อ๋องน้อย เจ้าสำราญ - บทที่ ๕๐ เล่ม ๒ (YURI) ๕๐
หลังสั่งลูกน้องเอาคนร้ายทั้งหมดไปส่งให้องค์ชายสี่ที่กรมอาญา ส่วนตัวเองปลีกตัวไปนั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนเจียหลุนที่โรงเตี๊ยมหยุนไหล หลังรู้จักกันเพียงสองวัน เจียหลุนถูกใจอีกฝ่ายมากในเรื่องความใจกว้างเป็นแม่น้ำ จึงเอ่ยปากขอเป็นพี่น้องร่วมสาบานด้วย คนหน้ามีแผลเป็นมิได้ปฏิเสธ “ต่อไปพวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” คนพี่เอ่ยขึ้นหลังดื่มไปหลายจอก “ขอรับท่านพี่เจียหลุน” “เสียดายจริงๆ ที่ข้าต้องรีบทำธุระ ไม่มีเวลาดื่มกับเจ้านานนัก” “ไว้โอกาสหน้าก็ได้ขอรับ ท่านว่างเมื่อใดก็แวะมาหาข้าได้” “ตกลงตามนั้น” สองพี่น้องดื่มอีกเล็กน้อยก่อนร่ำลา หลังแยกย้าย มู่หรงเหลียนซิงกลับจวน นั่งจิบน้ำชาไม่ทันหายเหนื่อย ขันทีคนสนิทเจ้าเหนือหัวก็รุดมาแจ้งว่า “ฮ่องเต้ต้องการพบท่านอ๋องน้อยขอรับ” “ฝ่าบาทมีเรื่องอันใด กงกงพอจะทราบหรือไม่” คนหน้าบากถามด้วยความอยากรู้ “ข้าน้อยไม่ทราบ แต่รับสั่งว่าเป็นเรื่องด่วนมาก” มีเรื่องใดของฮ่องเต้เฒ่าบ้างที่ไม่ด่วน...ให้ตายเถอะ! คนหน้าบากคิดบ่นในใจกับความใจร้อนของเจ้าชีวิต จึงรีบเข้าวังไปถวายรายงานฮ่องเต้ทันทีเพื่อตัดปัญหา
หลังมู่หรงเหลียนซิงออกจากจวน พระชายาอ๋องจึงฉวยโอกาสนี้ให้เยี่ยหยุนจือลองชุดแต่งงานสีแดงสดที่นางสั่งตัดอย่างปราณีต โดยใช้ชุดของอีกฝ่ายเป็นตัวอย่าง “เจ้าใส่ชุดนี้แล้วงดงามมากๆ” หวางเยี่ยนหลีกล่าวชมว่าที่ลูกสะใภ้ของตนอย่างพอใจ ชุดสีแดงนี้ใช้ผ้าไหมชั้นเลิศ ช่างตัดเสื้อฝีมือดีสิบคนช่วยกันปักลายบนอาภรณ์งดงามตลอดสองอาทิตย์เศษ ตั้งแต่ชุดจนถึงผ้าคลุมหน้าล้วนแต่ทำได้สวยงามยิ่ง เครื่องประดับศีรษะทำด้วยทองแซมด้วยไข่มุก กระทั่งรองเท้าแดงยังสั่งตัดใหม่มีไข่มุกเม็ดโตประดับ เชื่อว่าวันจริงแขกเหรื่อต้องตื่นตะลึงหากได้เห็น หวางเยี่ยนหลีดูแลอย่างดี เพื่อให้ทุกอย่างออกมางดงามที่สุด ราคาของชุดเจ้าสาวนี้ไม่ต้องเอ่ยถึง ...มูลค่าควรเมืองทีเดียว คนเป็นมารดาใช้จ่ายเพื่องานแต่งงานของลูกคนโตอย่างไม่ยั้งมือ หลังอ๋องน้อยมอบตั๋วเงินที่ชนะพนันมูลค่าสองแสนตำลึงไว้ให้ ก่อนเดินทางไปสำนักเมฆาคราม เพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีเลิศที่สุด ไม่ใช่แค่รักษาหน้าตาของท่านอ๋องมู่หรง แต่ยังเป็นการบอกว่าอ๋องน้อยรักชอบสตรีนางนี้เหลือเกิน เหลียนซิงเอาใจใส่หยุนจือไม่น้อย แบบนี้หลังแต่งงานข้าคงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง “ข้าว่ามันออกจะแพงเกินไป” เยี่ยหยุนจือบ่นพึมพำออกมา นางไม่เคยเห็นชุดแต่งงานใดหรูหราอลังการขนาดนี้มาก่อน เดาว่าราคาคงสูงมาก แค่ไข่มุกหายสักเม็ด ข้าก็ไม่มีปัญญาชดใช้แล้ว แม้หญิงสาวจะไม่รู้ว่าไข่มุกมีราคาสูงเพียงใด รู้แค่ว่าสิ่งนี้เป็นของหายากยิ่ง การนำมาเป็นเครื่องประดับออกจะฟุ่มเฟือยไปสักนิด หากนำมาเป็นกระสายยาคงดีกว่า แต่นางเกรงใจไม่กล้าพูดออกมาดังๆ หลังได้ยินว่าที่เจ้าสาวบ่น สองสาวใช้คนสนิทหงซิ่วกับจือยวนหัวเราะคิกคัก “ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ชุดแต่งงานนี้พระชายาตั้งใจออกแบบให้ท่านโดยเฉพาะ เรื่องราคาท่านไม่ต้องกังวลไป คุณชายของพวกเรามีฐานะร่ำรวยไม่น้อย” จื่อยวนสาวใช้หน้าแฉล้มเอ่ยขึ้น “ข้าเชื่อว่า ชุดนี้จะทำให้ท่านงดงามยิ่งกว่าเจ้าสาวผู้ใดในแคว้นจ้าว” หงซิ่วเอ่ยเสริมบ้าง ท่านไม่รู้หรอกว่า ชุดนี้แพงระยับยิ่งกว่าตอนฮองเฮาองค์ปัจจุบันอภิเษกกับฮ่องเต้จ้าวหยวนอี้เสียอีก สาวใช้อาวุโสคิดเปรียบเทียบ แต่ไม่เอ่ยออกมา เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนที่จ้าวหยวนอี้เป็นรัชทายาทสู่ขอหานฮองเฮา แต่ชุดเจ้าสาวนี้ของชายาอ๋องน้อย ได้ทำลายสถิติชุดเจ้าสาวที่แพงที่สุดของแคว้นจ้าวลงอย่างแน่นอน แค่จำนวนและขนาดไข่มุกก็ชนะขาด เยี่ยหยุนจือมีสีหน้าคลายความกังวลลง “เช่นนั้นหรือ” “สตรีเช่นพวกเราชั่วชีวิตแต่งงานแค่ครั้งเดียว ในวันนั้นแค่เจ้าสวยที่สุด เหลียนซิงต้องพอใจมาก เจ้าไม่ต้องคิดมาก” พระชายาอ๋องตบไหล่ว่าที่ลูกสะใภ้ของตนอย่างเอ็นดู มองสตรีตรงหน้าที่มีผิวขาวผ่อง ผิวละเอียดเนียนนุ่ม สีแดงสดชวนให้นางดูผุดผาดมากขึ้นไปอีก เจ้าแต่งชุดแดงขึ้นกว่าชุดเขียวเสียอีก ต่อไปต้องบอกให้ลูกข้าหาชุดสีแดงให้หยุนจือสักหลายชุด “ข้าเข้าใจแล้ว” สตรีคนงามรับคำอย่างว่าง่าย หวางเยี่ยนหลีสำรวจรอบๆ ตัวว่าที่เจ้าสาว จนไม่เห็นว่าชุดมีปัญหาตรงใดต้องแก้ไข จึงให้หญิงสาวเปลี่ยนกลับชุดเดิม ก่อนมานั่งสนทนากันต่อ โดยซักไซ้เรื่องที่เกิดขึ้นบนสำนักเมฆาครามอย่างละเอียด ซึ่งอีกฝ่ายก็เล่าอย่างไม่ปิดบัง “คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยากให้เจ้าแต่งงานกับศิษย์พี่ใหญ่” ชายาอ๋องพึมพำเบาๆ หลังฟังจบ สิ่งที่เป็นของเจ้า ย่อมเป็นของเจ้า ถ้าไม่ใช่ของเจ้า แย่งไปก็ไร้ประโยชน์ นางคิดสงสารสองอาจารย์ลูกศิษย์ที่ต้องผิดหวังในความรักไม่ต่างกัน แม้จะสงสารแต่ก็จนใจที่จะช่วย อย่างไรเสียหวางเยี่ยนหลีก็ต้องเข้าข้างลูกในไส้ของตนมากกว่า “ข้าก็เพิ่งทราบ” สตรีใบหน้าเย็นชาถอนใจเบาๆ ไม่เคยคิดว่าตนจะมีบุรุษมาวุ่นวายกับตนในเรื่องแบบนี้ หาไม่นางคงอยากจะอยู่บนเขาเมฆาครามต่ออีกสักระยะ เยี่ยหยุนจือไม่ชอบการถูกบีบบังคับ ยิ่งบอกให้ไปทางซ้ายนางยิ่งจะรั้นออกทางขวา “แค่อาจารย์เจ้ารับรู้ บิดามารดารับรู้ก็น่าจะจบ” มารดาของอ๋องน้อยกล่าวตัดบท นางไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาขัดขวางงานแต่งงานของลูกคนโตแน่ หลังรู้ว่าอดีตเพื่อนผู้นี้มีสุขภาพไม่ดีนัก คงไม่สะดวกมาขัดขวาง จึงคลายใจลงหลายส่วน วรยุทธของถานไหลเค่อนับว่าสูงส่งไม่ด้อยกว่าตน หากต้องประมือกันจริง ยากจะบอกว่าใครจะชนะ หวังว่าอาการบาดเจ็บของเขาคงไม่หนักจนเกินไป “เจ้าค่ะ” คนฟังพยักหน้าน้อยๆ “ข้าให้คนส่งจดหมายแจ้งเรื่องสมรสพระราชทาน แก่บิดาของเจ้าแล้วนะ หวังว่าทางเขาจะไม่มีปัญหา อาจจะมาวันงานทัน” มารดาของอ๋องน้อยเปลี่ยนเรื่องคุย ท่านพ่อรึ... สตรีชุดเขียวเม้มปากเล็กน้อย เมื่อหวนคิดไปถึงบิดาของตนที่ปกติจะตามอกตามใจนางเสมอ แต่หญิงสาวยังไม่ได้แจ้งเขาเรื่องถอนหมั้นกับหนานกงเหวยโดยพละการ แถมยังจะแต่งงานกับมู่หรงเหลียนซิงกะทันหัน ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับกับเรื่องเหล่านี้ได้หรือเปล่า ส่วนมารดารักตนมากคงไม่ค่อยมีปัญหามากเท่าบิดา “ข้าไม่แน่ใจ” หืม! หวางเยี่ยนหลีทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเบาๆ ออกมา “ตอนข้าแต่งให้กับบิดาของเหลียนซิง บิดาข้าก็ไม่ได้เห็นชอบด้วย แต่สุดท้ายท่านอ๋องก็พยายามสารพัด จนกระทั่งบิดาข้ายอมรับ” หญิงวัยสี่สิบเศษยิ้มบาง จ้องสตรีงดงามตรงหน้าแล้วเอ่ยต่อ “ข้าเชื่อว่าเหลียนซิงต้องทำให้บิดาเจ้ายอมรับได้” พระชายาอ๋องเชื่อมั่นในตัวมู่หรงเหลียนซิงว่า หากลูกคนนี้อยากทำอะไร จะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถจนกว่าจะสำเร็จ บวกกับความกะล่อน ฉลาดเจ้าเล่ห์ที่ยากจับตัวได้ ...การเอาชนะใจคนผู้หนึ่งเพื่อสตรีคนรัก จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นจนเกินไป ในจำนวนลูกทั้งหมดของนาง มู่หรงเหลียนซิงมีอุปนิสัยหลายอย่างที่คลับคล้ายกับอ๋องมู่หรงเย่เฉิงที่สุด ยกเว้นเรื่องวรยุทธที่ต่ำเตี้ยไปสักหน่อย “ข้าก็หวังเช่นนั้น” หมอสาวตอบออกมาในที่สุด ผู้อื่นอาจมองมู่หรงเหลียนซิงเป็นคนที่ไม่เอาไหนไม่เอาถ่าน แต่สำหรับเยี่ยหยุนจือ นางเห็นข้อดีมากมายของอีกฝ่าย รวมถึงมั่นใจในตัวอีกฝ่ายไม่น้อย ข้าเชื่อเจ้านะเหลียนซิง! สองสาวใช้ลอบสบสายตากัน ซ่อนยิ้มในหน้า เห็นแนวโน้มความสัมพันธ์ของอ๋องน้อยกับฮูหยินน้อยพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนหงซิ่วได้แต่คิดเสียดาย ที่นางไม่ได้ไปร่วมสนุกบนเขาเมฆาครามด้วย หลังคันไม้คันมือไม่ได้ต่อยตีกับคนมาพักใหญ่ รู้งี้ข้าน่าจะขอตามไปสำนักเมฆาครามด้วย
“จับมันไว้” เสียงองค์ชายสี่ตวาดลั่น หลังคนร้ายปลอมตัวเข้ามาหมายฆ่าผู้นำโจรที่ฝากขังไว้ในกรมอาญา โชคดีที่เขาระวังตัวตามที่อ๋องน้อยเตือนไว้ คนร้ายแฝงตัวเข้ามาไม่รู้รหัสลับ หลังความแตกจึงคิดหนี แต่หนีไม่รอด พอคิดจะฆ่าตัวตาย ก็โดนบีบกระพุ้งแก้มไว้เสียก่อน จึงอดไปรายงานตัวกับยมบาล “ใครบงการเจ้ามาฆ่าคน” จ้าวจิงเฉิงคาดคั้นสอบปากคำ เงียบไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากนักฆ่าที่แต่งกายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของกรมอาญา “ลงทัณฑ์จนกว่าจะพูด” องค์ชายสี่ออกคำสั่ง หลังคนร้ายไม่คิดจะสารภาพใดๆ เขาไม่ได้ชอบการลงโทษ แต่กับคนบางจำพวกก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ผ่านไปชั่วชาหนึ่งจอก (1 จอกประมาณ 5 นาที) คนร้ายที่ถูกมัดกับเสาโดนเฆี่ยนจนหมดสติ ปากแข็งเกิน...จะตายก่อนไหม จ้าวจิงเฉิงเห็นดังนั้นได้แต่ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย เดาว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ จึงออกจากคุกใต้ดินไป โดยไม่ลืมกำชับให้คนเฝ้านักโทษอย่างเข้มงวด ไม่ได้เรื่องเลย...หวังว่าทางเหลียนซิงจะมีข่าวดีบ้าง องค์ชายสี่ได้แต่ฝากความหวังไว้กับลูกพี่ลูกน้องของตน
“เจ้าบอกว่าอาวุธของโจรคืออาวุธหลวงหรือ” ฮ่องเต้ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะซักไซ้เรื่องคนร้ายที่บุกปล้นสำนักเมฆาครามกับโจรป่าในห้องทรงพระอักษร ภายในห้องนั้นมีเขา มู่หรงเหลียนซิง แล้วก็เสี่ยวกุ้ยจื่อขันทีคนสนิทเท่านั้น “กระหม่อมแค่สงสัย กระหม่อมได้ส่งคนร้ายให้กับองค์ชายสี่และท่านหลี่เสินเจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว” อ๋องน้อยพูดตอบอย่างฉะฉาน หลังถวายรายงานเรื่องที่ตนได้ประสบออกมาอย่างละเอียด ที่แท้เกลือเป็นหนอน! จ้าวหยวนอี้กำหมัดข้างตัวแน่น สีหน้าที่หลงเหลือเค้าความหล่อในวัยหนุ่มยามนี้บูดบึ้ง ประหนึ่งอยากจะหักคอคนทรยศให้ตายคามือ เผลอฟาดโต๊ะดังปังด้วยความเดือดดาล ฮ่องเต้ไม่คิดเลยว่า กลุ่มโจรป่านอกเมืองที่มองเป็นแค่โจรกระจอกไม่กระจอกเสียแล้ว กลุ่มโจรหลักเกือบสองร้อยคนมีเหล่าจอมยุทธเข้าร่วมด้วย ไม่อยากจะคิดว่าเบื้องหลังต้องมีผู้ยิ่งใหญ่ขนาดไหนคอยสนับสนุน เหมือนคนผู้นั้นจะส่งคำเตือนกลายๆ ว่า ...ถ้าจะก่อกบฎเพื่อเปลี่ยนฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด ระยะนอกประตูเมืองหลวงกับวังหลวง ไม่นับว่าห่างกันมาก หากบุกเข้ามาจริงๆ ก็ใช้เวลาไม่ถึงวัน พอคิดแบบนี้จ้าวหยวนอี้ก็นั่งแทบไม่ติด ราวกับมีไฟกองโตลนพระที่นั่ง (ก้น) ของตนอยู่ “บ้าเอ๊ย!” เขาสบถลอดไรฟันออกมาที่น้อยครั้งจะได้ยิน บ่งบอกถึงอารมณ์เดือดพล่านภายในใจ คิ้วหนาขมวดแน่นแทบเป็นปม สมองคิดหนักถึงวิธีแก้ไขปัญหาเร่งด่วน หรือข้าควรมีราชโองการ เรียกแม่ทัพหนานกงมาจัดการเรื่องนี้ดี เจ้าเหนือหัวคิดไปถึงแม่ทัพใหญ่หนานกงที่ประจำการอยู่เมืองชิงโจวทางเหนือของแคว้น อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้ยันกับแคว้นจิ้ง หลังฮ่องเต้จิ้งเพิ่งผลัดแผ่นดินใหม่ ฮ่องเต้จิ้งยังอยู่ในวัยฉกรรจฉ์แค่ยี่สิบเศษ ต่างจากฮ่องเต้จ้าวที่ก้าวสู่วัยชราร่วงโรยไปทุกขณะ จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าแม่ทัพใหญ่หนานกงมีสุขภาพย่ำแย่ หลังได้รับบาดเจ็บเรื้อรัง จนต้องยกให้ลูกชายคนโตหนานกงเหอ ซึ่งเป็นรองแม่ทัพทำหน้าที่รักษาการชั่วคราว ป้องกันข้าศึกชายแดนด้านเหนือไม่ให้ทหารแคว้นจิ้งบุกเข้ามา แม้แคว้นจิ้งจะไม่เชี่ยวชาญหาญศึกเท่ากับแคว้นฉงเย่วทางใต้ แต่เชี่ยวชาญกลศึก อีกทั้งยังมีข่าวว่าแคว้นจิ้งมีแม่ทัพคนใหม่ที่ไม่สามัญ ทำให้จ้าวหยวนอี้ไม่กล้าประมาทหรือชะล่าใจ เรื่องการศึกไม่หน่ายเล่ห์ การประมาทเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสิ้นชาติ สร้างชาติว่ายากเย็น แต่การรักษาชาติให้ดำรงคงอยู่ยาวชั่วลูกหลาน ยากยิ่งกว่าไม่รู้เท่าใด ...ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย ขึ้นอยู่ว่าชนรุ่นหลังจะศึกษาใฝ่รู้แค่ไหน จะได้ไม่ทำผิดซ้ำซากแบบโง่ๆ จ้าวหยวนอี้ไม่คิดเรียกให้อ๋องมู่หรงเย่เฉิง ที่ดูแลหัวเมืองทางใต้มาช่วยจัดการเรื่องนี้ เพราะนั่นจะเป็นการส่งเสริมให้ชื่อเสียงของอ๋องผู้นั้นโด่งดังกลบตน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ เขาจึงไม่คิดจะให้มู่หรงเหลียนซิงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะนั่นจะเป็นการหักหน้ารัชทายาทและตนเองอย่างมาก ข้าควรทำอย่างไรดี...ปวดหัวชะมัด! บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรเงียบสนิท อ๋องน้อยยืนนิ่งลอบมองใบหน้าเคร่งเครียดของเจ้าชีวิตเป็นระยะ แต่ไม่คิดพูดอะไรออกไปอย่างรู้กาลเทศะ “เจ้าคิดว่าใครเป็นผู้บงการเรื่องนี้” ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้น หลังเงียบไปเกือบหนึ่งชั่วชาหนึ่งจอก (ชั่วชา 1 จอกราว 5 นาที) “กระหม่อมไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้ใด แค่คิดว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้มีฐานะไม่ธรรมดา เป็นแค่การคาดเดาล้วนๆ” น้ำเสียงอ๋องน้อยเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมทว่าจริงจัง คนธรรมดาคงไม่กล้าคิดการใหญ่เช่นนี้ ฮ่องเต้คิดไม่ต่างกัน ว่าคนผู้นั้นต้องไม่สามัญรวมถึงได้รับประโยชน์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ถึงได้คิดทำเรื่องบ้าบอใหญ่โตเพียงนี้ “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสมรสของเจ้าแล้ว กลับไปเตรียมตัวเถอะ ขอบใจสำหรับรายงานสำคัญ” “ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องน้อยทำความเคารพเจ้าชีวิต ก่อนก้าวออกจากห้องทรงพระอักษร “เชิญแม่ทัพที่อยู่ในเมืองหลวง หัวหน้าองครักษ์ เจ้ากรมอาญา แล้วก็ท่านราชครูมาพบข้าเดี๋ยวนี้” จ้าวหยวนอี้กล่าวกับขันทีคนสนิท “พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกุ้ยจื่อรีบรับพระบัญชาทันที OoXoO ตอนนี้อยู่ในตอนต้นของเล่ม 2 นะคะ ไรท์อัพนิยายขึ้นขายที่ MEB แล้ว อดใจรอกันอีกนิด น่าจะโหลดซื้อได้ภายใน 1-2 วันค่ะ...ถ้าพลาดราคานี้จะเสียดายนะคะขอบอก ไรท์ให้ราคาพิเศษ 7 วันเช่นเคย ใครสนใจก็รออุดหนุนกันได้ค่ะ อ๋องน้อยฯ เป็นนิยายจีนเรื่องแรกของไรท์ เป็นเรื่องที่หนามากที่สุด กวนประสาทที่สุด และขำที่สุดเท่าที่ไรท์เคยเขียนมาค่ะ ใครชอบก็รีวิวให้กำลังใจไรท์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ นาง ^^ OoXoO |
บทความทั้งหมด
|