ที่ปรึกษา

   หากถามว่าเรื่องราวระหว่างเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อไรนั้น…ฉันเองก็ตอบไม่ได้..รู้แต่เพียงว่า…วันหนึ่งผู้ชายที่เคยเป็นคนแปลกหน้าก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของฉันเสียแล้ว หลังจากนั้น…ทุกวัน…สมุดบันทึกของฉันก็ปรากฏชื่อของเขาคนนั้นอยู่เสมอ จากการกล่าวถึงเพียงลอยๆ เปลี่ยนเป็นการบอกเล่าเหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของฉัน รุ่นพี่และเพื่อนๆ หลายคนเริ่มมองว่าเราสองคนสนิทกัน แต่สำหรับฉันแล้วฉันคิดว่าไม่เลยสักนิดเดียว…ระหว่างเราสองคนเหมือนมีช่องว่าง..หรือ..อาจเป็นกำแพงขวางกั้นอยู่ กำแพงที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสด้วยความรู้สึกของหัวใจ เขาเองก็คงจะรับรู้ได้เช่นกัน

   ทุกครั้งที่เกิดปัญหา เขาจะเดินมานั่งลงข้างๆ ฉันพร้อมทั้งบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเสมอ โดยที่ฉันไม่เคยเอ่ยถามแม้เพียงสักคำ เขาเองคงแปลกใจไม่น้อยกับการกระทำของฉัน เพราะถ้าเป็นคนอื่นๆ อาจจะถามแกมบังคับให้เล่าให้ฟังด้วยซ้ำไป ฉันคิดอยู่เสมอว่าสักวันเขาคงต้องถามว่าเป็นเพราะอะไร แล้ววันนั้นก็มาถึง

   ” น้ำ…เราถามอะไรหน่อยดิ ” ฉันหันไปมองเขา แค่มองเท่านั้นจริง ๆ “ น้ำเคยเป็นห่วงเราบ้างมั้ย ”

   “ ห่วงสิ ” ฉันตอบ..ตอบด้วยความรู้สึกที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ

   “ ห่วง…แล้วทำไมทุกครั้งที่เรามีเรื่องไม่สบายใจน้ำไม่เคยถามเราเลยว่าเรามีปัญหาอะไรรึเปล่า ไม่เคยถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า ไม่เคยตั้งคำถามกับเราสักครั้ง เพราะอะไรเหรอ ”

   ฉันยิ้มให้เขา ยิ้มอย่างคนที่เข้าใจความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ข้างกายเสมอมา “ เวลาที่เพื่อนเกิดปัญหาไม่จำเป็นว่าเราจะต้องคอยซักคอยถามอยู่เสมอว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า? เพราะเพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่เราสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจ ที่สำคัญนะน้ำไม่ชอบที่จะบังคับให้ใครต่อใครพูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะพูด หากว่าพูดออกมาแล้วทำให้เขาไม่สบายใจ ตรงกันข้ามหากเขาต้องการระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจอยู่นั้นให้ใครสักคนฟัง ใครสักคนที่เขาไว้ใจ น้ำก็พร้อมที่จะรับฟังเขาเสมอ “ เขามองฉันด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ…แล้วก็เหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่รบกวนจิตใจของเขาก็ถูกถ่ายทอดให้ฉันได้รับรู้ รับฟัง พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในฐานะของเพื่อน…เพื่อนที่เขาไว้ใจ

   แต่แล้วบทบาทของศิราณีที่ฉันแบกไว้ด้วยหัวใจก็จบสิ้นลง เพียงเพราะความไม่เข้าใจ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา…เข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างเขากับคนรัก และเขาเองเป็นคนเลือกผู้มาใหม่คนนั้น ฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเขา นับเป็นครั้งแรกที่เราสองคนทะเลาะกันและมันก็เป็น…ครั้งสุดท้าย ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้ว เขาจะหวนกลับไปคืนดีกับคนรักเก่าก็ตาม แต่เรื่องราวระหว่างเราสองคน…มันจบลงแล้ว..จบสิ้นแล้วจริงๆ ฉันกลายเป็นเพียงเพื่อนเก่าของเขาเสียแล้ว…แค่..เพื่อนเก่า..เท่านั้นเอง

   วันนี้…ของปีที่แล้ว…คือ…วันที่ความเป็นเพื่อนระหว่างฉันกับเขาจบสิ้นลง แต่ใครเลยจะรู้ว่า..ฉันเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ…จากวันนั้นจนถึงวันนี้

   เจ้าของบันทึกปิดสมุดในมือลง เมื่อรถเมล์แล่นมาถึงจุดหมายปลายทางที่เธอจะต้องลง พร้อมกดกริ่งสัญญาณก่อนที่จะถึงป้าย พนักงานขับรถหักรถเข้าจอดอย่างกะทันหัน

   ตุ้บ!!!!! บรรดาไทยมุงต่างพากันมามุงดูเหตุการณ์ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ ณ ตรงนั้น



   วันนี้ผมมาเรียนสาย..สายกว่าทุกวันที่ผ่านมา หมดชั่วโมงเรียนแล้วแต่เพื่อน ๆ ยังคงนั่งอยู่ในห้อง แต่ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นก็คือพวกบรรดาลำโพงเคลื่อนที่ทั้งหลายนั่งกันอย่างเงียบสงบผิดปกติ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ปริปากทำลายความเงียบนั้นลง

   “ ลม นายรู้เรื่องน้ำรึยัง? ”

   “ ไมอ่ะ น้ำมันขึ้นราคา น้ำประปาไม่ไหล เอาเรื่องไหนอ่ะ ” ผมพูดจาเล่นลิ้นอย่างสนุกๆ และคิดว่าอีกฝ่ายคงสวนกลับมาด้วยประโยคที่กวนประสาทพอกัน แต่ผมคิดผิด

   “ น้ำประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู ที่โรงพยาบาล……. ” เขาบอก

   “ เฮ้ย! เล่นแรงนะเนี่ย ” แต่อีกฝ่ายกลับยืนยันคำพูดเดิมอีกครั้ง ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงผมอึ้งไปสักพักใหญ่ๆ พอได้สติก็มายืนอยู่หน้าห้องไอซียู โรงพยาบาลแห่งหนึ่งข้างๆ เพื่อนคนที่บอกข่าวร้ายนี้กับผม แต่ที่เลวร้ายมากไปกว่านั้นคือ

   “ เสียใจด้วยนะคะ คนเจ็บเสียชีวิตแล้วค่ะ ” หูผมอื้อไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงพยาบาลที่อธิบายเรื่องราวต่อจากนั้น ผมรู้แต่เพียงว่าเธอจากผมไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา และนั่นทำให้น้ำตาของผมมันไหลออกมา…ไหลออกมาจากหัวใจ..เพื่อเธอ..ที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของผม

   ผมอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้หลังจากงานฌาปนกิจของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว สมุดบันทึกของเธอบอกเล่าเรื่องราวมากมายในแง่มุมของเธอที่ผมเองไม่เคยรับรู้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอคือเพื่อน…คือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของผม เป็นคนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ หากย้อนเวลากลับไปได้…ผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอไม่จากผมไป แต่สิ่งที่ผมทำได้คือ…แค่มอง…มองสมุดบันทึกในมือด้วยความปวดร้าว สายเกินไปเสียแล้ว…เธอไม่มีวันกลับมา..ไม่มีวันรับรู้ความรู้สึกในใจที่ผมมีต่อเธอ…นั่นคือ…” ผมรักเธอ…ศิราณีคนดีของผม ”







Create Date : 21 สิงหาคม 2548
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 12:36:55 น.
Counter : 660 Pageviews.

3 comments
Medea! O Medea!... Solo un pianto from Medea by Luigi Cherubini ปรศุราม
(29 มิ.ย. 2568 11:12:32 น.)
๏ ... ตามเก็บงานเข้าบล้อกบ้านนกผี ... ๏ นกโก๊ก
(29 มิ.ย. 2568 19:45:12 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - โตเกียวไม่มีขา : กะว่าก๋า
(27 มิ.ย. 2568 05:35:40 น.)
Mother, I cannot mind my wheel by Samuel Barber ปรศุราม
(26 มิ.ย. 2568 11:07:09 น.)
  
อยากรู้จัง ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณบ้าง คุณจะรู้สึกเช่นไร
ก็แค่อยากเล่าให้ฟังค่ะ ไม่มีอะไรหรอก
โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 21 สิงหาคม 2548 เวลา:20:14:17 น.
  
ถ้าเรื่องคือ "ผม"เป็นคนอ่านสมุดบันทึกที่"ฉัน"เขียน

ย่อหน้าที่ว่า วันนี้…ของปีที่แล้ว…คือ...น่าจะแก้นะ เพราะอ่านแล้วงง เหมือนกับว่าฉันเขียนทั้งย่อหน้าลงไปในสมุดด้วย ทั้งตอนรถหักเลี้ยวจนลงไปนอนกลางถนนก็ยังเขียนอยู่ทั้งๆที่ ฉันปิดสมุดบันทึกเมื่อรถเมล์แล่นมาถึง...ไปแล้ว
โดย: ไทแรนฯ IP: 203.170.228.172 วันที่: 22 สิงหาคม 2548 เวลา:9:22:50 น.
  
ถึง คุณไทแรนฯ

หวานเย็นแก้ไขตามจุดที่คุณบอกแล้วนะ
ขอโทษที่อาจจะช้าไปนะคะ คือ...
หวานเย็นเป็นพวกสมองสั่งการช้าน่ะค่ะ
คิดอะไรไม่ค่อยทัน
ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับคำแนะนำ
โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 23 สิงหาคม 2548 เวลา:10:29:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sweet-ice.BlogGang.com

หวานเย็นผสมโซดา
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]