เหตุใดจึงเกิดเป็นหญิง-เป็นชาย ( Reason bring about born to be a man or women )
เหตุใดจึงเกิดเป็นหญิง-เป็นชาย
โดย ดังตฤณ

ความต่างระหว่างชายกับหญิง
ทุกคนทราบดีว่าหญิงชายต่างกัน แต่ถ้าถามว่าต่างกันอย่างไรล่ะ? คำตอบแรกที่คนส่วนใหญ่จะนึกออกคือหญิงมีอวัยวะเพศอย่างหนึ่ง ชายมีอวัยวะเพศอีกอย่างหนึ่ง และที่คนส่วนใหญ่ขึ้นใจกันอย่างนี้ เหตุผลก็ตรงตัว คือเพราะอวัยวะเพศถูกใช้เป็นเครื่องตัดสินว่าต้องเรียกหญิงหรือชายนับแต่ออกจากท้องแม่

ชาวโลกต่างให้ความสำคัญกับอวัยวะเพศ เอาอวัยวะเพศมาเป็นเกณฑ์แบ่งว่านั่นชายนี่หญิง แต่น้อยคนจะทราบว่า ทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะเพศหญิงก่อน แต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด

พูดให้ง่ายที่สุดคือ เมื่อกำเนิดเกิดกายนั้น ทุกคนเป็นหญิงเหมือนกันหมด! และถ้าถามนักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดอวัยวะเพศแบบชายจึงยื่นออกมา ก็จะได้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก ‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่ นี่คือคำตอบสุดท้ายจากวิทยาศาสตร์ และหมายความว่าถ้าไว้ใจวิทยาศาสตร์ ณ วันนี้ เราจำเป็นต้องสรุปว่าจุดเริ่มต้นอันเป็นที่สุดของสภาวะหญิงชายคือความบังเอิญ!

ความต่างกันระหว่างร่างกายของชายกับหญิงนั้น ใช่ว่าจะมีแต่จุดเด่นที่อวัยวะเพศส่วนเดียว แม้แต่ส่วนที่ทุกคนมองไม่เห็นอย่างเช่นสมองก็มีความต่าง! เรื่องความต่างระหว่างสมองของสองเพศนี้อยู่ในความสนใจของนักวิทยาศาสตร์มาหลายร้อยปีแล้ว กับทั้งยังคงต้องศึกษากันต่อไปเป็นร้อยๆปีเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีรายละเอียดใดบ้างที่บ่งชี้ว่านั่นคือสมองชาย นี่คือสมองหญิง ทั้งในแง่ของขนาด คุณภาพ และวิธีการทำงาน มีการแยกแยะเปรียบเทียบเป็นส่วนๆอย่างละเอียดเลยทีเดียว

ที่นักวิทยาศาสตร์สนใจความต่างระหว่างสมองหญิงกับชายก็เพราะเชื่อว่าถ้าเรารู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะสามารถควบคุมจุดด้อยและจุดเด่นระหว่างเพศได้ นี่เป็นความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งที่โน้มเอียงจะเชื่อว่าทุกความต่างกำเนิดขึ้นจากสมองก้อนเดียว

หากเอาตามมุมมองของชาวพุทธ จะเห็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้แบบรวบรัดเบ็ดเสร็จแล้ว นั่นคือ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ร่างกายเป็นเพียงปลายทาง ต้นทางอยู่ที่จิตซึ่งคิดก่อกรรม แม้ต่อไปวิทยาการจะบอกได้ว่ามันสมองของแต่ละเพศผิดแผกแตกต่างกันเพียงใดบ้าง นั่นก็เป็นการเห็นผลของกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น!



มาว่ากันตามประสบการณ์ที่พบเจอง่ายๆแบบชาวบ้าน ขอให้ลองดูตัวอย่างเฉพาะบางข้อสังเกตทางรูปธรรมอันเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น

๑) ร่างกายหญิงอ้อนแอ้นอรชรเหมือนหยดน้ำ ร่างกายชายแข็งแรงหนักแน่นเหมือนต้นไม้

๒) โดยธรรมชาติ หญิงจะลำบากในการเข้าห้องน้ำทุกวัน อย่างน้อยก็มากกว่าเพศชายที่ยืนปล่อยปัสสาวะตรงมุมปลอดตรงไหนก็ได้ ขอให้นึกถึงรถติดบนทางด่วน เราอาจเห็นชายใจไม่ต้องกล้ามากนักยืนเบียดกับปูนกั้นทาง ในขณะที่เราไม่รู้ความลับว่ามีหญิงจำนวนมากเพียงใด ยอมเบาะเปียกแต่ไม่ยอมเอาหน้าไปขายกลางถนน พูดง่ายๆชายทำไม่น่าแปลกและไม่มีใครใส่ใจสน แต่หญิงทำอาจถูกมองด้วยยิ้มเย้ยว่าหน้าด้านผิดปกติและเอาไปบอกต่อกันอีกนานทีเดียว

๓) โดยธรรมชาติ หญิงจะมีเรื่องชวนหงุดหงิดและน่าเบื่อหน่ายทุกเดือน มีเลือดไหล มีกลิ่นเหม็น มีความชื้นแฉะควรแก่การรำคาญเป็นยิ่งนัก ในขณะที่ฝ่ายชายแห้งสบายไปตลอดชีวิต

๔) โดยธรรมชาติ หญิงที่ปรารถนาจะเป็นหญิงสมบูรณ์แบบเหมือนถูกกำหนดมาให้เจ็บตัวสาหัส ทั้งภาระหนักขณะอุ้มท้องเป็นเวลายืดเยื้อยาวนานถึง ๙ เดือน และทั้งความเจ็บปวดสุดขีดขณะคลอดบุตร ในขณะที่ฝ่ายชายเหมือนไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากสนุกสนานขณะทำหน้าที่พ่อพันธุ์



เพียงข้อสังเกตข้างต้นก็คงทำให้ทุกคนยอมรับโดยดุษณีว่า หญิงเสียเปรียบชายในแง่ธรรมชาติทางกายอย่างแน่นอน และถ้าเราทราบว่าร่างกายมนุษย์ทั้งหลายคือวิบากที่เคยทำกรรมบางอย่างเป็นประจำในอดีตชาติ ก็ต้องสรุปว่ากรรมเก่าของหญิงนั้น ส่งผลให้เกิดภาวะไม่น่าพึงใจเท่าใดนัก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าพึงใจเมื่อเทียบกับความเป็นชาย

ผู้หญิงแม้สวยและทรงเสน่ห์ดึงดูดใจขนาดไหน หากถามเอาความรู้สึกจากใจแล้ว ส่วนใหญ่ก็พูดตรงกันเป็นเสียงเดียวว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย หรือแม้พวกที่เรียกร้องสิทธิสตรีนั้น ให้เอาหัวใจมาพูดแล้วอยากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ตอบอีกว่าอยากเป็นผู้ชาย พวกเธออาจได้สิทธิสตรีตามที่เรียกร้อง แต่จะไม่มีทางขจัดปมด้อยเกี่ยวกับความเสียเปรียบทางสรีระไปได้เลย เว้นแต่จะมีใจผิดเพศ อยากผ่าตัดแปลงเพศให้รู้แล้วรู้รอด

สิ่งที่ไม่น่าพึงใจย่อมเป็นวิบากของกรรมที่กระเดียดไปเข้าฝ่ายอกุศล ดังนั้นจึงควรสำรวจตามจริงที่เห็นด้วยตาเปล่าโดยทั่วไป ว่าถ้าเอาเกณฑ์กิเลสคือโลภ โกรธ หลงมาเป็นตัวตั้งแล้ว เหล่าสตรีน่าจะมีความโน้มเอียงในการแสดงกิเลสแตกต่างจากชายอย่างไร

๑) เกี่ยวกับความโลภ ชายหญิงอาจโลภอยากรวยมากพอกัน แต่ฝ่ายหญิงจะคิดเล็กคิดน้อยมากกว่า ขณะที่ชายจะมองเป้าใหญ่ไปเลย ดังที่เคยมีคนกล่าวติดตลกไว้ว่าผู้ชายพร้อมที่จะจ่ายสองเท่าเพื่อสิ่งที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ผู้หญิงเต็มใจจ่ายสำหรับสิ่งที่กำลังลดราคาครึ่งหนึ่ง แม้ว่าเธอไม่ได้ต้องการมัน

๒) เกี่ยวกับความโกรธ ชายหญิงอาจโกรธแรงขั้นลืมตัวลงมือฆ่าแกงได้เหมือนกัน แต่ฝ่ายหญิงจะมีปมด้อยอยากเอาชนะมากกว่า คือคิดรักษาหน้า รักษาทิฐิไว้ด้วยอาการผูกใจเจ็บแรง ดังที่คู่ชีวิตส่วนใหญ่คงเคยผ่านประสบการณ์ทำนองเดียวกันมา คือในทุกการโต้เถียง ผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดคำสุดท้ายเสมอ หากฝ่ายชายหาญจะพูดต่อจากนั้น นั่นหมายถึงการตั้งต้นโต้เถียงกันใหม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องงอนง้อขอคืนดี จะเป็นฝ่ายสนองรับ ไม่อยากเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อขอญาติดีก่อน

๓) เกี่ยวกับความหลงสำคัญผิด ฝ่ายหญิงจะยอมรับความจริงยากกว่าชาย เช่นว่าสังขารต้องโรยราเป็นธรรมดา ธรรมชาติประจำเพศของฝ่ายหญิงจะทำให้สำคัญว่าตนต้องสวย ตนต้องผมดำ ตนต้องเต่งตึงอยู่เสมอ ส่วนฝ่ายชายนั้นแม้กังวลเกี่ยวกับเรื่องหัวล้านบ้างก็ไม่ถึงขนาดกลัดกลุ้มจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ค่อยยอมเสียเงินแพงเกินเหตุเพื่อแลกกับการเอาผมดกดำคืนมา ในขณะที่ฝ่ายหญิงอาจยอมขายสมบัติทิ้งได้เพียงเพื่อแลกกับบางชิ้นส่วนที่เหี่ยวเฉาลงแล้ว



แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนมีกิเลสทำนองนี้เหมือนกันหมด แต่พูดคลุมๆไปโดยรวมถึงธรรมชาตินิสัยที่ฝังลึกอยู่ข้างใน สรุปได้ว่าในแง่โลภะ โทสะ โมหะนั้น วิสัยหญิงจะคิดมากหยุมหยิม ไม่อยากริเริ่มทำเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี รวมทั้งมีโอกาสเห็นผิดเป็นชอบด้วยอารมณ์ได้มากกว่าชาย มนุษย์เราจะเริ่มรู้ชัดถึงความต่างระหว่างชายกับหญิงต่อเมื่อแต่งงานอยู่กินกันฉันผัวเมีย ช่องว่างระหว่างเพศจะปรากฏขึ้นตั้งแต่ในมุ้งเลยทีเดียว



กรรมที่ทำหน้าที่กำหนดเพศ
ถ้าทุกคนยอมรับว่าวิสัยพื้นฐานของหญิงและชายเป็นดังที่กล่าวมาในหัวข้อก่อนจริง สิ่งที่น่าสนใจคือถ้าหญิงไม่ปรับปรุงพื้นฐานดังกล่าวให้ดีขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าคงจะต้องเป็นหญิงต่อไป ส่วนชายถ้าประพฤติตนย่อหย่อนลงจากวิสัยเดิม ก็มีแนวโน้มจะต้องเป็นหญิงเช่นกัน



ดังที่ทราบจากบทก่อน พระพุทธองค์ตรัสว่าเราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ด้วยกรรมที่เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะเลย พูดง่ายๆว่าต้องอาศัยกำลังบุญเป็นตัวนำมาสู่ภูมิมนุษย์ การทำบุญแต่ละครั้งนั้นคิดง่ายๆก็คือการพยายามสลัดโลภะ โทสะ โมหะทิ้งจากใจนั่นเอง

แต่การทำบุญก็อาศัยกำลังใจแตกต่างกัน หากใครมีประสบการณ์ทำบุญตามงานสาธารณะบ่อยๆ จะพบความหลากหลายของผู้คนที่มาทำบุญ เหมือนแต่ละคนมีแนวทางเฉพาะตัว ซึ่งถ้าถามว่าขณะให้ทานจะมีลักษณะใดในคนเราที่ผิดแผกกันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนใหญ่คงตอบว่ากิริยาท่าที ความมีหน้าใหญ่ให้มาก ความมีหน้าเล็กให้น้อย ทำทั้งยิ้มแย้ม ทำทั้งบูดบึ้ง มีความอ่อนน้อม มีความกระด้าง ออกอาการก้มหน้ากระมิดกระเมี้ยน ออกอาการอกผายไหล่ผึ่งอาจหาญ ทำอย่างเชื่องช้าซังกะตาย ทำอย่างรีบเร่งกระตือรือร้น ฯลฯ เหล่านี้คือกิริยาที่ทุกคนคุ้นตา และถ้าจะเดาหลายคนก็คงเดาว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่าเหล่านี้เอง จะจำแนกผลบุญออกเป็นต่างๆ

ความจริงอาการทางกายไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าใดเลย ‘อาการทางใจ’ และ ‘วิธีคิด’ ต่างหากที่มีความหมาย และมีอิทธิพลกำหนดผลกรรมใหญ่กว่าอาการทางกายมากมายนัก จำแนกได้ต่างๆดังนี้

๑) อาการทางใจ ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะหนักแน่น ศรัทธาแน่วแน่ในบุญที่ตัดสินใจทำแล้ว ไม่หวั่นไหวโลเลกลับไปกลับมา ที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะมัวมนขาดสมาธิ มีศรัทธาที่คลอนแคลนในบุญที่ตัดสินใจทำแล้ว อาจกลับกลอกโลเล เดี๋ยวอยากทำ เดี๋ยวไม่อยากทำ เดี๋ยวจะอยากให้มาก เดี๋ยวอยากให้น้อย เป็นต้น

๒) วิธีคิด ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะคิดริเริ่มทำบุญด้วยตนเองไม่รอให้คนอื่นชักชวนก่อน กับทั้งไม่คิดเล็กคิดน้อยหยุมหยิม ที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะต้องรอเป็นฝ่ายถูกชักชวนจึงค่อยตามไปทำ กับทั้งคิดเล็กคิดน้อยได้สารพัดเรื่อง

ร่างปัจจุบันจะเป็นชายหรือเป็นหญิงไม่สำคัญ ทุกคนมีสิทธิ์เกิดอาการทางใจและวิธีคิดที่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับเพศตนเสมอ ผลรวมจะเป็นกำลังบุญระดับหนึ่งที่ทำให้ ‘รู้สึก’ สัมผัสได้ ขอให้ลองสังเกตดูตามจริงเถอะว่าคนที่มีอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างชายเป็นประจำนั้น จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในภายในเยี่ยงบุรุษเพศ ส่วนคนที่มีอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างหญิงเป็นประจำนั้นเป็นตรงข้าม จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความปวกเปียกในภายในเยี่ยงสตรีเพศไป

คราวนี้มาถึงประเด็นสำคัญ วิธีคิดทำบุญเป็นอย่างไร วิธีคิดเรื่องทั่วไปก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น กล่าวคือถ้าใจคอหนักแน่นในการบุญ ก็จะมีใจคอหนักแน่น มีเหตุมีผล ไม่หวั่นไหวโอนเอนกลับไปกลับมาง่ายๆ จิตวิญญาณจะค่อยๆสั่งสมธาตุของความเป็นชายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหญิงจะเป็นตรงกันข้าม ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า กำลังของบุญที่หนักแน่นแบบชาย จะมีวิบากให้ได้ครองรูปชาย กำลังบุญที่ปวกเปียกแบบหญิง จะมีวิบากให้ได้ครองรูปหญิง



อย่างไรก็ตาม การชั่งน้ำหนักกรรมเพื่อเลือกเพศเป็นเรื่องซับซ้อน ไม่ได้มีการทำทานเพียงแง่เดียวที่ตัดสินได้ เรายังต้องเอาความประพฤติอันเกี่ยวเนื่องกับกามารมณ์มาเป็นเกณฑ์ชี้ชะตาด้วย

ตามหลักธรรมชาตินั้น รูปหญิงกับรูปชายเมื่อเข้าใกล้กันจะมีพลังดึงดูดเข้าหากัน ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกรรมสัมพันธ์เก่าแก่แต่ชาติปางก่อนมาช่วย ขอเพียงมีรูปชายกับรูปหญิงก็มีทวารให้สามารถนำมาประกบประกอบกามกิจกันในทางใดทางหนึ่งได้หมด

การมีเพศสัมพันธ์เป็นของน่าบาดใจ รู้ด้วยสัญชาตญาณโดยไม่ต้องให้ใครบอก เพราะเป็นวิถีทางแห่งการครอบครอง หรือถึงยอดแห่งรสสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ โดยธรรมชาติจะมีใครเพียงคนหนึ่งคนเดียวที่มีสิทธิ์ได้เสพรสดังกล่าว และใครคนนั้นก็เป็นผู้ที่ตกลงเป็นคู่ครองกัน

เงื่อนไขง่ายๆเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นของเกม ธรรมชาติอนุญาตให้มีกิจกรรมบาดใจกับคู่ครองที่ตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากเกินกว่านั้นจะเกิดภาวะ ‘ไม่ปกติ’ ขึ้นมาทันที สัญญาณเตือนแรกคือความรู้สึกผิดรุนแรง สัญญาณเตือนที่สองเมื่อฝืนทำไประยะหนึ่งไม่เลิกได้แก่ความรู้สึกมืดมนและการมองโลกในแง่ร้าย สัญญาณเตือนที่สามเมื่อยังขืนทำอยู่อีกได้แก่ความรู้สึกชาด้านและเหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีน้อยลงทุกที ตรงนั้นอันตรายยิ่งแล้ว เพราะเมื่อทำบาปโดยปราศจากความละอาย ก็ย่อมก่อบาปได้ทุกชนิดโดยไม่รู้สึกว่าเป็นบาป เงาดำของกรรมจะห่อหุ้มจิตวิญญาณหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้แม้ด้วยตาเปล่า คือสีหน้าผู้ชุ่มด้วยบาปจะคล้ำหมองหาสง่าราศีไม่ได้เลย

นั่นเป็นเรื่องของคนที่แพ้เกมกาม หลุดร่วงจากความเป็นมนุษย์ไปแล้วเกินครึ่งตัว สำหรับวิญญาณที่มีศักยภาพพอจะเป็นมนุษย์ได้นั้น ต้องมีความละอายต่อบาป ไม่ละเมิดกฎธรรมชาติ ไม่ก่อกิจกรรมบาดใจกับผู้อื่นที่มิใช่คู่ครอง แม้ว่าจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดระหว่างรูปชายกับรูปหญิงเหมือนๆกับคนอื่น ก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ฝืนข่มใจได้ และเลือกตัดสินใจที่จะไม่เอาบาปมาใส่ตัวได้

แม้เมื่อเลือกที่จะไม่ก่อกรรมทางกาเมแล้ว เรื่องก็ยังไม่ถึงที่สุด เพราะ ‘อาการทางใจ’ กับ ‘วิธีคิด’ ในการรักษาศีลข้อนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์สมควรจะได้เป็นชายหรือเป็นหญิง จำแนกได้ดังนี้

๑) อาการทางใจ ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะมีความมั่นคงเด็ดเดี่ยว ต่อให้อยากจนมันจุกอกแทบตายอย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ ส่วนที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะปล่อยใจให้เกิดความวาบหวาม มีความโอนอ่อนไปหากามารมณ์นอกขอบเขตได้เรื่อยๆ

๒) วิธีคิด ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะไม่มีความคิดแส่ส่าย ไม่ตรึกนึกด้วยความอยากลองของแปลกใหม่ ไม่พยายามพาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ส่วนที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะมีความคิดแส่สาย อยากลองของแปลกใหม่ คิดชั่งใจกับสถานการณ์ล่อแหลมอยู่เรื่อยๆ



ขอย้ำว่าอาการทางใจและวิธีคิดข้างต้นนี้ ยังไม่เกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย เพราะถ้าเกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย โดยเฉพาะพวกที่ปล่อยตัวปล่อยใจบ่อยๆจนขาดความละอาย จะไม่มีสิทธิ์แม้มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ



แถมเกี่ยวกับเรื่องวิธีคิดนิดหนึ่ง คือผู้หญิงบางคนอยู่กินกับชายดีๆแล้วคิดอยากติดตามสามีของตนไปทุกภพทุกชาติ อันนี้ก็มีสิทธิ์ทำให้เกิดเป็นหญิงไปเรื่อยๆได้เหมือนกัน เพราะความชอบใจและแรงอธิษฐานอันมีพลังหนุนจากความซื่อสัตย์ในสามีคนเดียวนั้น ย่อมส่งผลหนักแน่นตามปรารถนา หญิงที่รักษาศีลข้อกาเมฯได้บริสุทธิ์ พิสูจน์ตัวโดยการไม่ประพฤติผิดแม้มีสถานการณ์ยั่วยุปานใด ย่อมเป็นผู้ไม่มีเวรภัยในเรื่องทางเพศ ไม่เป็นผู้สับสนในการเลือกคู่ และจะเป็นอิสตรีที่มีเกียรติ คนเห็นแล้วคร้ามเกรง ไม่คิดดูถูก ไม่เห็นเป็นผู้น่ารังแกได้ตามใจชอบ

จากกรณีสมัครใจเป็นหญิงนี้คงพอทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วเป็นหญิงหรือเป็นชายใช่ว่าหมายถึงผิดหรือถูก เหนือกว่าหรือด้อยกว่าเสมอไป ภพหรือสภาวะนั้นเริ่มจากความคิด ใครติดอยู่กับภาวะแบบไหนก็โน้มเอียงที่จะไหลเข้าไปรวมกับภาวะแบบนั้นไปเรื่อยๆ โดยมีทานและศีลเป็นเครื่องแบ่งชั้นวรรณะว่าใครจะได้สุขสมตามปรารถนามากกว่ากัน



ผลของความด่างพร้อยและขาดทะลุของศีลข้อกาเมฯ
กาเมสุมิจฉาจาร หรือการประพฤติผิดในกามนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสจะมุ่งเอาการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่มารดาบิดารักษา หญิงที่พี่ชายพี่สาวรักษา หญิงที่ญาติรักษา หญิงที่ยังมีสามี หญิงที่ถูกซื้อตัวไว้ และหญิงที่ถูกจองตัวไว้แล้วด้วยเคริ่องหมั้นหมายเช่นแก้วแหวนหรือแม้ด้วยพวงมาลัยตามประเพณีท้องถิ่น

มักมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเสมอว่าอย่างไรเรียกว่าศีลด่างพร้อย อย่างไรเรียกว่าศีลขาดทะลุ ถ้าเจ้าของเขาไม่รู้จะมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำไหม? เผลอทำแบบตกกระไดพลอยโจนโดยไม่เจตนาไว้แต่แรกถือว่าใช่ไหม? แค่ทำอะไรภายนอกเข้าข่ายไหม? ดูหนังโป๊เป็นบาปไหม? ฯลฯ

ขอให้ใช้เกณฑ์คือความละอายต่อบาปเป็นเครื่องชี้ อวัยวะที่เกี่ยวข้องทางเพศนั้น ความจริงเริ่มนับเอาตั้งแต่เนื้อหนังทีเดียว พูดง่ายๆว่าทุกตารางนิ้วมีผล หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกันโดยธรรมชาติ เว้นแต่จะเป็นเจ้าของกันและกัน หรือผู้เป็นเจ้าของยินยอมโดยดี

ลองสังเกตสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกสัมผัสนั้นล้วนต้องห้ามไปหมด หากแตะต้องบุคคลมีเจ้าของด้วยความกำหนัด ไม่ว่าจะอย่างไรก็เรียกว่าประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น ส่วนจะเข้าขั้นด่างพร้อยหรือขาดทะลุก็ขึ้นอยู่กับระดับความต้องห้ามของอวัยวะนั้นๆ

ขอแสดงเกณฑ์คร่าวๆไว้เป็นประมาณ วัดเอาจากการใช้กำลังใจของคนทั่วไปในการทำผิดทางกามดังนี้

๑) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 10% (คือรู้อยู่แก่ใจว่าเขาหอมด้วยความพิศวาสก็ยอมด้วยเงื่อนไขบางอย่าง ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากเอออวย)

๒) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 20%

๓) จูบปาก ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 50% (บางท้องถิ่นจูบปากกันแผ่วๆเพื่อกระชับสัมพันธ์ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยินดีทางเพศเลยจะไม่นับเข้าข่ายเลยเช่นกัน)

๔) จูบปาก ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ ถือว่าหวิดๆจะขาดทะลุมาได้ 80% (มีฝรั่งเคยเปรียบเทียบไว้ว่าจูบปากคือการเคาะประตูบนเพื่อถามว่าประตูล่างพร้อมหรือยัง)

๕) เปลือยกายกอดจูบลูบไล้ตลอดจนหลั่งภายนอก ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ ก็ฉิวเฉียดขาดทะลุมาได้เกิน 90% (บางคนรู้สึกว่าถ้าเพียงทำโอษฐกามยังไม่ผิดเต็มประตู เพราะไม่ใช่เครื่องเพศทั้งสองฝ่าย ความรู้สึกจึงยังไม่เต็มร้อย ซึ่งก็ใช่ตามธรรมชาติ แต่พิจารณาด้วยว่าถ้าพระให้หญิงอื่นทำ ตามวินัยสงฆ์จะต้องถูกสึกสถานเดียว ซึ่งก็แปลว่าโทษพอๆกับร่วมเพศแล้วเต็มที่)

๖) อวัยวะเพศเข้าถึงกัน ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ ก็จัดว่าศีลข้อกาเมฯขาดทะลุแล้ว 100% (เว้นแต่จะเป็นการข่มขืนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายถูกข่มขืนไม่มีความยินดีอยู่เลยตลอดการร่วม)



พระพุทธเจ้ามักตรัสถึงผลของการประพฤติผิดในกาม (คือนับตั้งแต่ข้อแรกเป็นต้นมา) ว่าจะทำให้เป็นผู้ประสบภัยเวร ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับแง่มุมของศีลข้อหนึ่งๆ เช่นตรัสว่า บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม ย่อมประสบภัยเวรในชาตินี้บ้าง ในชาติหน้าบ้าง ย่อมโทมนัสบ้าง ภัยเวรในที่นี้ย่อมเกี่ยวกับเรื่องทางเพศนั่นเอง ความอยู่ไม่สุข ความวิปริตผิดเพศทั้งหลาย โดยมากมักไหลมาจากเหตุคือทำกรรมว่าด้วยการประพฤติผิดในกามนี่แหละ แต่โทษานุโทษจะหนักเบา จะถูกร้อยรัดแน่นหนาแกะไม่ออกเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระดับของการขาดความยับยั้งชั่งใจ

ขอให้ดูตามจริง ผู้ลักลอบคบชู้มักมีอาการหมกมุ่นครุ่นคิด อัดอั้นตันใจ ไม่อิ่มไม่พอ อยากเลิกก็อยากเลิก อยากเสพต่อก็อยากเสพต่อ สองจิตสองใจแล้วๆเล่าๆอยู่อย่างนั้น นี่เรียกว่าเสวยทุกข์ มีความโทมนัส เป็นวิบากในชาติปัจจุบันเห็นทันตา

ส่วนการประสบเวรภัยนั้น วันหนึ่งอาจเผลอลักลอบมีชู้ในจังหวะที่เจ้าของเขากลับมา แบบที่เรียกว่าจับได้คาหนังคาเขา ซึ่งเจ้าของก็จะบันดาลโทสะ ก่อให้เกิดการทำร้ายหรือการเข่นฆ่ากันดังที่เห็นข่าวเป็นประจำ พวกลักลอบเป็นชู้กันประจำมักไม่ค่อยรอด ทั้งที่นึกว่าหลบๆซ่อนๆกันรอบคอบเพียงใด ข่าวสารอาจเดินทางไกลในชั่วพริบตาได้ นี่เป็นวิบากในปัจจุบันเช่นกัน

และเรื่องของหญิงชายนั้น แม้อยู่กินกันอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ยังมีปากเสียงกันได้เรื่อยๆตามธรรมชาติของช่องว่างระหว่างเพศ แต่นี่ลักลอบได้เสียกันอย่างผิดๆ แน่นอนเมื่อโมโหโกรธามีปากเสียงขึ้นมาย่อมทำให้เกลียดชัง คิดจองเวรกันได้หนักกว่าปกติ เพราะพื้นฐานจะมองกันและกันในทางต่ำ จึงขาดความเคารพ ขาดความรู้สึกอยากให้เกียรติกันอยู่แล้ว

การคบชู้กันอาจก่อให้เกิดสายใยผูกพัน เพราะร่วมทำผิดมาด้วยกัน พอเจอกันในชาติใหม่ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็มักมีความกระสันใคร่อยากในทันทีที่เห็นกัน แต่มักมีอาการขนลุกระคนอยู่ด้วย เพราะบาปเก่ามาเตือนว่าสัมพันธ์ระหว่างกันมีความดึงดูดเข้าหาเรื่องสกปรก อีกอย่างหนึ่งเวลาที่เจอกันมักอยู่ในจังหวะเวลาผิดๆ หรือมีเหตุการณ์ไม่ดีเป็นลางร้าย เมื่อทนความกำหนัดไม่ไหวแล้วสมสู่กัน ก็จะมีเหตุให้ต้องทะเลาะเบาะแว้ง มีเหตุให้เกลียดชังกันอย่างรุนแรง หรือกระทั่งอยากฆ่าแกงกันด้วยความทนไม่ได้

ตัวอย่างของการเคยร่วมผิดประเวณีกันมา ที่ชัดหน่อยได้แก่ฝ่ายชายกลายเป็นหญิง มาเจอคู่บาปเก่าที่ก็ยังคงเป็นหญิงอยู่ พบกันแล้วมีแรงดึงดูดให้พิศวาสกัน เกิดความใคร่อยากทันที กลายเป็นพวกหญิงรักหญิงชนิดจริงจัง รู้ทั้งรู้ว่าฝืนธรรมชาติ อยู่กันไปอยู่กันมาในที่สุดแรงกรรมเก่าย่อมผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้คิดตีจากไปมีใหม่ และเมื่อนั้นเรื่องน่าเศร้าย่อมเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ



ความละอายต่อบาปมีมากน้อยเพียงใด ยังเป็นตัวกำหนดชี้ระดับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย ประเด็นนี้เริ่มต้นจากกฎทางใจของมนุษย์ที่ว่าถ้าทำบาปก็สมควรจะเกิดความละอาย เพราะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีความละอายต่อบาปเป็นพื้นฐาน ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๒

ฉะนั้นนักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ก็สมควรได้รับผลสะท้อนของความไม่ละอายเลยเป็นความน่าอับอายถึงขีดสุด นั่นคือชาติต่อไปหากได้รูปกายเป็นชายก็จะมีใจเป็นกะเทยตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่มาชอบใจเป็นกะเทยด้วยกรรมใหม่เช่นแกล้งทำกระตุ้งกระติ้งจนติด

สำหรับพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง ขอให้สังเกตว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ออกแนวทอมบอยจะชอบหว่านเสน่ห์เล่นไปทั่ว นี่ก็เป็นนิสัยเก่าที่เคยเจ้าชู้มามากนั่นเอง แต่ชาติที่รับผลกรรมนั้นมักเป็นอยู่ด้วยความไม่พอใจในเพศตน และรู้สึกว่าตนถูกเอาเปรียบทางเพศอย่างน่าโมโหเสมอ

ส่วนที่มักเป็นประเด็นถามไถ่กันเสมอๆในหมู่ชาวพุทธที่เริ่มถือศีล ๕ คือดูรูปโป๊หรือหนังโป๊ผิดศีลหรือไม่? อันนี้ถ้าจับหลักได้ว่ากาเมสุมิจฉาจารนับเอาการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้มีเจ้าของเป็นสำคัญ ก็ต้องมองตามจริงว่าการเสพแค่ทางตานั้นไม่ผิด เพราะยังไม่ได้สมสู่ในหญิงผู้มีเจ้าของรักษา แต่ความหมกมุ่นในกามจนเกินเหตุย่อมทำให้สภาพวิญญาณเหมือนจมอยู่ในบ่อน้ำกามชุ่มโชก และความหมกมุ่นในรูปสตรีจะทำให้จิตเคลื่อนไปอยู่ในภพของสตรีได้ เนื่องจากการมีราคะจัดเป็นตัวบั่นทอนกำลังกุศล ทำให้จิตวิญญาณปวกเปียก อีกอย่างสื่อลามกในปัจจุบันก็มีหลายประเภทหลายระดับความรุนแรง ดังที่เป็นข่าวน่ากลัดกลุ้มของผู้ปกครองเวลานี้คือมีเกมยั่วยุขนาดปลุกปั่นให้เด็กกลายเป็นอาชญากรทางเพศ มีเกมวางแผนข่มขืนผู้หญิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอนเสพเข้าไปอาจจะยังไม่เข้าข่ายผิดศีล แต่ได้กระตุ้นให้เกิดแนวโน้มที่จะก่อการร้ายยิ่งกว่าผิดศีลธรรมดาเป็นไหนๆในอนาคต



ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจำไว้ง่ายๆเพียงว่าเมื่อประพฤติผิดทางเพศ ย่อมมีแรงเหวี่ยงกลับมาเป็นเรื่องราวผิดๆทางเพศ และจะออกไปในทางภัยเวรรูปแบบต่างๆ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็น ‘คู่เวร’ ที่แรกพบสบตาแล้วหวือหวาอยากกระทำการอันเป็นไปในทางด่วนได้ แล้วประสบอันตรายจากการอยู่ร่วมกันในภายหลัง หรืออย่างเบาที่สุดก็คือทำให้ตกที่นั่งเสียเปรียบทางเพศ ซึ่งก็คือการได้รูปหญิงอันง่ายต่อการถูกรังแกนั่นเอง

ที่มา //dungtrin.com/whatapity/04.htm



Create Date : 22 เมษายน 2551
Last Update : 30 ธันวาคม 2553 19:47:38 น.
Counter : 987 Pageviews.

2 comments
การหา เติมความมี ปัญญา Dh
(16 เม.ย. 2567 18:08:16 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
อยาก อยากได้ กฎที่ถูกที่ดี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 05:37:27 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 33 : กะว่าก๋า
(11 เม.ย. 2567 05:15:42 น.)
  
โดย: โสมรัศมี วันที่: 22 เมษายน 2551 เวลา:17:41:32 น.
  


อ้าวแม่โสมก็มาอ่าน

ขอบคุณ จขบ.ค่ะ

ตามอ่านประวัติพระพุทธเจ้าอยู่
โดย: วาฬอันดามัน IP: 125.24.77.5 วันที่: 28 เมษายน 2551 เวลา:14:10:06 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Neothailand.BlogGang.com

Mr.Terran
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]