ฉันนสูตรว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ[๒๓๑] สมัยหนึ่ง ภิกษุผู้เถระหลายรูป อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสีครั้งนั้น ท่านพระฉันนะออกจากที่เร้นในเวลาเย็น ถือลูกดาลเข้าไปสู่วิหารได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า ขอท่านพระเถระทั้งหลายจงกล่าวสอนผมด้วย ขอท่านพระเถระทั้งหลายจงพร่ำสอนผมด้วย ขอท่านพระเถระทั้งหลายจงแสดงธรรมีกถาแก่ผมด้วย ตามที่ผมจะพึงเห็นธรรมได้[๒๓๒] เมื่อพระฉันนะกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระฉันนะว่า ดูกรท่านฉันนะ รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาลำดับนั้น ท่านพระฉันนะเกิดความคิดนี้ว่า แม้เราก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของเราไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่หลุดพ้น ในธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ในการสละคืนอุปธิทั้งปวง ในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพาน ความสะดุ้งกลัวและอุปาทานย่อมเกิดขึ้น ใจก็ถอยกลับอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นตนของเราแต่ความคิดเห็นอย่างนี้ไม่มีแก่ผู้เห็นธรรม (สัจจธรรม ๔) ใครหนอจะแสดงธรรมแก่เรา โดยที่เราจะพึงเห็นธรรมได้[๒๓๓]ฯลฯ อนึ่ง เราก็มีความคุ้นเคยในท่านพระอานนท์อยู่มาก อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปหาท่านพระอานนท์เถิด ขอท่านพระอานนท์จงกล่าวสอนผมด้วย ขอท่านพระอานนท์จงพร่ำสอนผมด้วย ขอท่านพระอานนท์จงแสดงธรรมีกถาแก่ผมด้วย ตามที่ผมจะพึงเห็นธรรมได้[๒๓๔] ฯลฯ อา. ท่านพระฉันนะ ผมได้สดับคำนี้มาเฉพาะพระพักตร์ รับมาแล้วเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ผู้ตรัสสั่งสอนภิกษุกัจจานโคตรอยู่ว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑ก็เมื่อบุคคลเห็นเหตุเกิดแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มีเมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอยู่ ความมีในโลก ย่อมไม่มี โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายเป็นเหตุถือมั่นและความยึดมั่น แต่อริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายเป็นเหตุถือมั่นมีความยึดมั่นด้วยความตั้งจิตไว้เป็นอนุสัยว่า อัตตาของเรา ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละเมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ อริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ดูกรกัจจานะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล จึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิดูกรกัจจานะ ส่วนสุดที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ฉ. ดูกรท่านอานนท์ ท่านเหล่าใด มีการกล่าวสอนอย่างนี้ ท่านเหล่านั้น เป็นผู้อนุเคราะห์ มุ่งประโยชน์ กล่าวสอนและพร่ำสอนเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ก็แลผมเองได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านอานนท์แล้ว เข้าใจธรรมได้อย่างแจ่มแจ้งฉันนสูตร^สรุป ฉันนสูตร ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าเป็น สัมมาทิฏฐิการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่า ทางสายกลางนั้นเป็นเหตุให้เกิดสัมมาทิฐิขึ้นที่จิต คือจิตรู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง (รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค)หรือจิตรู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทธรรม (รู้ทั้งฝ่ายเกิด และ ฝ่ายดับ)ทุกข์-สมุทัย เป็นสมุทัยวาร ปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารขึ้นที่จิต...ฯลฯ...เกิดวงจรของปฏิจจสมุปบาทธรรมขึ้นที่จิต...ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นที่จิตนิโรธ-มรรค เป็นนิโรธวาร ปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายดับเพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้เพราะปฏิบัติอริยมรรค ๘ ทำให้อวิชชาดับไปจากจิต สังขารจึงดับไปจากจิต...ฯลฯ...วงจรปฏิจจสมุปบาทธรรมดับไปจากจิต...ทุกข์ดับไปจากจิตไม่ใช่จิตดับ แต่จิตผู้ปฏิบัติต้องรู้เห็นตลอดสายในการปฏิบัติต้องเห็นทั้ง ๒ ฝั่ง จึงจะเป็นสัมมาทิฐิ รู้เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงเห็นฝั่งทุกข์ เพราะจิตไปยึดถืออารมณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเข้า ทำให้จิตหวั่นไหวฟุ้งซ่านเห็นฝั่งนิโรธ เพราะจิตปล่อยวางการยึดถืออารมณ์ได้ จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ใดๆ การรู้เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงนี้ต้องเกิดจากการปฏิบัติสัมมาสมาธิ(เจริญฌาน ๔) ตามหลักอริยมรรค ๘โดยทำกิจควบคู่กับ สัมมาวายามะ (ความเพียร) และสัมมาสติ (สติปัฏฐาน ๔)จนจิตสงบตั่งมั่นเป็นสมาธิ จึงจะเกิดปัญญารู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงดังมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิดผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้และปัญญารู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ต้องเกิดจากการประกอบสมาธิไม่ใช่เกิดจากการอ่านตำรา หรือศึกษาแต่พระไตรปิฏก ดังมีพระธรรมบทรับรองไว้ว่าปัญญาเกิด เพราะความประกอบเมื่อไม่ประกอบ ปัญญาก็หมดสิ้นไปบุคคลรู้ทางแห่งความเจริญและความเสื่อมพึงตั้งตนไว้ในทางที่ปัญญาจะเจริญ[๒๓๒] เมื่อพระฉันนะกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระฉันนะว่า ดูกรท่านฉันนะ รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาลำดับนั้น ท่านพระฉันนะเกิดความคิดนี้ว่าแม้เราก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของเราไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่หลุดพ้น ในธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ในการสละคืนอุปธิทั้งปวง ในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพาน ความสะดุ้งกลัวและอุปาทานย่อมเกิดขึ้น ใจก็ถอยกลับอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นตนของเราแต่ความคิดเห็นอย่างนี้ไม่มีแก่ผู้เห็นธรรม (สัจจธรรม ๔) ใครหนอจะแสดงธรรมแก่เรา โดยที่เราจะพึงเห็นธรรมได้[๒๓๓]ฯลฯ อนึ่ง เราก็มีความคุ้นเคยในท่านพระอานนท์อยู่มาก อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปหาท่านพระอานนท์เถิด ขอท่านพระอานนท์จงกล่าวสอนผมด้วย ขอท่านพระอานนท์จงพร่ำสอนผมด้วย ขอท่านพระอานนท์จงแสดงธรรมีกถาแก่ผมด้วย ตามที่ผมจะพึงเห็นธรรมได้^พระฉันนะในขณะปรารภธรรมนี้ ท่านยังไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงดังนั้น ท่านจึงปรารภว่า แม้เราก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตาสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา(....เป็น ความคิดเห็น ไม่ใช่ความรู้แจ้งเห็นจริง....)พระฉันนะปรารภต่อว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของเราไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่หลุดพ้น ในธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ในการสละคืนอุปธิทั้งปวง ในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพาน ความสะดุ้งกลัวและอุปาทานย่อมเกิดขึ้น ใจก็ถอยกลับอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นตนของเราเพราะจิตของท่านไม่น้อมลงสู่อมตะ(ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ในการสละคืนอุปธิทั้งปวง ในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพาน)ยังมีตัณหา ทิฐิ และอุปาทานอยู่ท่านจึงเกิดความคลางแคงสงสัยขึ้นในจิตใจว่าถ้าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน(ที่พึ่ง) แล้วอะไรเล่า เป็นตน(ที่พึ่ง)ของเราแต่ความคิดเห็นอย่างนี้ไม่มีแก่ผู้เห็นธรรม (สัจจธรรม ๔)ใครหนอจะแสดงธรรมแก่เรา โดยที่เราจะพึงเห็นธรรมได้ในขณะที่ความคิดเห็นแบบนี้ไม่มีในพระอริยสาวก เพราะพระอริยสาวกผู้รู้แจ้งอริยสัจ ๔ แล้ว(...เป็นความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ความคิด...)เพราะจิตของพระอริยสาวกน้อมลงสู่อมตะ(ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ในการสละคืนอุปธิทั้งปวง ในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพาน)ไม่มีตัณหา ทิฐิ และอุปาทานอยู่พระอริยสาวกท่านจึงไม่เกิดความคลางแคงสงสัยขึ้นในจิตใจว่าถ้าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน(ที่พึ่ง) แล้วอะไรเล่า เป็นตน(ที่พึ่ง)ของเราเพราะพระอริยสาวก พบตนหรือเห็นตนแล้ว ว่าตนที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริงนั้น คือ สภาวะที่จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ แล้วอย่างสิ้นเชิงสภาวะที่จิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง (จิตสิ้นการปรุงแต่ง เป็นวิสังขาร)หรือก็คือ สภาวะพระนิพพาน อันเป็นอมตะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้วพระฉันนะปรารภว่า ใครหนอจะแสดงธรรมนี้ให้ท่านกระจ่างได้ในที่สุดก็นึกถึงพระอานนท์ และพระอานนท์ก็ได้แสดงธรรมโปรดท่านพระอานนท์ได้นำพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคย์แสดงแก่พระกัจจานโคตร มาแสดงให้ท่านพระฉันนะฟังในตอนท้ายพระสูตรเขียนว่าก็แลผมเองได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านอานนท์แล้ว เข้าใจธรรมได้อย่างแจ่มแจ้งซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นว่าพระฉันนะ เมื่อฟังธรรมจากพระอานนท์แล้ว ก็ยังไม่บรรลุธรรมเพียงแต่เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้นเท่านั้นโปรดสังเกตพระสูตรที่มีมา ถ้าองค์ไหนฟังธรรมจบแล้ว บรรลุธรรมพระสูตรจะเขียนว่าผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้วเพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของท่านพระสารีบุตรถ้าองค์ไหนฟังแล้ว บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระสูตรจะเขียนว่าจิตของภิกษุผู้เถระประมาณ ๖๐ รูป และของท่านพระเขมกะ พ้นแล้วจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นจิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น เพราะได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านสารีบุตร..........◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊..........เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกันว่า ปุถุชนกับพระอริยสาวกนั้น ต่างกันที่ จิตพระสูตรส่วนต้น ได้แสดงนัยถึงจิตของพระฉันนะว่าจิตของเรา ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่หลุดพ้น ในธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ในการสละคืนอุปธิทั้งปวง ในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพาน ความสะดุ้งกลัวและอุปาทานย่อมเกิดขึ้นใจก็ถอยกลับอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นตนของเราดังนั้น โดยนัยตรงกันข้ามพระอริยสาวก รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนั้นจิตของพระอริยสาวก ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่นหลุดพ้น ในธรรมเป็นที่ระงับสังขาร ในการสละคืนอุปธิทั้งปวงในความสิ้นตัณหา ในวิราคะ ในนิโรธ ในนิพพานความสะดุ้งกลัวและอุปาทานย่อมไม่เกิดขึ้นจึงไม่สงสัยว่าอะไรเล่าเป็นตน(ที่พึ่ง)ของเรา^ก็เฉกเช่นเดียวกัน ถึงพวกเราจะรู้ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตาสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาความรู้เช่นนี้เป็นสัญญา ความจำได้หมายรู้ไม่ใช่ปัญญา รู้เห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงเพราะไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติสัมมาสมาธิจนจิตมีสติบริสุทธิ์วางเฉยต่ออารมณ์เป็นอุเบกขาที่ฌาน ๔ (อุเปกฺขา สติปาริสุทฺธิง)พวกเราส่วนนึงก็จะกลัวเมื่อมีการเอ่ยถึงคำว่า ตนและจะรีบปฏิเสธว่าในพระศาสนาไม่มีตัวตนทั้งๆที่พระพุทธองค์มีกล่าวถึงไว้มากมายที่ฌาน ๔ อุเปกฺขา สติปาริสุทฺธิงจิตมีสติบริสุทธิ์วางเฉยต่ออารมณ์เป็นอุเบกขาจิตแยกตัวเป็นอิสระออกจากอารมณ์ได้จิตก็อยู่ส่วนจิต อารมณ์ก็อยู่ส่วนอารมณ์อยู่ร่วมกันไป เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวจิตเป็นอิสระอยู่ได้โดยลำพังตนเอง จิตไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอารมณ์อีกต่อไป ณ ตรงนี้แล ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยากเพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธตน(ที่พึ่ง)พระองค์สอนให้ปฏิเสธ ขันธ์ ๕ ว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน(ที่พึ่ง)ของเราทรงสอนให้ฝึกอบรมจิต เพื่อให้จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน(ที่พึ่ง)ของเราดังพุทธอุทาน ซึ่งทรงเปล่งออกหลังจากตรัสรู้ใหม่ๆ ดังนี้คือ"ยทา จ อตฺตนา เวทิ มุนิ โมเนน พฺราหมฺโณ อถรูปา อรูปา จ สุขทุกฺขา ปมุญฺจติ"เมื่อใดพราหมณ์ผู้เป็นมุนี มารู้จัก ตน เข้าด้วยปัญญาอันเกิดจาก(จิต)สงบเมื่อนั้นพราหมณ์ย่อม พ้นจากรูป อรูป สุข และทุกข์ ดังนี้[๒๓๔] ฯลฯ อา. ท่านพระฉันนะ ผมได้สดับคำนี้มาเฉพาะพระพักตร์ รับมาแล้วเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ผู้ตรัสสั่งสอนภิกษุกัจจานโคตรอยู่ว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑ก็เมื่อบุคคลเห็นเหตุเกิดแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอยู่ ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มีเมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอยู่ ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายเป็นเหตุถือมั่นและความยึดมั่นแต่อริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายเป็นเหตุถือมั่นมีความยึดมั่นด้วยความตั้งจิตไว้เป็นอนุสัยว่า อัตตาของเรา ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละเมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ อริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลยดูกรกัจจานะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล จึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิดูกรกัจจานะ ส่วนสุดที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้^ในสมัยพระพุทธองค์ มีความเห็นสุดโต่ง ๒ ฝั่งฝั่งนึงเชื่อว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่มี คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อีกฝั่งนึงเชื่อว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีไม่มี คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา คือ ฝั่งนึงเห็นว่าการเสพสุขทางกาย(ขันธ์ ๕) ทำให้พ้นทุกข์ได้การปฏิบัติสุดโต่งของฝั่งนี้ เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยคอีกฝั่งนึงเห็นว่าการทรมานกาย(ขันธ์ ๕) ทำให้พ้นทุกข์ได้การปฏิบัติสุดโต่งฝั่งนี้เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยคส่วนพระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ โดยการปฏิบัติทางสายกลาง หรืออริยมรรค ๘ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิต ไม่ใช่ทางกาย(ขันธ์ ๕) จึงทำให้พ้นทุกข์ได้เพราะจิตปล่อยวางการยึดถือกาย(ขันธ์ ๕) ว่าเป็นตนความมีในโลก และ ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มีเพราะทรงพ้นจาก ความมี ความไม่มี ในโลกแล้วทรงเห็นแล้ว รู้แล้วว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลกจิตของพระองค์พ้นแล้วจากถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะเที่ยง จะไม่เที่ยง จะสุข จะทุกข์ จะแปรปรวนหรือไม่แปรปรวนไป อย่างไรก็ตามจิตของพระองค์หาได้แปรปรวนตามรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นๆไม่(อ่านเทียบเคียงได้ใน ปุบผสูตร และนกุลปิตาสูตร)ดังได้กล่าวมาโดยตลอด เราจึงต้องปฏิบัติตามเสด็จเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิตเพื่อให้จิตเกิดปัญญา รู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชาจิตไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไปจิตจึงจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายเป็นเหตุถือมั่นและความยึดมั่น แต่อริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายเป็นเหตุถือมั่นมีความยึดมั่นด้วยความตั้งจิตไว้เป็นอนุสัยว่า อัตตาของเรา ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละเมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ อริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย^นั่นคือ จิตปุถุชนเข้าถึงอุบาย(ตัณหาและทิฐิ ) และอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุ ตั้งมั่น ถือมั่นและเป็นอนุสัยแห่งจิตว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอัตตาของตนจิตพระอริยสาวกละ อุบาย(ตัณหาและทิฐิ ) และอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุ ตั้งมั่น ถือมั่นและเป็นอนุสัยแห่งจิตว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอัตตาของตนพระอริยสาวก มีญาณหยั่งรู้ คือรู้อริยสัจจ์ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงรู้ทุกข์ (ทุกข์)รู้เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย)รู้ความ ดับทุกข์ (นิโรธ)รู้หนทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)หรือก็คือรู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิด (สมุทัยวาร...ทุกข์,สมุทัย)รู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายดับ (นิโรธวาร...นิโรธ,มรรค)เกิดวิชชาขึ้นที่จิตแทนที่อวิชชาเพราะอวิชชาดับไปจากจิต ปฏิจจสมุปบาทธรรมดับไม่ใช่จิตดับ แต่จิตเป็นพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานรู้อริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงตื่นจากความมัวเมาในอารมณ์ (มัทนิมมัทโน)เบิกบานในธรรม (วิราคธรรม)..........◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊..........กายปุถุชนกับพระอริยเจ้าเหมือนกันคือเป็นเพียงรูป-นาม ขันธ์ ๕ หรือธาตุที่มาประชุมกันปุถุชนกับพระอริยเจ้าต่างกันที่ จิต นั่นคือ จิตรู้เห็นต่างกันปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส จิตเห็นขันธ์ ๕ เป็นตน เห็นตนเป็นขันธ์ ๕แต่พระอริยเจ้า จิตไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นตน ไม่เห็นตนเป็นขันธ์ ๕ปุถุชน เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตนปุถุชน เห็นตนมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณปุถุชน เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตนปุถุชน เห็นตนในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเขาย่อมแล่น วนเวียนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น เองเมื่อเขาแล่นวนเวียนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอยู่เขาย่อมไม่พ้นไปจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสเรากล่าวว่าย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์พระอริยสาวก ไม่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตนพระอริยสาวก ไม่เห็นตนมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณพระอริยสาวก ไม่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตนพระอริยสาวก ไม่เห็นตนในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอริยสาวกนั้นย่อมไม่แล่นวนเวียนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอริยสาวกนั้นเมื่อไม่แล่นวนเวียนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณย่อมพ้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสเรากล่าวว่า ย่อมพ้นไปจากทุกข์(อ้างอิง คัททูลสูตรที่ ๑ และ ๒)^ปุถุชนไม่ได้รับการอบรมจิตจิตมีอวิชชาครอบงำอยู่(ไม่รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง)หลงเข้าใจผิด ว่าขันธ์ ๕ ซึ่งก็รวม วิญญาณขันธ์ ด้วยเป็นตนจึงหลงเกิดตายตามขันธ์ ๕ หรือ ก็คือ เกิดดับตามวิญญาณขันธ์ นั่นเองจึงบอกว่า จิตเกิดดับ ด้วยอำนาจอวิชชาที่ครอบงำนั่นเองเพราะไม่รู้จักตนเองที่แท้จริง ว่าตนเป็นผู้รู้ ผู้เห็นอยู่เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตจึงแปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไปตลอดเวลาเมื่อปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ ตามเสด็จพระบรมศาสดาจิตที่เคยรู้ผิดเห็นผิดไปจากความเป็นจริงมาตลอดเพราะ อวิชชาครอบงำเกิดวิชชาขึ้นแทนที่ (รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง)จิตก็จะรู้ จะเห็นว่าขันธ์ ๕ ซึ่งก็รวมวิญญาณขันธ์ด้วยไม่ใช่ตนตนไม่ใช่ขันธ์ ๕ ตนไม่ได้เกิดดับ ตนเป็นผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ที่เกิดดับคือวิญญาณขันธ์ไม่ใช่จิตเพราะจิตผู้ปฏิบัติต้องรู้ต้องเห็นตลอดสายของการปฏิบัติไม่ว่าอารมณ์ใดๆมาเกิดขึ้นที่จิต จิตก็รู้อารมณ์ใดๆดับไปจากจิต จิตก็รู้เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป ถ้ารู้จักทำจิตให้สงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวได้จิตก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไปนี้คือประโยชน์ที่ผู้ปฏิบัติตามเสด็จจะพึงได้รับจากพระพุทธศาสนาคือ จิตรู้จักปล่อยวางอารมณ์ต่างๆที่จะเข้ามากระทบจิตไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามอารมณ์ขออนุโมทนา ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมปฏิบัติยิ่งๆขึ้น