มะเร็ง ต้องรักษาให้ตรงจุด ไม่ขาดกำลังใจ

หมอชี้หยุด ”มะเร็ง” ต้องรักษาให้ตรงจุด-ไม่ขาดกำลังใจ

มะเร็งนับเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งที่คุกคามชีวิตของคนไทย เมื่อรู้ว่าป่วยด้วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยมักมีความกังวลใจ หดหู่ หรืออาจเกิดภาวะซึมเศร้า

แต่ขึ้นชื่อว่า “โรค” ก็ต้องมีทางดูแลรักษาและป้องกัน ดังนั้นในการเสวนา “สู้มะเร็งอย่างไร…ให้ใจเป็นสุข” โรงพยาบาลพญาไท 2 จึงได้นำแนวคิด “เราเป็นทีมเดียวกัน” มาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง เพราะตระหนักดีว่าการดูแลจิตใจของผู้ป่วย เป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของทีมแพทย์และพยาบาล ประกอบกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีก้าวหน้าในการรักษาให้ตรงจุด เพื่อหยุดโรคมะเร็ง

ในระหว่างการรักษานั้นปัจจัยสำคัญมาก คือกำลังใจ การคิดบวกที่ช่วยจะเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดี ในการรักษา ดังนั้นการดูแลผู้ป่วย โดยใช้ใจ ในการสร้างความเชื่อมั่นว่าเราจะเป็น “ทีมเดียวกัน” เป็นเรื่องที่เราต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

“เราบอกผู้ป่วย และญาติเสมอว่าบางครั้งเราท้อแท้ได้ เพราะมันเป็นเรื่องความเจ็บป่วย ที่เสี่ยงถึงชีวิต แต่เราต้องพยายามดึงจิตใจของเราขึ้น พยายามมองบวกให้มากๆ โลกนี้ยังมีสิ่งสวยงามให้เราดู ให้เราทำอีกมากมาย”

https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_915362
 


 
เมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน พี่...มีอาการฉี่เป็นเลือด หามาหลายหมอ ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ สุดท้ายมาตรวจเจอกับหมอคนที่ห้า พบว่าเป็น “มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ระยะที่ 4”

ครั้งแรกที่พี่แกรู้ว่า ตัวเองเป็นนี่ เหมือนโลกถล่มทลาย เรายังจำความเกรี้ยวกราดบนโซเชี่ยล ของพี่ได้ดี ตอนผ่าตัดครั้งแรกแผลใหญ่มาก นางวีน วี้ด บึ้ม ลงเฟสเลย 555555

จนเมื่อพี่เขาได้เข้ามาทางธรรมะ พี่...ค่อยๆเปลี่ยนไป ผ่านคีโม และการผ่าตัดอีกหลายครั้ง ครั้งท้ายสุด ต้องทำทวารเทียม คือ ต้องต่อท่อปัสสาวะออกมาที่หน้าท้อง คือ มีอวัยวะที่ 33 คือ ถุงฉี่ นั่นเอง

เราเห็นพัฒนาการตั้งแต่พี่เขาเป็นแรกๆ ได้เจอครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2557 พี่เขาก็ยังน่ารักเหมือนเดิม แต่ที่ต่างไป คือ พี่เขานิ่งมาก เล่าทุกอย่างด้วยดวงตาวิบวับมีประกายแห่งความสุข (แต่ตอนนั้นเจอก่อนที่เขาจะเริ่มทราบว่ามะเร็งมันกระจายไปทั่วแล้ว)

พี่...ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามความฝัน  ไปปฏิบัติธรรม  เข้าคอร์สเตรียมตัวตาย จนภายหลังเชี่ยวชาญ จนได้เป็นวิทยากรเลย อิอิ
อาการของโรคก็ดำเนินมาจนถึงขั้นยุติการรักษา เหลือเพียงการรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) คือ ถ้าปวดก็ให้ยาแก้ปวด ท้องผูกก็สวน เหนื่อยมากก็เติมเลือด ปล่อยให้เป็นไปตามเวลา และอาการของโรคแบบเจ็บปวดน้อยที่สุด

พี่ได้เขียนพินัยกรรมชีวิตไว้ตั้งแต่สองปีก่อนที่จะเสีย ฝากไว้ที่พี่ชายเขา และเพื่อน ว่า ไม่ประสงค์จะยื้อความตาย ออกแบบงานศพตัวเอง จัดการทรัพย์สิน และสิ่งของส่วนตัวต่างๆ เงินทำบุญงานศพ ว่า จะแบ่งไปทำบุญที่ไหนบ้าง  และที่เกร๋กว่านั้น คือ บอกว่า งานศพห้ามใส่สีดำ ใส่สีอะไรก็ได้ สีขาวก็ได้ เพราะมัน คือ งานบุญ รูปวางหน้าศพก็รูปที่สวยที่สุด ที่พี่เขาเลือกเอง

172 174 173

   การระลึกถึงความตายแบบพุทธ กับ ระลึกถึงความตายแบบชาวบ้าน มีความแตกต่างกัน คร่าวๆดังนี้

ชาวบ้านทั่วๆไป นึกถึงความตายแล้วสลดหดหู่ใจ เกิดความเศร้าสร้อย ความเหี่ยวแห้งใจ บ้าง เกิดความหวั่นกลัวหวาดเสียวใจบ้าง เกิดความท้อถอยไม่อยากทำอะไร ตายแล้วเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ไม่รู้จะทำไปทำไม ถึงจำเป็นต้องทำงานก็ทำทำแบบซังกะตายเซ็งเป็ด บ้าง ครั้นนึกถึงความตายของคนที่โกรธกันเป็นศัตรูกัน เกิดความดีใจ

ส่วนการนึกถึงความตายแบบพุทธ คือ คิดถูกวิธี เกิดกุศลธรรม คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัวเร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรม ตลอดจนรู้เท่าทันความจริง ที่เป็นคติธรรมดาของสังขาร

ท่านกล่าวว่า การคิดถึงความตายอย่างถูกวิธี จะประกอบด้วย

สติ   (ความคุมคงใจไว้ หรือมีใจอยู่กับตัว ระลึกรู้ถึงสิ่งที่พึงเกี่ยวข้องจัดทำ)
สังเวค  (ความรู้สึกเร้าใจ ได้คิด และสำนึกที่จะเร่งรีบทำการที่ควรทำ) และ
ญาณ   (ความรู้เท่าทันธรรมดา หรือรู้ตามความเป็นจริง) นอกจากนั้น ท่านได้แนะนำอุบายแห่งโยนิโสมนสิการเกี่ยวกับความตายไว้หลายอย่าง (วิสุทฺธิ. 2/2-14)

174 170 172

   มีตัวอย่างคนรักษามะเร็ง 70/30 ปลงใจไม่หายก็ตายแล ปรากฏว่า ยังไม่ตาย เข้าตำราพบทุกข์จึงเห็นธรรม 


เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยตัดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง 25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น (เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522

สภาพกาย จิต สัมพันธ์ อาจแบ่งได้เป็น สามระดับ ตามขั้นของพัฒนาการทางจิต

ขั้นต่ำสุด ทุกข์กาย ซ้ำทุกข์ใจ คือ ผลต่อกาย กระทบจิตด้วย พอไม่สบายกาย ใจก็พลอยไม่สบายด้วย ซ้ำเติมตัวเองให้หนักขึ้น

ขั้นกลาง ทุกข์กาย อยู่แค่กาย คือ จำกัดขอบเขตของผลกระทบได้ ความทุกข์ความไม่สบายมีอยู่แค่ไหน ก็รับรู้ตามที่เป็นแค่นั้น วางใจได้ ไม่ให้ทุกข์ทับถมลุกลาม

ขั้นสูง ใจสบาย ช่วยกายคลายทุกข์ คือ เมื่อร่างกายทุกข์ ไม่สบาย นอกจากไม่เก็บไปก่อทุกข์แก่ใจแล้ว ยังสามารถใช้สมรรถภาพที่เข้มแข็ง และคุณภาพที่ดีงามของจิต ส่งผลดีกลับมาช่วยกายได้อีกด้วย

(๗๘๙) 



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2565
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2565 8:09:57 น.
Counter : 640 Pageviews.

1 comments
หลักปฏิบัติ ปัญญา Dh
(18 เม.ย. 2567 19:08:42 น.)
การหา เติมความมี ปัญญา Dh
(16 เม.ย. 2567 18:08:16 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณเพรางาย

  
ดีใจด้วยนะคะ ที่หายแล้ว ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์ค่ะ
โดย: เพรางาย วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา:14:58:51 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด