บาปกรรมทางอินเตอร์เน็ต ( Internet performance ) จากหนังสือดังตฤณวิสัชนา ผมเห็นว่ามีประโยชน์มากครับ ถาม – การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน ตอบ - ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ‘มโนกรรม’ สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันทีที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ‘ภาษา’ นั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์ ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อยๆ บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ‘ไอ้โง่’ ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ‘ไอ้โง่’ ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้ ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคตมาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุมใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ ผมสนใจกระทู้นี้นะเพราะตรงกับชีวิตผมเลยผมกำลังประสบอยุ่แรงมากถ้าอยากฟังผมระบายก็เชิญคับ ที่....
mutiart@hotmail.com หรือ 087-8100347 พร้อมที่จะเล่าให้ฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์คับ โดย: หมู IP: 202.139.223.18 วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:21:58:06 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ตอบ - พอโลกเรามีการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต รูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์เราก็แปลกแหวกแนวไม่ซ้ำสมัยใดขึ้นทุกทีครับ ปัจจุบันมีศัพท์ถูกบัญญัติขึ้นใหม่มากมาย เช่น ไซเบอร์เซ็กซ์ (cybersex) ซึ่งหมายถึงการมีสัมพันธ์ทางเพศทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาศัยสื่อเช่น ข้อความตัวอักษร รูปภาพ หรือวิดีโอ แม้ไม่มีการสัมผัสจริงใดๆเกิดขึ้น ก็ยอมรับทั่วไปว่าถือเป็นสัมพันธ์ทางเพศแล้ว
เท่าที่ทราบคือปัจจุบันคู่ผัวตัวเมียซึ่งต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ต่างก็มีไซเบอร์เซ็กซ์กันเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีเทคโนโลยีเว็บแคมและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเข้ามาช่วย ก็ทำให้สามีภรรยาไม่ต้องอยู่ห่างกันเกินเอื้อมนัก ตรงนี้ผมเห็นเป็นแง่ดีของเทคโนโลยีที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ต้องทนโดดเดี่ยวหงอยเหงาจนหันไปหาทางที่ผิดศีลผิดธรรมกัน ขอเพียงเป็นคู่ครองแท้ๆของตน จะใช้ช่องทางไหนในการมีเพศสัมพันธ์ก็สบายใจและสนิทใจทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของไซเบอร์เซ็กซ์ชวนให้ติดใจอยากไขว่คว้าหาเสรีภาพทางเพศ มากกว่าที่จะถูกจำกัดสิทธิ์เฉพาะคู่ตน คือถ้าได้เสพและลิ้มลองของใหม่ไปเรื่อยๆในที่ลับส่วนตัว จะให้ความสำราญกว่ากันเยอะ เยาวชนจำนวนหนึ่งติดอินเตอร์เน็ตงอมแงมราวกับติดเฮโรอีน ก็เพราะถลำเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกไซเบอร์เซ็กซ์นี่เอง
จากตัวคำถามของคุณนะครับ ขอให้พิจารณาคำว่า สำส่อน กันก่อน ความหมายของสำส่อนคือ ปะปนอย่างไม่เลือก ไม่เป็นระเบียบ ซึ่งโดยพฤตินัยอันเป็นที่เข้าใจทั่วไปแล้ว จะหมายถึงการเป็นพวกชอบมีสัมพันธ์ทางเพศไม่เลือกหน้า
เดิมทีก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะครอบงำโลกเหมือนทุกวันนี้ ก็มีโทรศัพท์เป็นช่องทางความสัมพันธ์ทางเพศระยะไกลนำร่องไว้แล้ว ถอยหลังกลับไปก่อนหน้านั้นคงไม่มี เพราะถ้ามีก็ต้องเป็นความสัมพันธ์ทางเพศผ่านโทรเลข ซึ่งไม่อาจเชื่อมความรู้สึกสองฝ่ายให้เข้าหากันแบบสดๆได้ สรุปคือ ก่อนยุคของโทรศัพท์ ความสำส่อนทางเพศจะหมายเอาเฉพาะที่ถึงเนื้อถึงตัวไม่เลือกหน้า ทว่านับแต่มีโทรศัพท์ให้เชื่อมความรู้สึกถึงกันสดๆในระยะไกล ก็ถึงยุคที่เกิดความสำส่อนทางเพศขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการสัมผัสเนื้อหนังอีกต่อไป
แม้ไม่ถึงเนื้อถึงตัว แต่ความรู้สึกของคนเราก็ ถึงลูกถึงคน หรือ ถึงพริกถึงขิง กันได้ กล่าวคือมีความแรงพอจะกล่าวว่าเป็นจริงเป็นจัง มีเจตนาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจริง มีสัมพันธภาพแบบหนึ่งเกิดขึ้นจริง หาใช่แค่จินตนาการหรือฝันกลางวันไปคนเดียวไม่
หากพิจารณา ข้อเท็จจริงทางใจ ดังที่กล่าวมา ก็ต้องบอกว่าไซเบอร์เซ็กซ์ชนิดไม่เลือกหน้าจัดเป็นความสำส่อน แต่มีน้ำหนักครึ่งเดียวของความสำส่อนทางกาย เนื่องจากยังไม่มีการถึงเนื้อถึงตัว
นี่เป็นทำนองเดียวกับกาเมสุมิจฉาจาร การถึงเนื้อถึงตัวจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสิน ว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจารหรือไม่ กล่าวคือแม้มีเจตนาลักลอบเป็นชู้กับภรรยาชาวบ้าน แต่ยังไม่มีการร่วมกันด้วยอวัยวะเพศชายและหญิง ก็ไม่นับว่าผิดศีลข้อ ๓ แบบขาดทะลุ เพราะยังทำกรรมไม่สำเร็จตามประสงค์ ให้ถือว่าด่างพร้อยเท่านั้น
จะอย่างไรก็ดี แม้จิตสำส่อนมีน้ำหนักเพียงครึ่งหนึ่งของกายสำส่อน ก็หาใช่จะไม่มีโทษเอาเสียเลย เพราะราคะและกามกิเลสเป็นสิ่งมีอาถรรพณ์ เมื่อหมกมุ่นหลากหลายแล้วจะทำให้มัวเมาพร่าเลือน เห็นความถูกต้องเป็นเรื่องตลก เห็นความสกปรกเป็นเรื่องธรรมดา พูดง่ายๆคือหากขาดกุศลปัจจัยอื่นๆ เช่น สติ การบุญ การตั้งใจมั่นงดเว้นความประพฤติผิดทางกายและวาจาต่อคนทั่วไปในโลกความจริง ฯลฯ ก็มีสิทธิ์ตัดสินใจผิดพลาดได้ทุกเรื่อง ไม่นับเฉพาะเรื่องทางเพศ
ยกตัวอย่างที่นักจิตวิทยากำลังถกกัน ก็คือความวิปริตทางเพศอันเกิดจากเสรีภาพไร้ขอบเขต เอาง่ายๆคือสมาชิกของไซเบอร์เซ็กซ์จะขอให้ได้สนุกเป็นหลัก เรื่องปลีกย่อยไม่คำนึง จึงไม่มีการถือสาหาความ หากฝ่ายหนึ่งจะโป้ปดมดเท็จ ชายอาจแกล้งเป็นหญิง หญิงอาจแกล้งเป็นชาย และฝ่ายหนึ่งอาจเขียนกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดจินตนาการสมจริง โดยที่ตนเองไม่ได้ลงมือแม้แต่น้อย
ทุกคนทราบดีว่าการกระตุ้นที่แรงพอจะทำให้เกิดความสนุกสะใจ แต่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือผลของการมุสาทางกาเมนั้น มีผลข้างเคียงเป็นของจริง คือความบิดเบี้ยวแห่งพฤติกรรมทางเพศ
ผู้ชายบางคนอยู่ดีไม่ว่าดี ปลอมตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งแค่แฝงๆในเว็บบอร์ดพูดคุยธรรมดาก็นับว่าเสี่ยงกับการเพิ่มดีกรีความเป็นแอบอยู่แล้ว แต่ถ้ายิ่งไปเล่นบทหญิงในไซเบอร์เซ็กซ์ คราวนี้ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ทางเพศจะถูกดัดแปลงไป กระทั่งอยากเป็นหญิง อยากรู้สัมผัสทางเพศแบบหญิงขึ้นมาจริงๆจังๆ
ฉะนั้นหากพิจารณาโทษอันเกิดจากการเข้าร่วมไซเบอร์เซ็กซ์แล้ว ก็ขอให้เปรียบเทียบกับการคบคนพาล หรือเข้าซ่องสุมกับพวกมักมากในกาม หรือสถานเบาก็ไปมีเอี่ยวกับชุมชนไร้เดียงสา ที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ต่อๆไปจะชวนกันประกอบกิจกรรมหนักเบาดีเลวเพียงใด ทุกเรื่องร้ายเป็นไปได้ทั้งนั้นในสังคมที่ขาดบัณฑิต และยินยอมพร้อมใจตามแรงขับของกิเลสดิบๆ
สรุปคือไซเบอร์เซ็กซ์จะมีแรงเหนี่ยวนำให้ทำผิดอย่างยากจะต้าน และแรงเหนี่ยวนำนั้นจะมาในรูปของใยแมงมุมบางๆที่ค่อยๆถักทอแบบไม่ให้ระคายสัมผัส ไม่ทันรู้ตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีคุณก็โดนมัดไว้แน่นหนาเกินแก้แล้ว ฉะนั้นคำแนะนำคืออย่าเสี่ยงเอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วเลยเป็นการดีที่สุดครับ เพราะคุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะต้องเผชิญกับเรื่องน่าติดใจแบบไหน ยั่วยวนให้หลงผิดวิปริตเพียงใด
ถาม ถ้าผมรักกับผู้หญิงทางอินเตอร์เน็ต เธออยู่ต่างประเทศ ไม่เคยพบตัวจริง เห็นเพียงรูปและวิดีโอ แต่ก็ตกลงร่วมกันว่าเป็นสามีภรรยา คือต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าเป็นของกันและกันแล้ว และสัญญาว่าจะไม่นอกใจ ตั้งใจแต่งงานกันจริงๆเมื่อเธอกลับมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กับทั้งประกาศกับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่สนิทให้รู้กันแล้ว อย่างนี้ถือว่าผมกับเธอเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแล้วหรือยัง? หากเธอไปมีอะไรกับชายอื่น โดยที่ชายคนนั้นรับรู้ว่าเธอแต่งงานด้วยวาจาแล้ว จะนับว่าชายคนนั้นผิดศีลขอกาเมสุมิจฉาจารหรือไม่ครับ?
ตอบ - เรื่องตกลงกันทางวาจาว่าเป็นสามีภรรยากันทั้งที่ไม่เคยเจอหน้านั้น มีมานานแล้วครับ แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นคงน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบอารมณ์วาบหวามรุนแรงพาไป ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของการมีโอกาสใกล้ชิดกันตามจริง คู่รักทางเน็ตเยอะแยะไป ที่ปักใจเชื่อแน่วแน่ว่าเป็นคู่แท้ เป็นสุขซาบซ่านเมื่อพูดคุยกัน ใกล้ชิดกันผ่านกิจกรรมทางเน็ตแล้วรู้สึกแนบแน่นเป็นจริงเป็นจังเสียยิ่งกว่านั่งตักคนตัวเป็นๆ
ถ้าว่ากันตามวิถีโลกแล้ว การแต่งงานที่สมบูรณ์แบบมักไม่ได้เกิดขึ้นจากการตกลงร่วมกันเฉพาะชายหญิงตามลำพัง ถ้ายังมีญาติผู้ใหญ่อยู่ ก็ต้องพาไปให้ดูตัว มีมิตรสหายร่วมรับรู้ มีกฎหมายรองรับการเป็นสามีภรรยา มิฉะนั้นให้ถือว่าเป็น แฟน ซึ่งปัจจุบันคำว่าแฟนก็อาจหมายถึงคนที่ทดลองอยู่ด้วยกันแบบพร้อมจะแยกทาง ไม่มีข้อผูกมัดชัดเจน
แค่เริ่มตกลงเป็น แฟน คือคบหาเป็นคนรักกันเฉยๆ ก็เท่ากับยินยอมเสียอิสรภาพส่วนตนให้แฟนแล้ว เช่น ตรวจสอบชีวิตประจำวันได้ เป็นที่คาดหมายว่าจะต้องซื่อสัตย์ ไม่ไปคบใครเปรอะ เป็นต้น ปัญหาที่มักสงสัยกันก็คือระดับการคบหาใกล้ชิดแค่ไหน จึงเรียกว่า หมดสิทธิ์ ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ถ้าขืนทำเป็นอันว่าต้องโทษกรรมคือกาเมสุมิจฉาจาร
ในสมัยหรือในท้องถิ่นที่บุรุษมีสิทธิ์เหนือสตรี เช่น สังคมทั่วไปอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้หลายคน เรื่องของศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารจะไปเน้นกันที่ฝ่ายหญิง กล่าวคือหากมีการจองตัวกันแม้ด้วยพวงมาลัยคล้องคอ ก็ให้ถือว่าเป็นการหมั้นหมาย เรือนร่างของหญิงนั้นเป็นของต้องห้ามไปแล้ว ไม่ว่าตัวหญิงเองทอดสะพานหรือชายอื่นมาร่วมอภิรมย์ทั้งรู้ว่าเป็นของต้องห้าม ก็ถือว่าทำบาปด้วยการก่อเรื่องบาดใจ คือละเมิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารทันที
แต่ในยุคสมัยหรือในท้องถิ่นที่ชายหญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน กายของคู่ครองนับเป็นวัตถุต้องห้ามทั้งสิ้น เมื่อตกลงปลงใจเป็นของกันแล้ว และประกาศให้ผู้อื่นทราบแล้ว ไม่ใช่สิทธิ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะละเมิดข้อห้าม ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นได้โดยพลการ
กรณีของคุณไม่ถือเอาพิธีและธรรมเนียมประเพณีเป็นตัวตั้ง แต่อาศัยกำลังใจของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก อาศัยกำลังใจในการทำข้อตกลงร่วมกันนั้น ภาวะสามีภรรยาย่อมเกิดขึ้นจริง ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ในกันและกันจริง เช่น พอใครถามแฟนคุณว่ายังโสดหรือแต่งงานแล้ว ความยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกับคุณย่อมทำให้ระลึกได้ว่าตนเองไม่โสด ไม่อิสระ มีเจ้าของแล้ว แต่งงานแล้ว หากเธอพูดว่ายังโสด ใจย่อมขัดแย้งกับตนเอง เพราะรู้ว่าไม่ตรงความจริง เป็นเรื่องโกหก เป็นคำมุสา
ทำนองเดียวกัน เมื่อชายใดจะขอร่วมอภิรมย์ ทางที่จะไม่รู้สึกผิดคือปฏิเสธ และชี้แจงว่าเธอหมดสิทธิ์ทำตามใจชอบแล้ว ไม่ใช่คนโสดแล้ว ถ้าเขายังฝืนทำก็เท่ากับผิดสองกระทง คือขืนใจและละเมิดศีลข้อ ๓ เต็มๆครับ
จะเห็นว่า การตกลงกันด้วยวาจา นั้น ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือผ่านอินเตอร์เน็ต ก็ล้วนเป็นกรรมผูกพันร่วมกัน ไม่ใช่ของเล่นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะละเมิดตามอำเภอใจ ภพหรือภาวะทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมายึดไว้ด้วยอำนาจความทะยานอยาก เช่น เมื่อสร้างภพสามีภรรยาขึ้นมาด้วยความปรารถนาครอบครองกัน ก็ต้องมีกติกาประจำภพสามีภรรยา ใครละเมิดกติกาก็ต้องอาศัยกำลังใจฝ่ายต่ำ ยังจิตให้มืดเป็นอกุศล เป็นการก่อบาปเวร ส่วนใครทำตามกติกายับยั้งชั่งใจได้เมื่อมีเรื่องยั่วให้ผิด ก็ต้องอาศัยกำลังใจฝ่ายสูง ยังจิตให้สว่างเป็นกุศล เป็นการทำบุญ
ที่มา //dungtrin.com