บทที่ 1
เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน นิยายลำดับที่1 ซีรีย์ชุด ภารกิจรัก
อักษรา
www.mebmarket.com
ชีวิตของเขาได้อุทิศไว้เพื่อแผ่นดิน แต่หัวใจของเขาได้วางลงตรงแทบเท้าเธอ“นภัสชลยอดรัก...ครั้งหนึ่งผมเคยมอบดอกกล้วยไม้ให้กับคุณ แต่ไม่เคยเอ่ยความในใจ วันนี้ผมจึงไม่อาจเก็บความปลื้มเปรมที่คุณกรุณาตอบรักผู้ชายต่ำต้อยคนนี้ไว้กับตัวเองได้อีกต่อไป...เวลานี้จึงอยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่าหัวใจของผมได้ถูกวางลงบนแทบเท้าของคุณแล้ว...และพร้อมที่จะรองรับกับทุกย่างก้าวของคุณและเดินเคียงคู่ไปตลอดกาล...ผมรักคุณ...”
บทที่  1
สองอาทิตย์หลังจากนั้น  วริสาจ้องเอกสารในแฟ้มเสนอเซ็นต์วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา  ด้วยประกายตามุ่งมั่น  จนคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะคลายมือประสานอยู่ระหว่างอกแล้วขยับยืดตัวขึ้น

“หมอแน่ใจหรือว่าต้องการไปจริงๆ”  คำถามนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าคนพูดต้องการให้หญิงสาวตัดสินใจใหม่

“ดิฉันแน่ใจค่ะท่าน”   เธอตอบอย่างหนักแน่น

“ความเป็นอยู่ที่โน่นมันลำบากนะหมอ  บอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากให้คุณไปเลย”  น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความห่วงใย

“เวลานี้ที่นั่นมีคนมากมายต้องเผชิญกับความเจ็บไข้  และพวกเขากำลังต้องการหมอนะคะ”

“แต่คนทางนี้ก็ต้องการหมอเหมือนกัน  หมอลีบอกตรงๆ นะว่าผมรู้สึกภาคภูมิใจกับความเสียสละของคุณที่มีต่อเพื่อนมนุษย์  แม้ผมจะสนับสนุนอุดมการณ์ของคุณมากแค่ไหน  แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยหากคุณจะเดินทางไปทำหน้าที่แพทย์อาสาไกลถึงแอฟริกา  แล้วรู้ไหมว่าไปที่นั่นคุณจะต้องทำงานอย่างหนักจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน  ถึงมันจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที” 

“ดิฉันกราบขอพระคุณท่านผู้อำนวยการที่ให้ความเมตตาและห่วงใย  เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ  เขาบอกว่าที่นั่นมีผู้คนมากมายรอคอยโอกาสที่ยากเข้าถึง แค่ยาถุงเล็กๆ เพียงถุงเดียวก็ทำให้พวกเขาดีใจมากมาย  ดิฉันจึงหวังค่ะว่าความรู้ความสามารถที่มีจะสามารถช่วยสร้างความสุขและความหวังให้กับผู้คนเหล่านั้น” 

วริสาเล่าไปตามสิ่งที่เพื่อนร่วมอาชีพถ่ายทอดมา  และมันกำลังทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย  พอได้ยินกระแสเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น  จึงทำให้คนที่ให้ความเอ็นดูต่อผู้ใต้บังคับบัญเหมือนลูกพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ  ดวงตาของผู้สูงวัยกว่ามองดวงหน้าผุดผาดหากไม่มีชีวิตชีวาอย่างเห็นใจ  แล้วเอ่ยออกมา

“ผมขอชื่นชมหมอที่มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  แต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีถ้าหมอจะต้องไปทำงานในพื้นที่ห่างไกลแบบนั้น” 

“ตามข้อมูลที่ได้รับจากการเข้าอบรมเมื่อสองวันก่อน  แม้ความเป็นอยู่ที่โน่นจะมีข้อจำกัดแต่ก็ปลอดภัยดีค่ะ  และที่สำคัญลีไปแค่อาทิตย์เดียวเองนะคะ”

“แล้วหมอนภัสว่าอย่างไรบ้าง”  คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู  ทั้งสองยุติบทสนทนาชั่วขณะจวบจนคนอยู่อีกฟากของประตูก้าวเข้ามา 

“อ้าว...หมอผมกำลังพูดถึงคุณพอดีเลย”  ผู้อำนวยการเอ่ยทักผู้มาใหม่ทันที

“สวัสดีค่ะท่านผู้อำนวยการ...ลีอยู่นี่หรอกหรือ”  หญิงสาวไหว้ทักทายผู้สูงวัยกว่าแล้วเลยไปทางเพื่อนสนิท

“หมอมาก็ดีแล้ว  ผมกำลังต้องการกองหนุนอยู่พอดี” 
คำพูดเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นนั้นทำให้  หญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนหันไปมองเอกสารตรงหน้าด้วยประกายตาเศร้าสร้อย  ส่วนหญิงสาวอีกคนเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่าง 

“ท่านผู้อำนวยการมีอะไรกับดิฉันหรือคะ” 

“ผมอยากให้คุณอ่านข้อความในเอกสารนั่น  แล้วช่วยผมคิดหน่อยว่าเราควรทำอย่างไรกันดี”  ประสานมือกับอกขณะพยักพเยิดไปที่แฟ้มตรงหน้า  นภัสชลเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มบนโต๊ะขึ้นอ่านอย่างว่าง่าย

“อ้อ...ดิฉันทราบเรื่องนี้แล้วค่ะท่าน”  เอ่ยหลังจากอ่านข้อความในเอกสารจบ

“อ้าว...หมอรู้มาก่อนแล้วงั้นหรือ”

“ใช่ค่ะท่าน”

“แล้วหมอไม่คิดห้ามเพื่อนเหรอ”  ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“หากถามในฐานะหมอดิฉันยินดีและสนับสนุนกับความตั้งใจนั้นอย่างเต็มที่  เพราะสิ่งที่ลีตั้งใจไม่ใช่แค่การรักษาคน  แต่เป็นการอุทิศตน  อุทิศความรู้ความสามารถเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง  และถ้าถามในฐานะเพื่อนนั่นก็ยิ่งทำให้ดิฉันเห็นด้วยค่ะท่าน”

“ผมไม่เข้าใจ...คุณไม่รู้สึกเป็นห่วงหมอลีเลยหรือ” 
เพราะหญิงสาวทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน  จึงทำให้คนมองความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานนั้น  จ้องหน้าคนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ

“เป็นห่วงสิคะ  แต่นภัสก็ไม่คิดใช้ความห่วงใยเป็นอุปสรรค  จนไปขัดขวางความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้านั้น” พูดพร้อมกับหันไปมองหน้าเพื่อนรักแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจในสิ่งที่วริสาได้ตัดสินใจไปแล้ว

“ขอบใจมากนะภัส...ขอบใจที่เข้าใจเรา”  วริสาดึงมือของเพื่อนมากุมแล้วบีบกระชับ

“ถ้าเราตัวคนเดียวรับรองเลยว่าจะไม่มีวันปล่อยลีไปคนเดียวเด็ดขาด”  คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มทำให้ดวงตาของคนฟังเบิกกว้างแทบจะทันที

“อะไรนะภัส...พูดใหม่ซิ”  ถามขณะจ้องหน้าคนตอบอย่างตื่นเต้น

“ก็...” 

รอยยิ้มของนภัสชลขยายกว้างขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเธอเห็นดวงตาของคนรอฟังเบิกกว้างจนน่าขบขัน
“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังมี....” 

วริสาหรี่ตาแล้วเดาขณะใช้มือประคองดวงหน้าหวานละมุนอย่างระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่  พออีกฝ่ายพยักหน้าความตื่นเต้นนั้นก็ระเบิดเป็นเสียงกรีดร้องอย่างยินดี 

“โอย...ฉันดีใจจังเลยภัส  แล้วนี่เจ้าของผลงานรู้หรือยัง”

“ฉันเพิ่งรู้เมื่อเช้าเลยยังไม่ได้บอก”

“หมายความว่าฉันรู้ก่อนใช่ไหม”  พอนภัสชลพยักหน้าเสียงหวีดร้องของวริสาก็ดังขึ้นอีกเท่าตัว

“ดีใจโอเวอร์ไปหรือเปล่าคุณหมอลี”  มองท่าทางดีใจอกดีใจจนเกินความพอดีของเพื่อนอย่างขบขัน

“ไม่ให้ดีใจได้ยังไง  ข่าวใหญ่ขนาดนี้  ที่สำคัญรู้ก่อนผู้พันขี้เก๊กด้วย”  วริสาเอ่ยอย่างภูมิอกภูมิใจ

“แล้วอย่าไปเกทับกันล่ะ”

“ห้ามได้เหรอ...” 

หญิงสาวเลิกคิ้วอย่าเป็นต่อ  แล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับผู้บังคับบัญชาที่กำลังนั่งอ้าปากค้างเพราะตกใจเสียงกับกรีดร้องของเธอ 

“ขอโทษค่ะผู้อำนวยการคือดิฉันดีใจมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ  ว่าแต่ข่าวดีนั่นเป็นเรื่องจริงใช่ไหมหมอ”  พยักหน้าแล้วหันไปขอคำยืนยันจากนภัสชล

“ค่ะท่าน...” 

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะหมอ”  น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความยินดี

“ขอบคุณค่ะท่าน”

“ในเมื่อผู้อำนวยการยินดีกับนภัสแล้ว  ก็อย่าลืมเซ็นอนุมัติและยินดีกับโอกาสของลีด้วยนะคะ”  วริสาอาศัยจังหวะทันที

“เฮ้อ!  สรุปอย่างไรก็จะไปให้ได้ใช่ไหม” 

“ดิฉันตั้งใจแล้วค่ะ”

“เอาเถอะแม้ผมจะเป็นห่วงและไม่เห็นด้วย  แต่ในเมื่อมันเป็นความตั้งใจของหมอ  ผมก็จะเซ็นอนุมัติให้ตามประสงค์”  พยักหน้าอย่างจำยอมเพราะเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของหญิงสาว  ในขณะผู้อำนวยการขยับปากกาลงลายมือในเอกสารอย่างไม่เต็มใจ  เสียงใสๆ ขอแพทย์หญิงนภัสชลก็ดังขึ้น

“เดี๋ยวค่ะ...” 

“มีอะไรหรือหมอ” 

คนที่กำลังลงลายมือในเอกสารหยุดชะงักขณะมองรอยยิ้มแปลกๆ ของอีกฝ่ายอย่างฉงน

“เมื่อสักครู่คุณแม่โทร.มาค่ะ  ท่านเล่าว่าขณะนี้ที่ฝรั่งเศสกำลังขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์  จำนวนแพทย์และพยาบาลก็มีไม่เพียงพอกับการให้บริการ  แพทย์ตามโรงพยาบาลต้องทำงานหนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ฉุกเฉิน  นอกจากนั้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยก็กำลังต้องการหมอ  คุณแม่กับเพื่อนๆ ในสถานกงสุลจึงจัดทำโครงการหน่วยแพทย์อาสาขึ้น  เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรม  และโครงการนั้นก็ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นอย่างดี  ท่านก็เลยโทร.มาชวนภัสกับหมอลีค่ะ”

“ที่ฝรั่งเศสมีปัญหาขาดแคลนแพทย์ด้วยหรือ”  ถามสีหน้าประหลาดใจ

“เวลานี้ปัญหาผู้ลี้ภัยกำลังไหลทะลักเข้าไปในยุโรปปัญหานี้ก็น่าจะคล้ายของเรา  เพราะหมอที่มีอยู่ต่างก็มีงานจนล้นมือ  จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์อาจไม่เพียงพอ  นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้ารับบริการด้านการแพทย์ของที่นั่นก็สูงมาก  หลังจากคุยกับคุณแม่ภัสก็เลยคิดว่าลีน่าจะเปลี่ยนจากไปแอฟริกาเป็นฝรั่งเศสผู้อำนวยการคิดว่าอย่างไรคะ” 

“ถ้าเป็นฝรั่งเศสผมคงหมดห่วง  เพราะคุณพ่อของหมอลีก็อยู่ที่โน่นไม่ใช่หรือ  แล้วไหนจะท่านทูตกับคุณหญิงก็อยู่ที่นั่น  ไปทำงานกับคนใกล้ชิดมันย่อมดีกว่าไปอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคยกับใครเลย” 

“ถ้าผู้อำนวยการไม่ขัดข้องคุณแม่บอกว่าจะรีบส่งเอกสารมา  ส่วนรายละเอียดและการดำเนินการด้านเอกสาร  ท่านแจ้งว่าถ้าทางโรงพยาบาลไม่ขัดข้องจะมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์” 

ด้วยฐานอำนาจของบิดารวมถึงโครงการดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ  จึงทำให้การดำเนินการด้านเอกสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“หมอจะไปนานแค่ไหน”

“ประมาณสามเดือนค่ะ”

“สามเดือนเลยเหรอ...ถ้านานขนาดนั้นผมเกรงว่าทางโรงพยาบาลอาจจะได้รับผลกระทบเพราะขาดหมอถึงสองคน”

“ภัสแจ้งคุณแม่ไปแล้วค่ะว่าจะมีแค่หมอลี”  คำตอบนั้นทำให้วริสาหันไปจ้องหน้าเพื่อนในทันที

“อ้าว!  นภัสไม่ได้ไปด้วยกันหรือ”

“ช่วงนี้เรารู้สึกเหนื่อยๆ คงเป็นผลข้างเคียงจากร่างกายปรับฮอร์โมน  เอาไว้สุขภาพเต็มร้อยค่อยว่ากันใหม่  แล้วลีสนใจอยากไปไหม” 

“ก็น่าสนใจนะ...แต่อย่างไรก็คงต้องกลับจากแอฟริกาก่อน  เพราะถ้าแจ้งยกเลิกกลางครันแบบนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้  อย่างไรภัสช่วยเรียนคุณป้าให้ด้วยนะว่าเราอยากไป” 

คำตอบนั้นทำให้ผู้อำนวยการสูงวัยส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะจดปลายปากกาลงบนเอกสารอย่างเสียไม่ได้

“ขอบพระคุณค่ะท่าน”  เมื่ออีกฝ่ายเซ็นต์เอกสารเสร็จจึงปิดแฟ้ม  วริสาไหว้พร้อมกับยื่นมือออกไปรับ

 “แล้วจะเดินทางวันไหน”

“อีกสามวันค่ะท่าน”

“ขอให้เดินทางปลอดภัย  และขอให้ความดีและความเสียสละส่งผลให้หมอประสบความสำเร็จ”

คำอวยพรอย่างจริงใจนั้นทำให้วริสายิ้มหวานขณะพนมมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณค่ะท่าน...ดิฉันขอให้คำมั่นว่าเมื่ออยู่ในหน้าที่ดิฉันจะใช้ความรู้ความสามารถทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ  ขอตัวก่อนนะคะ”  หญิงสาวเอ่ยขอตัวแล้วพยักหน้าชวนเพื่อนสนิท  พออีกฝ่ายลุกขึ้นนภัสชลจึงเอ่ยขอตัวบ้าง

ผู้อำนวยการวัยกลางคนมองตามหลังแพทย์หญิงทั้งสอง  แล้วถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า  ก่อนจะยิ้มให้กับอุดมการณ์อันน่านับถือของพวกเธอ 

“เฮ้อ! อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่หมอนภัสชลกำลังมีทายาทไม่อย่างนั้นคงได้ปวดหัวกว่านี้แน่”  เอ่ยกับตัวเองแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้
 
**********
แม้บอกตัวเองว่าพร้อมเดินทางไกล  แต่เมื่อใกล้ถึงวันเดินทางเข้าจริงๆ เธอก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้  ขณะนั่งมองข้าวของที่เตรียมไว้  ดวงตาหวานปนเศร้าเบนออกไปยังนอกหน้าต่างแล้วถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า  เมื่ออยู่ๆ เธอก็นึกถึงใครคนหนึ่ง...คนที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ...แม้ว่าหลังจากถูกส่งตัวกลับทุกเรื่องราวของชยิน...และเหตุการณ์ของพวกเขาจะเงียบหายราวกับไม่มีตัวตนก็ตามที

“จะคิดถึงเขาทำไม...” 

หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง  ขณะถอนใจเมื่อยอมรับกับตัวเองอย่างคนปลงตกว่า...เธอกับผู้กองหน้าดุคงไม่มีโอกาสได้พบกัน  ชีวิตของเขาและเธอคงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่อาจบรรจบกันได้...

ในขณะหญิงสาวนั่งถามตัวเองอย่างสับสนกับความรู้สึกที่ตามติด  อีกด้านคนที่เข้าไปวิ่งวนอยู่ในหัวใจของเธอก็กำลังเอนกายในท่าสบายๆ อยู่บนเก้าอี้หวายตรงระเบียงห้องพัก  ขณะทอดสายตามองพระจันทร์ดวงโตสาดแสงสีนวลอยู่บนท้องฟ้าสีทะมึน  และจ้องอยู่อย่างนั้นมาพักใหญ่

“ผู้กองมองพระจันทร์นานๆ ระวังจะแปลงร่างนะครับ”  ซาเยร์กระเซ้า

“เมื่อไรแกจะเลิกเรียกฉันว่าผู้กองสักที  เวลานี้ฉันไม่ใช่ทหารแล้ว”  หันไปถามน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

“สำหรับผมเป็นทหารหรือไม่  ผู้กองก็คือผู้กองนั่นแหละครับ...ถ้าผู้กองไม่ชอบผมจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้  แต่พูดก็พูดเถอะผมไม่ชินจริงๆ ถ้าจะต้องเรียกผู้กองด้วยสรรพนามอื่น”

“เอาเถอะ...แกสบายใจเรียกแบบไหนก็เชิญ  แล้วยังไม่นอนอีกเรอะ”

“ก็ว่าจะนอนแต่เห็นผู้กองมีอารมณ์สุนทรีย์ก็เลยว่าจะมานั่งดื่มเบียร์เป็นเพื่อน”  พูดพร้อมกับยื่นขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือให้

“เข้าท่าเหมือนกัน”  พยักหน้าขณะยื่นมือออกไปรับ

 “ผู้กองกำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ”  ถามพร้อมกับกระดกเครื่องดื่มลงคอ

“ฉันกำลังคิดวิธีบุกโรงพยาบาล”  คำตอบนั้นทำเอาคนที่กำลังกลืนเบียร์ลงคอถึงกับสำลัก

“บุก! โรงพยาบาล”  ซาเยร์ใช้มือปาดเครื่องดื่มตรงมุมปากแล้วถามเสียงดัง 

“ใช่...”

“โอย...ไม่ไหวมังครับ  ผมว่าเราเข้าไปพบคุณหมอในฐานะคนรู้จัก น่าจะดีกว่าบุกเข้าไปนะครับผู้กอง”

“ไอ้ดีมันก็ดี  แต่ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปพบเธอยังไง”

“มันจะยากอะไร...ผู้กองก็หอบดอกไม้สักช่อไปให้เธอสิครับ ลืมแล้วหรือว่าเรามาที่นี่ในฐานะนักลงทุน  เวลานี้เราสามารถเข้าออกประเทศไทยได้อย่างอิสระ  ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนแต่ก่อน” 

“ใช่อยู่ว่าเราเข้าออกประเทศไทยได้อย่างอิสระ  แต่ฉันก็ไม่กล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปหาเธออยู่ดี”

“ผู้กองกลัวอะไรหรือครับ”

“กลัวเหรอ...”  ชายหนุ่มทวนคำแล้วครุ่นคิด

“ครับ...ผู้กองกำลังกลัวอะไร”

“ฉันไม่ได้กลัว”  ปฏิเสธน้ำเสียงจริงจัง

“แต่ผมว่ากลัว”   ซาเยร์จ้องหน้าผู้เป็นนายอย่างจับผิด

“แกจะมารู้ดีไปกว่าตัวฉันได้ยังไง...บอกว่าไม่กลัวก็ไม่กลัวสิ” 

“ไม่กลัวแล้วผู้กองรออะไรอยู่เหรอครับ  ถ้ารักชอบหมอแล้วไม่รีบทำคะแนนเดี๋ยวก็กินแห้วพอดี” 

“ฉันก็รอจังหวะไง” คนที่พยายามหลอกตัวเองว่ามีความกล้าเต็มร้อยเฉไฉ

“ก็นี่ไงครับจังหวะ  เวลานี้หมอยังไม่มีใครถ้าผู้กองมัวทำอะไรชักช้าอยู่แบบนี้  เกิดเธอตัดสินใจเลือกใครสักคนขึ้นมา  ผมว่าผู้กองอกหักแน่”  เตือนด้วยความหวังดี

“แต่ฉันกำลังกังวลนะซาเยร์”  คำพูดเต็มไปด้วยความลังเลนั้นทำให้กูรูรู้เรื่องรักถึงกับถอนใจแล้วส่ายหน้า

“นั่นไงชัดๆ เลยว่าผู้กองกำลังกลัว”

“ฉันแค่กังวลไม่ได้กลัว”  ชยินแย้ง

“มันก็ความหมายเดียวกันนั่นแหละครับ  ว่าแต่ผู้กองกังวลเรื่องอะไร” 

“ฉันกังวลว่าหากพบกันหมอจะจำฉันไม่ได้”  น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลนั้นทำให้คนที่ลุ้นกับคำตอบถึงกับหัวเราะร่วนออกมา

“ผู้กองกังวลกับเรื่องแค่นี้เองเหรอครับ”  ถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“แกจะหัวเราะอะไรนักหนา  นี่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันเชียวนะ”

“โธ่...ผู้กองจะไปกังวลกับเรื่องแค่นี้ทำไมครับ  จำได้ไม่ได้มันไม่ใช่สาระสำคัญสักหน่อย  เพราะความรักมันเริ่มใหม่ได้” 

“แล้วเกิดฉันรักเธออยู่ข้างเดียวละจะทำยังไง”  ซาเยร์มองประกายคิดหนักบนสีหน้าคมคายอย่างขบขัน  เพราะตั้งแต่ติดตามชยินมาเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายรู้สึกหนักใจกับอะไรมาก่อน

“ก็จีบให้เธอรักตอบสิครับ” 

“แต่ฉันไม่เคยจีบผู้หญิงนะ”  คนที่ตลอดชีวิตไม่เคยคิดทำอะไรแบบนี้มาก่อนนิ่วหน้าอย่างกังวล

“แล้วผู้กองอยากมีเมียไหม”

“อ้าว...ถ้าไม่อยากมีแล้วฉันจะถ่อมาหาเธอทำไม”

“ก็นั่นไงครับถ้าอยากมีเมียมันก็ต้องลงทุนลงแรงหน่อย”

“ไอ้ลงทุนฉันพร้อม  แต่ไอ้ลงแรงนี่สิฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง” 

“ไม่เห็นยากเลยผู้กองก็ลงทุนไปซื้อดอกไม้มาสักช่อ  แล้วออกแรงหอบไปให้เธอสิครับ” 

“ถ้าเกิดเธอจำฉันไม่ได้แล้วปฏิเสธล่ะ”

“ถ้าคิดมากขนาดนั้น  ผู้กองก็นอนดูพระจันทร์ต่อ
เถอะครับ  ผมจะไปนอนแล้ว”  ซาเยร์ตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นหมุนตัวแล้วเดินกลับห้องพักไปเสียอย่างนั้น

“อ้าว!  เดี๋ยวสิ”  ชยินตะโกนเรียกแต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่ได้ยิน  พอเห็นลูกน้องคนสนิทเดินออกไป  คนที่นั่งกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ได้แต่ส่ายหน้า  

เฮ้อ...สรุปฉันจะเอาอย่างไรกับวันพรุ่งนี้ดีวะ  ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างปลงไม่ตกว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเริ่มเดินหน้าอย่างไร...

 



Create Date : 20 เมษายน 2562
Last Update : 20 เมษายน 2562 3:03:56 น.
Counter : 665 Pageviews.

1 comments
๏ ... เสียดายเงิน ค่าจ้างด่า ... ๏ นกโก๊ก
(9 เม.ย. 2567 21:03:39 น.)
Pecchè? By Gaetano Errico Pennino ปรศุราม
(8 เม.ย. 2567 11:54:21 น.)
ถนนสายนี้..มีตะพาบ ( 349) วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร peeamp
(8 เม.ย. 2567 12:38:27 น.)
เรื่องเล่าแมว ๆ ... เมื่อแมวใส่รองเท้า ฟ้าใสวันใหม่
(8 เม.ย. 2567 17:18:51 น.)
  
อาชีพหมอ
โดย: สมาชิกหมายเลข 865311 วันที่: 22 เมษายน 2562 เวลา:7:21:22 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sansook.BlogGang.com

sansook
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]