กินขนมนมเนยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็แค่ปรับวิธีการกินนิดหน่อยเอง แต่ เราเป็นคนที่กิน มื้อหลักเยอะมากกกกกก คือ อย่างน้อย ข้าวก็ต้องสองจานขึ้นไปในหนึ่งมื้อ เราก็เลยเปลี่ยน จากข้าวสองจาน มาเป็น ข้าวหนึ่งจาน กับ สลัดน้ำใส หนึ่งจาน (คือปริมาณการกินเท่าเดิม แต่แค่เปลี่ยน ตัวอาหารนั่นเอง) ข้อสำคัญ ต้องใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา เราสะสมความอ้วนมายี่สิบกว่าปี จะมาลดลงปุ๊บปั๊บไม่ได้ และที่สำคัญมากกกกกก คือ ห้ามอดอาหาร เพราะจะทำให้ หิวหนัก และซัดทุกอย่างไม่เลือก จนกลายเป็น กินมากกว่าเดิมอีก สรุปว่า ขั้นแรก เราเริ่มจาก การเปลี่ยนแปลงวิถีการกิน คือ เปลี่ยนจาก แป้ง น้ำตาล มาแทนที่ด้วย ผักสด และ ผลไม้ที่ไม่หวานมาก เช่น แอ๊บเปิ้ล แต่เราก็ยังคงกินเนื้อสัตว์นะ หนังไก่เราก็ยังกินอยู่(หมายถึงตอนนั้นนะ) สรุปง่ายๆ ก็คือ เราเริ่มปรับลด คาร์โบไฮเดรตลง แต่ก็ไม่ถึงกับอดเลยนะ เราก็ทำอย่างนั้นไปประมาณ เดือนนึง เพื่อให้ร่างกายชินกับสภาพแบบนั้น แต่ก็นะ ธรรมดาของมนุษย์ มีวอกแวกบ้าง แต่ก็จะพยายามเตือนสติตลอด แล้วเราก็ขึ้นชั่ง ปรากฏว่า หนึ่งเดือนผ่านไป ลดไป 1 กิโล แหล่ะ อาจจะดูไม่มาก แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกดี การที่เราเริ่มต้นคิดไปในทางที่ดีก่อนนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกดีดี ไปด้วยไง เราก็เฮ้ย ดีใจอะ ลดได้ด้วย ขอบอกว่า เรายังคงกินในปริมาณมากเหมือนเดิมนะ หลังจากนั้น เราก็เลื่อนขั้น ไปสู่ขั้นที่สอง คือ จากข้าวจานสลัดจานใช่มั้ย กลายเป็น ข้าวครึ่งจาน สลัดน้ำใส จานครึ่ง (ขอย้ำว่า น้ำใสนะยะ ห้าม น้ำข้น ครีมฉ่ำๆละ) คือ ค่อยๆ ปรับไป เรื่อยๆ โดยที่ไม่ให้ร่างกายเรารู้ตัว และอีกอย่าง เรา ก็ลดละเลิก เนื้อสัตว์ติดมันทุกชนิด เราจะกินแค่ อกไก่ ปลา หมูไม่ติดมัน หรือ อะไรก็ได้ที่ไม่มีมันอะ (โกหก บางทีแกก็แอบกิน ชั้นเห็นนะ - แหมแหมแหม ก็มีมั่ง แต่ก็นานๆ ที ห้ามกินบ่อย) เราให้เวลากับครั้งนี้ สองเดือน แล้วก็ถึงเวลา ขึ้นชั่ง คือเรา ยอมลงทุน ไปที่ร้าน Boots เพื่อต้องการ ชั่งกับเครื่องที่มีความแม่นยำสูง แน่นอนว่าเสียตังค์ 20 เพนน์ ปรากฏว่า แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง น้ำหนัก เราเหลือ 88 กิโล (คุณคุณ อาจจะสงสัยว่า อีนี่จำได้ยังไง - คือ เราจดบันทึกไว้ตลอดค่ะ) แทบกรี๊ดออกจากร้าน ดีใจสุดสุด เพราะเราห่างจากน้ำหนักเลขแปด มา เกือบสิบปีแล้วไง แล้วเราก็ทำได้ เราเลยให้ รางวัล ตัวเอง ด้วย ไอศครีม ฮาเกนดาซ 1 ถ้วย (เห็นมั้ย เราบอกแล้ว ว่า ต้องมีทั้ง เคร่งครัด และ ผ่อนปรน) อ่านกันมานานแล้ว เหนื่อยละซี (เปล่าหรอก คนพิมพ์มันเหนื่อยแล้ว) แล้วเราจะมาต่อให้ในตอนที่ สองนะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ![]() ปล. สงสัยอะไร ถามหลังไมล์ได้นะ ![]() โดย: greentea_lemon
![]() สุดยอดคะ เป็นการลดที่ค่อยเป็นค่อยไปจริงๆ จะจำเอาไปทำบ้างคะ
![]() โดย: Elizabethan
![]() |
บทความทั้งหมด
|