บทที่ 3

 
นวนิยายชุดเล่ห์รักสามนารี ตอนเล่ห์รักร้าย
อักษรา
www.mebmarket.com
“พี่สาวฉันรู้คุณเป็นพี่ชายของนายธาวิน คงไม่มีใครเขาเชื่อหรอกว่า ฉันจะยอมมาเที่ยวไร่ของผู้ชายที่กำลังเป็นคู่กรณีลูกความฉัน คุณทำแบบนี้ตามรูปการบ่งบอกชัดกำลังอุ้มทนายของคู่กรณี ทำแบบนี้ผิดกฎหมายไม่รู้เรอะ”“ช่างกฎหมายมันสิ”“จะช่างได้ยังไง บ้านเมืองมีขื่อมีแป ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญระบุชัดถึงสิทธิและเสรีภาพคุณจะมาริดรอนสิทธิและเสรีภาพของฉันแบบนี้ไม่ได้”“หยุดอ้างเรื่องกฎหมายสักที อยู่ที่นี่ไม่มีประชาธิปไตย มีแต่ธนาวิทย์ธิปไตยเข้าใจไว้ซะ ที่นี่มีผมเป็นกฎหมายสูงสุด และจะไม่มีทนายความด้วย ตอนนี้คุณกำลังป่วยทางที่ดีควรนอนพักรักษาตัว ไม่ใช่มานั่งเถียงผมฉอดๆ อยู่แบบนี้”พอได้ประคารมอารมณ์อ่อนไหวที่โบกพลิ้วก็พลันเปลี่ยนผันเป็นความหมั่นไส้ จนทำให้ลืมตัวตอบโต้เธอกลับไปด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ อีกตามเคย เฮ้อ...จะปราบพยศแม่คุณได้สักกี่น้ำกันเรา...

บทที่  3
 
อดีตผู้กองหน้าดุเล่าเหตุการณ์ที่เคยผ่านมา  รวมถึงความรักที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอย่างไม่ปิดบัง  ยิ่งพูดคนฟังก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นหัวใจ  และสายตาสองคู่ที่มองเขาอย่างไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในคราแรกก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อแน่ใจว่าชยินมีความรักที่มั่นคงต่อ วริสา  นภัสชลหันไปมองทางภูริชคล้ายกับต้องการแนวร่วม  พออีกฝ่ายพยักหน้าเธอจึงถอนใจแล้วพูดว่า

“ถึงแม้ฉันจะเป็นเพื่อนสนิทของหมอลี  และต่อให้ฉันสนับสนุนความรักของคุณ  แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจก็คือหมอลี”

“ข้อนั้นผมทราบดี  วันนี้ผมจึงตั้งใจเดินหน้ามาทวงถามความรักและหวังไว้อย่างเต็มเปี่ยมว่า  ความรักของผมจะได้รับโอกาสจากเธอ”

“ผมขอเอาใจช่วยนะผู้กอง  ขอให้คุณประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ”  ภูริชอวยพร

“ขอบคุณที่เข้าใจผม”  ชยินยิ้มให้ทั้งคู่อย่างเป็นมิตร  และรอยยิ้มของชยินก็ทำให้สองสามีภรรยาหันมองหน้ากัน  แล้วเบนกลับไปจ้องใบหน้าดุดันเปลี่ยนที่เป็นอ่อนโยนอย่างน่าอัศจรรย์นั้นด้วยความทึ่ง

“คุณยิ้มเป็นด้วยเหรอคะ”  เพราะไม่เคยเห็นชยินในมุมละมุนละไมมาก่อน  จึงทำให้นภัสชลเผลอหลุดคำถามออกไปอย่างยั้งไว้ไม่อยู่  และคำพูดนั้นก็ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มขยายกว้างกว่าเดิม

“อะไรทำให้หมอคิดว่าผมยิ้มไม่เป็นครับ...”  ชยินถามน้ำเสียงกึ่งขบขัน

“ก็ฉันไม่เคยเห็นคุณยิ้มมาก่อน  ตอนอยู่ที่หมู่บ้านสีหน้าของคุณเรียบเฉย  จริงจัง  และดุดันจนอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าคุณยิ้มเป็นไหม” 

“เวลานั้นผมคงจริงจังกับภาระหน้าที่มากไปหน่อย  อีกอย่างสถานะของผมในเวลานั้นรอยยิ้มมันไม่มีความจำเป็นเท่ากับความเฉียบขาด”  คำพูดของนภัสชลทำให้ชยินอดนึกถึงคำแนะนำของของซาเยร์ไม่ได้...ตกลงรอยยิ้มมันมีความสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ...

“แล้วตอนนี้ละคะคุณคิดว่าอะไรมันมีความจำเป็นมากกว่ากันระหว่างรอยยิ้มกับความเฉียบขาด” 
“เท่าที่เห็นจากสีหน้าของพวกคุณทั้งสองผมคิดว่า  มันคงมีความจำเป็นมากเชียวล่ะ  นอกจากนั้นก่อนจะมานี่ซาเยร์ก็บอกให้ผมหัดยิ้มเหมือนกัน” 

“ซาเยร์ก็มาด้วยเหรอคะ” 

“ครับ  แต่ผมไม่ให้มาวุ่นวายกลัวจะเสียเรื่อง  ตั้งแต่ออกจากป่าไอ้ลิงนั่นมันป่วนเก่งขึ้นทุกวัน”  คำบอกเล่านั้นทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเพราะนึกไม่ออกว่า  นายทหารคนสนิทของผู้กองหน้าดุที่มีบุคลิกเหมือนผู้เป็นนายราวกับโคลนนิ่งกันมา  จะป่วนคนตรงหน้าด้วยอารมณ์แบบไหน

“เวลาทำให้พวกคุณดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะคะ”  หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า

“ใช่ครับเวลาทำให้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไป  แต่น่าแปลกนะครับที่ความรู้สึกบางอย่างมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  โดยเฉพาะความรู้สึกมั่นคงที่เรามีให้ใครสักคน”  นภัสชนรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดกับคำพูดจริงจังเต็มไปด้วยการรอคอยนั้น

 “ฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณมีความมั่นคงต่อหมอลี  และเท่าที่สังเกตฉันคิดว่าความรู้สึกรอคอยนั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่คุณ แต่...วันนี้โชคยังไม่ได้อยู่ข้างคุณหรอกนะคะ”  หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับถอนใจเบาๆ ให้กับเส้นทางความรักของทั้งสองที่ยังคงเป็นเหมือนดั่งเส้นขนาน

“หมายความว่ายังไงครับ”  ชยินถามขณะจ้องสีหน้าหม่นลงของคนตรงหน้าอย่างไม่สบายใจ

“เวลานี้หมอลีไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” 

“อะไรนะครับ!  เธอไม่อยู่” 

“ใช่ค่ะ...” 

“เธอไปไหนเหรอครับ”  ถามอย่างกระตือรือร้น

“หมอลีเดินทางไปทำหน้าที่แพทย์อาสาในแอฟริกา  กว่าจะกลับมาก็อาจจะหนึ่งอาทิตย์หรือมากกว่านั้น” 

“อะไรนะ! เธอไปทำหน้าที่แพทย์อาสาในแอฟริกา  ให้ตายเถอะในประเทศไทยไม่มีคนไข้ให้รักษาแล้วหรือไง  ผมละเชื่อเลยจริงๆ”  คราแรกเขาคิดว่าเธออาจจะออกไปทำหน้าที่แพทย์อาสาอยู่ที่ไหนสักแห่ง  แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าเธอจะอาสาไปไกลถึงขั้นข้ามทวีปไปอีกซีกโลกหนึ่ง

“คนไข้มีอยู่ทุกที่นั่นแหละค่ะ  แต่บางพื้นที่ก็มีข้อจำกัดทำให้มีผู้คนมากมายรอคอยโอกาส  พวกเขาต้องการหมอและมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา  ผู้กองก็เคยเผชิญหน้ากับความจำเป็นนั้นมาแล้วน่าจะเข้าใจดีนะคะว่า  ความหวังของคนที่ยืนอยู่บนความสิ้นหวังนั้นมันน่าเศร้าขนาดไหน”   นภัสชลตอบคำถามนั้นด้วยหัวใจของคนเป็นหมอที่มีอุดมการณ์ฝังอยู่ในทุกขณะจิต

“ถ้าหมอทุกคนคิดได้แบบคุณคงดี”  ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนับถือกับความดีงามในหัวใจของเธอ

“หมอทุกคนก็คิดเหมือนกับดิฉันนี่แหละค่ะ  เพราะต่างก็ต้องการเห็นคนคนไข้หายจากอาการเจ็บป่วย  ส่วนหมอบางคนที่ไม่ได้ออกหน่วยแพทย์อาสาใช่ว่าพวกเขาจะรักสบายและไม่เสียสละ  แต่ความพร้อมของคนเรานั้นแตกต่างกัน  ทุกคนย่อมมีเหตุผลและหน้าที่ของตน”  หญิงสาวพูดในฐานะของคนที่เป็นหมอ

“ได้ยินแบบนี้แล้วผมรู้สึกนับถือในความเสียสละของหมอลี  และแน่นอนว่าผมจะสนับสนุนให้เธอได้ทำงานที่เธอรักอย่างเต็มที่  และพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกอย่างโดยเฉพาะด้านการเงิน”  

 “ถ้าคุณรักหมอลี  คุณก็คิดถูกแล้วที่พร้อมสนับสนุนและเดินอยู่บนถนนสายเดียวกันกับเธอ”  ภูริชเอ่ยอย่างผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน

“แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปคะ”   นภัสชลถามอย่างเห็นใจกับความรักของชายหนุ่มที่เพิ่งจะเริ่มต้นก็มีระยะทางเป็นอุปสรรคเสียแล้ว

“ผมจะตามเธอไปครับ”  คำตอบเต็มไปด้วยความมุ่งนั่นนั้นทำให้คนฟังถามย้ำอย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะคะ!”

“ผมจะไปแอฟริกา  หมอพอทราบไหมครับว่าเธอไปที่ไหน”  ชยินตอบออกไปโดยไม่ได้ใช้เวลาในการตัดสินใจเลยแม้แต่น้อย

“คุณแน่ใจเหรอคะว่าต้องการตามหมอลีไปจริงๆ” 

“แน่ใจสิครับ  ผมปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมามากพอแล้ว  เวลานี้ผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อแสดงถึงความตั้งใจจริง  วันนี้ผมเดินทางไกลเพื่อมาหาเธอ  และก็พร้อมเดินทางไปในทุกๆ ที่  ต่อให้ไกลจนสุดขอบฟ้าผมก็จะไปตามหาเธอ”  คำพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ นั้นทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาซึมด้วยความปลื้มเปรมใจ

“ฉันอยากให้ลีมาได้ยินในสิ่งที่คุณพูดในวันนี้  เอาละถ้าคุณแน่ใจฉันก็ยินดีที่จะให้ข้อมูล  คุณชยินฉันหวังว่าการไปของคุณจะช่วยทำให้หมอลีพบกับความสมหวัง  ตลอดหลายปีมานี้ฉันรู้ค่ะว่า  เธอคิดถึงและเฝ้ารอใครคนหนึ่งอยู่”  นภัสชลพูดไปตามสิ่งที่เธอพอรับรู้ได้จากการแสดงออกในยามที่วริสาเผลอไผลในบางเวลา

“หากเป็นอย่างที่คุณพูดหวังว่าใครคนหนึ่งนั่นจะเป็นผมนะครับ”  ชายหนุ่มเพิ่มความหวังให้กับตัวเอง

“ฉันก็ภาวนาขอให้เป็นคุณ  นี่ค่ะสิ่งที่คุณต้องการ”  นภัสชลยื่นกระดาษโน้ตที่เธอจดข้อมูลให้กับชยิน

“ขอบคุณมากครับหมอ  คุณด้วยผู้พัน  ขอตัวก่อนนะครับ”  ชายหนุ่มขอบคุณพร้อมกับเอ่ยลา
“ขอให้โชดดีนะคะ” 

“โชคดีนะผู้กอง  ขอให้หมอลียอมรับความรู้สึกของตัวเอง  ผมขอเอาใจช่วยและรอแสดงความยินดีอยู่ทางนี้นะครับ”  ภูริชยื่นมือออกไป  พอชยินยื่นมือออกมากระชับ  สายใยแห่งมิตรภาพอันบริสุทธิ์ก็ไหลผ่านเข้าสู่ความรู้สึกของทั้งคู่

เมื่ออดีตนักรบผู้ฝังจิตวิญญาณให้กับการพลิกผืนแผ่นดินเพื่อการปกครองอันชอบธรรมก้าวพ้นจากประตู  นภัสชนจึงเดินเข้าไปหาอ้อมกอดอบอุ่นคุ้นเคยที่อ้ารออยู่  หญิงสาวซบใบหน้าลงบนอกแกร่งกำยำขณะหลุบเปลือกตาลงซึบซับกับความรักที่โอบล้อมอยู่รอบกาย  และยิ้มอย่างเป็นสุขให้กับความรักของเพื่อนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น...

 
********
การเดินทางไปแอฟริกาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว  เพราะไม่ต้องใช้วีซ่า  และด้วยอำนาจเงินรวมถึงสถานะของชยินจึงทำให้หลังจากนั้นอีกสองวันเขากับซาเยร์ก็ปรากฎตัวอยู่ที่โยฮันเนสเบิร์ก  ชายหนุ่มได้คนนำทางเป็นคนท้องถิ่นจากความช่วยเหลือของผู้ประสานงานโครงการ

 เมื่อออกจากสนามบินการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่น  กว่าจะถึงหน่วยแพทย์อาสาก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะอาสาสมัครแพทย์ต้องการให้ความสะดวกในการเข้ารับบริการทางการแพทย์  ไปยังกลุ่มคนด้อยโอกาสซึ่งอยู่ห่างไกลให้มากที่สุด 

ตลอดเส้นทางแม้ประเทศแอฟริกาจะมีทิวทัศน์สวยงามแปลกตา  และมีความเจริญด้านวัตถุรวมถึงความมั่งคั่งจากทรัพยากรอันล้ำค่า  แต่ปัญหาด้านอาชญากรรมก็ทำให้ชยินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก  ด้วยความที่เป็นห่วงเธอเขาจึงเร่งรีบเดินทางมาให้เร็วที่สุด

เมื่อไปถึงหน่วยแพทย์อาสา  ชยินเห็นผู้คนจำนวนมากมายยืนรอรับการรักษาอยู่เต็มทุกเต้นท์  คนนำทางพาชายหนุ่มเดินไปยังเต้นท์หลังหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเต้นท์อื่นๆ เมื่อไปถึงเขาพบเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและอาสาสมัครแพทย์ที่เป็นคนไทย  ซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าทีมกำลังคุยอยู่กับทีมงานคนหนึ่ง

หลังจากแนะนำตัวรวมถึงแจ้งการมาของเขา  อาสาสมัครแพทย์คนนั้นซึ่งเขาทราบภายหลังว่าเธอเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม  ได้พาเขาและซาเยร์ไปยังเต้นท์อีกหลังซึ่งมีคนรอรับการรักษาอยู่แน่นขนัด  และภาพที่เห็นก็ทำให้เขารู้สึกนับถือในความมุ่งมั่นของกลุ่มแพทย์และอาสาสมัครที่กำลังทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้น

“ฉันว่าคนไข้ที่อยู่ห่างไกลตามชายแดนมีความยากลำบากแล้ว  แต่พอมาเห็นผู้คนที่นี่ฉันคิดว่าพวกเขายังดูโชคดีกว่าเยอะเลยว่าไหม”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น  และคำพูดนั้นก็ทำให้ซาเยร์พยักหน้าเห็นด้วย

“ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าเลยล่ะผู้กอง” 

“เวลานี้ฉันรู้สึกรักหมอขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่าเลยทีเดียว”  ชยินพูดขณะมองกลุ่มอาสาสมัครแพทย์ที่กำลังทำงานอย่างหนักด้วยความชื่นชม

“เห็นผู้คนที่ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างที่ควรเป็นแล้วรู้สึกหดหู่อย่างไรก็ไม่รู้นะครับ”  ซาเยร์มองประกายตาที่มีความหวังเรืองรองฉายชัด  ออกมาจากคนที่เคยชินกับการปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามชะตากรรมอย่างเห็นใจ

“เมื่อไรที่ผู้มีอำนาจอยู่ในมือรู้จักแบ่งปันความเท่าเทียมไปยังคนใต้การปกครอง  เมื่อนั้นความเจริญและความยากลำบากก็จะไม่กระจุกอยู่แค่ที่ใดที่หนึ่ง  แต่น่าเสียดายเมื่ออยู่ในอำนาจพวกเขาก็จะมองเห็นแต่ความสุขของตัวเองเท่านั้น  และอำนาจมักจะอยู่กับคนที่ไม่รู้ว่าควรใช้มันอย่างไรนอกจากสนองความต้องการของตัวเองและพวกพ้อง”  คนที่ต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำมานานวันมองความแตกต่างอย่างไม่เป็นธรรมด้วยความเศร้าใจ...


 



Create Date : 24 เมษายน 2562
Last Update : 24 เมษายน 2562 16:24:01 น.
Counter : 409 Pageviews.

0 comments
(ประชาชน)​ นอนฝันขอให้ได้เงินหมื่น​ (เจ้าสัว) นอนตื่นขอให้ได้เงินแสน​ (ล้าน) ปรศุราม
(18 เม.ย. 2567 11:39:20 น.)
เรื่อง รัก ลึก อุ่น (Omega Verse) - บทที่ 43 วัลยา
(16 เม.ย. 2567 16:34:37 น.)
ธี่หยด (2566) ไมเคิล คอร์เลโอเน
(15 เม.ย. 2567 12:42:37 น.)
๏ ... คืนฟ้าไร้ดาว ... ๏ นกโก๊ก
(14 เม.ย. 2567 09:49:36 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sansook.BlogGang.com

sansook
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]