มาค้นหาเพื่อให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ให้ถูกที่ถูกทางกันเถอะ (ต่อ)
มาค้นหาเพื่อให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ให้ถูกที่ถูกทาง (ต่อ) กันเถอะ (อ่านตอนแรก)


ถูกที่น่ะ ที่ไหน?

ถ้าไม่ใช่ที่กายอันยาววา หนาคืบ กว้างแค่ศอก ที่มีจิตครอบครองในอัตภาพนี้อยู่ (อุปาทินกสังขาร)

เมื่อพูดถึงที่นี่หนะที่ไหน? หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งดีนักว่าทำไมหละ ต้องที่กายอันยาววา หนาคืบ กว้างแค่ศอก ที่มีจิตครอบครองในอัตภาพนี้ที่เรียกว่าอุปาทินกสังขาร

เพราะถ้าเป็นอนุปาทินกสังขารแล้วล่ะก็ ย่อมฝึกฝนอบรมสั่งสอนอะไรไม่ได้เลยใช่หรือไม่? เนื่องเพราะเป็นสังขารที่ถูกปรุงแต่งด้วยมหาภูตรูปที่ไม่มีจิตอันเป็นธาตุรู้ครองครองอยู่นั่นเอง จึงรู้ จำ นึกคิดอะไรไม่ได้เลย และพระพุทธองค์คงไม่มาเสียเวลาไปเปล่าๆ กับการสั่งสอนฝึกฝนอบรมสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นโดยไม่มีจิตครองเหล่านี้

ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ฝึกฝนอบรมเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยไม่มีใครยิ่งกว่า พระพุทธองค์ทรงฝึนฝนอบรมอะไร?

เมื่อมาพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลที่ตริตรองตามความเป็นจริงได้ จะเห็๋นว่า ร่างกายอันยาววา หนาคืบ กว้างแค่ศอกนี้ เมื่อไม่มีจิตครองอยู่ก็ไม่ชีพ(ชีวิต) ก็คือซากศพดีๆนี่เอง ที่รอการเน่าเปื่อยไปตามกาลเท่านั้น ไม่สามารถรับรู้สึกถึงความเจ็บปวด โทมนัส โสมนัสใดๆทั้งสิ้นได้เลย คือไม่แจ้งในอารมณ์ต่างๆได้เลย

สิ่งที่เกิดประจักษ์ขึ้นมาให้รู้เห็นได้ เข้าใจได้ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ล้วนต้องมีจิตที่เป็นธาตุรู้ เข้ามาอาศัยยึดครองถือเอารวบรัดอยู่ในสกลกายนี้ ตามอำนาจของกิเลส กรรม วิบาก ที่ได้บันทึกลงไว้ที่จิตของตน ตามที่ได้สั่งสมมาอย่างยาวนานนับไม่ถ้วนนั่นเอง

ซึ่งเป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ต่างๆ เมื่อจิตเข้ามายึดครองถือเอารูปร่างกายนี้เป็นของๆตนนั่นเอง จึงแสดงอาการออกมาถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เนื่องด้วยอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบจิต

มีพระพุทธโอวาทที่ทรงตรัสไว้ในวันมาฆบูชา หรือที่เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์กล่าวไว้ดังนี้

๑.ละอกุศลความชั่วช้าทั้งหลายให้หมดไป
๒.ยังกุศลความดีทั้งหลายให้เจริญยิ่งๆขึ้นมา
๓.ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย


พระพุทธโอวาทที่ทรงกล่าวมานั้น ล้วนทรงตรัสสั่งสอนให้ฝึกฝนอบรมจิตทั้งสิ้นใช่หรือไม่? คำสั่งสอนดังกล่าวนี้ ล้วนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ทรงได้อุบัติขึ้นมาในโลก

เมื่อใครที่ยังคิดเองเออเองว่า จิตเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระนั้น ก็เพราะไปมองเห็นแต่เพียงอาการของจิตที่เป็นไปด้วยประการต่างๆ ตามอารมณ์กิเลสทั้งหลายทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ที่จิตของตนเข้าไปยึดมั่นถือเอาไว้ แล้วแสดงอาการต่างๆออกมาตามอารณ์กิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ว่านั่นแหละคือสภาพธรรมของจิต ทั้งๆที่โดยแท้ที่จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงอาการของจิตเท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมต้องเห็นไปว่าจิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ไปตามที่มีความเข้าใจว่าอย่างนั้น

เนื่องเพราะจิตมีอวิชชาครอบงำอยู่ ย่อมรู้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง คือ ไปเห็นเอาว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตน เป็นของๆตนอย่างเหนียวแน่นมั่นคง โดยถือเอา ไม่รู้สึกตัวได้เลย เพราะมีอวิชชาบิดบังอยู่นั่นเอง

สรุปว่า เมื่อตั้งใจจะค้นหามรรคผลนิพพาน ที่ถูกที่ถูกทางแล้วล่ะก็ จงอย่าเที่ยวออกไปค้นหามรรคผลนิพพานที่ไกลตัวเองเลย มันไม่มีทางพบหรอก ต้องค้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่กายอันยาววา หนาคืบ กว้างแค่ศอก ที่มีจิตครอบครองในอัตภาพที่เป็นอยู่นี้

เริ่มด้วยการลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิ(สมาธิกรรมฐานภาวนา) ในอริยมรรคมีองค์๘ อย่างจริงจังด้วยความพากเพียร อย่าเพิ่งไปเชื่อใครหน้าไหนทั้งสิ้นว่าจะติดเพ่งเอา เพราะมีพระพุทธพจน์รับรองจากพระโอษฐ์ตรัสไว้ว่า

"ดูก่อนอานนท์ พวกเธอจงเพ่งฌาน อย่าเกียจคร้าน"

เพื่อจะได้รู้เห็นตามความเป็นจริง โลกจักไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์ดังนี้...


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต






Create Date : 09 กันยายน 2554
Last Update : 19 มกราคม 2558 17:19:52 น.
Counter : 668 Pageviews.

1 comments
แม่แชร์มาในไลน์ comicclubs
(21 มี.ค. 2567 00:37:04 น.)
ร่มเย็น สมาชิกหมายเลข 3881305
(17 มี.ค. 2567 02:09:39 น.)
ธรรมะหลัก ธรรมฝ่ายดีงาม ปัญญา Dh
(11 มี.ค. 2567 04:41:53 น.)
สักการะพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดนายโรง ณ พระพุทธเจดีย์สารีริกธาตุ นายแว่นขยันเที่ยว
(11 มี.ค. 2567 00:10:31 น.)
  
ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา
โดย: my_oom วันที่: 9 กันยายน 2554 เวลา:9:03:40 น.

Nujoy.BlogGang.com

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]