เปิดบันทึกลับ กับพระพักตร์ที่แท้ของพระเยซู



หนังสือโลหะที่มีการขึ้นรูปอย่างสวยงาม


พระเยซูบุรุษที่สำคัญที่สุดท่านหนึ่งของโลก บุตรของพระเจ้าผู้ไถ่บาปเพื่อมวลมนุษย์ ว่ากันว่า ภาพของพระองค์มีมากมายหลายล้านทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น รูปแกะสลัก ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าทุกภาพนั้นมาจากจินตนาการของศิลปินล้วน ๆ แต่องค์พระเยซูที่แท้ มีพระพักตร์เป็นอย่างไรกัน เราจะพาท่านไปพบกับข้อมูลใหม่ล่าสุด กับหนังสือโบราณที่เคยถูกซ่อนไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งที่จอร์แดนมาตั้งแต่ 2 สหัสวรรษก่อน หนังสือที่นักโบราณคดีหลายคนบอกว่า ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าปกนั้นคือ The first portrait of Jesus หรือ ภาพเหมือนภาพแรกของพระเยซู

ผู้ครอบครองหนังสือโบราณอันเป็นที่ฮือฮานี้คือ หนุ่มเชื้อสายเบดูอิน นามว่า ฮัสซัน ไซดา (Hassan Saida) ไซดาซึ่งมีบ้านเรือนเป็นหลักแหล่งในอิสราเอล อ้างว่าเป็นเจ้าของหนังสือเก่าแก่หลายเล่ม หนังสือเหล่านี้สร้างขึ้นจากโลหะหลากหลายขนาด ตั้งแต่ที่เล็กกว่า 2×3 นิ้ว ไปจนถึงขนาดใหญ่ 8×10 นิ้ว แต่ละเล่มมีเนื้อหาไม่มากนัก คือมีเพียงประมาณ 8-9 หน้า ผลิตด้วยกรรมวิธีการหล่อโลหะ ทำให้เกิดภาพจากการหล่อแบบพิมพ์ทั้ง 2 ด้าน

อันที่จริง หากดึงโลหะเหล่านี้ออกมาเป็นแผ่น ๆ ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจารึก หรือแผ่นโลหะเขียนข้อความ แต่ที่เราต้องเรียกว่าหนังสือก็เพราะโลหะเหล่านี้ถูกจัดรวมเป็นเล่ม แต่ละแผ่นถูกเจาะรู และร้อยกันไว้ด้วยห่วงที่ทำจากตะกั่ว จนเกิดเป็นลักษณะรูปเล่มคล้ายหนังสือ ซึ่งถึงขณะนี้หนังสือโลหะหลายเล่มเกิดสนิมกินจนอยู่ในสภาพที่น่าจะเรียกได้ ว่าเสียหายหนัก แต่รวมๆแล้ว ก็ยังพอจะมองออกว่าส่วนใหญ่เป็นหนังสือภาพ มีตัวอักษรไม่มากนัก



ส่วนหนังสือเล่มที่สำคัญที่สุด เป็นหนังสือขนาดเล็ก แค่ 2-3 นิ้ว ทำจากตะกั่ว น่าจะสร้างมาได้ประมาณ 2,000 ปีแล้ว สิ่งที่ทำให้ตื่นตะลึงกันมากคือ หน้าปกของหนังสือเก่าเล่มนี้ ซึ่งเป็นภาพของใบหน้าผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้มีหลายคนปักใจเชื่อว่า นี่แหละภาพพระเยซูเจ้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง  ภาพนี้จะเป็นภาพเหมือนภาพแรกของพระเยซู  ภาพพระพักตร์ที่แท้จริงซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน!!!

ทำไมถึงมีคนเชื่อว่านี่คือภาพพระเยซู นั่นก็เพราะหากดูจากเวลาในการผลิตหนังสือเล่มนี้ บวกกับหลักฐานอื่น ๆ ที่จะเผยให้ท่านผู้อ่านได้ทราบทีละข้อสองข้อ ก็ทำให้น่าจะพอคาดเดาได้ว่า คนที่ผลิตหนังสือเล่มนี้อยู่ร่วมสมัยกับพระองค์ และน่าจะเคยได้เห็นพระองค์จริงของพระเยซูมาก่อน หลักฐานที่ว่าเด็ดที่สุด คือสิ่งที่เราเห็นได้ในภาพนี้ ซึ่งแม้กาลเวลาที่ผ่านมานานจะทำให้เห็นไม่ชัดนัก  แต่ก็พอจะเห็นเค้าโครงใบหน้าของชายผู้สวมมงกุฎหนาม ก็ใครกันล่ะที่เป็นผู้ชายจาก 2 สหัสวรรษก่อน แล้วสวมมงกุฎหนาม!

ไซดา เจ้าของผู้ครอบครองของสำคัญนี้บอกว่า เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นปู่ อยู่กับครอบครัวของเขานานานนับร้อยปีแล้ว แต่ถึงแม้ไซดาจะยืนยันแบบนี้ก็ไม่ค่อยจะมีใครเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ได้มีการเปิดเผยว่า มีการค้นพบหนังสือเก่าแก่เหล่านี้ที่หมู่บ้านซาแฮม (Saham) ในจอร์แดน เมื่อราว ๆ 5 ปีก่อนที่ผ่านมานี่เอง


การค้นพบหนังสืออันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ ก็เป็นเพราะโชคช่วย บวกกับความช่างสังเกต คือในตอนที่นํ้าลดหลังจากท่วมมาระยะหนึ่ง ดินโคลนในย่านภูเขาแถบนั้นก็หลุดล่อนออกไป จนมีคนเห็นว่า ที่หน้าผาแห่งหนึ่งมีลักษณะเหมือนถํ้า แต่มีหินก้อนใหญ่ปิดอยู่ พอช่วยกันผลักก้อนหินออกไป ก็พบว่าในนั้นเป็นถํ้าที่เต็มไปด้วยซอกหลืบเล็กๆมากมาย และในหลืบเหล่านี้นี่เอง ที่หนังสือเก่าแก่ประมาณ 70 เล่ม ถูกวางเอาไว้รวมกับสิ่งของอื่น ๆ เช่น แผ่นโลหะ แผ่นตะกั่วที่มีลักษณะเป็นม้วนกลมๆ

อันว่าหมู่บ้านซาแฮมแห่งนี้ เป็นเขตอพยพของชาวยิวโบราณที่ต่อสู้กับจักรวรรดิโรมันในช่วง ค.ศ.1-2 ยุคนั้นเป็นยุคที่ดินแดนแถบนี้เคยได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และหนังสือที่สร้างขึ้นนี้ หลายเล่มก็ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบที่น่าจะตีความได้ว่า เป็น “หนังสือศักดิ์สิทธิ์” ด้วยเช่นกัน เพราะมีลักษณะเป็น “หนังสือปิด” นั่นคือมีห่วงร้อยอยู่ทั้ง 4 ด้าน ทำให้เชื่อกันว่า หนังสือเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อ “ไม่ให้ใครเปิดอ่าน” ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เหตุผลที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ เนื้อหาในหนังสือไม่ได้มีไว้เพื่อการอ่าน แต่เป็นถ้อยคำ หรือตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้สร้างคงจะอยากจารึกไว้เพื่อการบูชา และไม่ควรจะเปิดออกมาอ่านกันเล่น ๆ


หนังสือที่มีเค้าโครงใบหน้าของชายหนุ่มปริศนาก็เป็นหนึ่งใน “หนังสือปิด” เหล่านี้ ดังนั้นจึงมีการตีความว่าหนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ด้วย ซึ่งก็เป็นการยืนยันยํ้าอีกทีว่า ชายในแผ่นโลหะหล่อนี้ต้องเป็นคนสำคัญที่ไม่ธรรมดา ไม่งั้นจะมาเป็นปกหนังสือศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงกัน

อย่างไรก็ตาม ที่มาของหนังสือเหล่านี้ยังถือว่าค่อนข้างคลุมเครือ จู่ ๆ ก็โผล่มาจากซอกหลืบของประวัติศาสตร์ซะอย่างนั้น ก็เลยมีคนไม่เชื่อถืออยู่บ้าง แต่คนที่สนับสนุนก็มีเหมือนกัน เช่น มาร์กาเร็ต บาร์เกอร์ (Margaret Barker) อดีตประธานชมรมศึกษาพระคัมภีร์เก่า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคริสต์ศาสนาในยุคต้น บาร์เกอร์บอกว่า การที่หนังสือมีภาพใบหน้าบุคคล ทำให้เราสามารถตัดความคิดที่ว่า นี่เป็นหนังสือของพวกยิวออกไปได้เลย เพราะชนเผ่ายิวโบราณนั้น ห้ามการวาด หรือการผลิตภาพเหมือน และหากมีการพิสูจน์ว่า หนังสือเหล่านี้เป็นของเก่าแก่แท้ๆ ก็น่าจะเป็นหนังสือที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยกลุ่ม  Messianic jewish กลุ่มยิวที่นับถือพระเยซู และเป็นพันธมิตรสำคัญกับโบสถ์คริสต์ในยุคต้นๆ จึงทำให้น่าจะเชื่อได้ว่านี่คือภาพของพระเยซูที่ชาวยิวกลุ่มนี้สร้างขึ้น เพื่อการเคารพบูชา นอกจากนั้น ในบรรดาหนังสือที่พบนี้ บางเล่มยังมีรูปหล่อในลักษณะเป็นภาพไม้กางเขน จึงน่าจะเป็นสมบัติของชาวคริสต์ค่อนข้างแน่

เมื่อมีคนสนับสนุนก็มีคนไม่เห็นด้วย โรเบิร์ต ฟีเธอร์ (Robert Feather) ผู้เขียนหนังสือ Mystery  of The  Copper Scroll of Qumran บอกว่า ลักษณะการผลิตของหนังสือพวกนี้ น่าจะมาจากช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2 อันเป็นยุคหลังพระเยซูนานกว่าร้อยปี จึงไม่น่าจะสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า ผู้หล่อหนังสือนี้ “เคย” เห็นองค์จริงของพระเยซูมาก่อน

ด้านกระทาชายนายไซดานั้น ก็ทำให้นักโบราณคดีไม่สบายใจมาก  เพราะแม้ไซดาจะเป็นเจ้าของหนังสือล้ำค่าหลายเล่ม แต่ก็ไม่ได้ดูแลรักษาอย่างถูกต้อง และยังไม่มีนักโบราณคดีคนไหนได้ศึกษาหนังสือเหล่านี้อย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว  แม้ว่าไซดาจะเคยประสานงานไปที่ผู้เชี่ยวชาญในลอนดอนให้ช่วยตรวจสอบ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ เพราะแหล่งที่มาอันไม่ชัดเจน ทำให้นักโบราณคดีเก่งๆ หลายคนไม่อยากเอาตัวมาพัวพันกับสิ่งที่อาจจะผิดกฎหมาย


แต่ในที่สุด ดร.ปีเตอร์ นอร์ธโฮเวอร์ (Peter Northover) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์โลหะโบราณ ก็ทนต่อแรงดึงดูดของหนังสือเหล่านี้ไม่ได้ จึงลงมือทดสอบพร้อมๆกับการศึกษาหนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยห้องปฏิบัติการโลหะแห่งชาติของสวิตเซอร์แลนด์ ผลที่ออกมาถือว่าน่าประทับใจ เพราะสามารถฟันธงได้ว่า โลหะที่ใช้ทำหนังสือพวกนี้เป็นตะกั่วที่ผลิตในยุคโรมันโบราณ  ถลุงมาจากแร่ที่ได้มาจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน  และลักษณะการกัดกร่อน แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ใช่ของใหม่ หรือของทำเทียมแหงๆ

หากภาพของชายหนุ่มบนหน้าปกหนังสือศักดิ์สิทธิ์ได้รับการรับรองว่าเป็นพระพักตร์ของพระเยซู ก็ย่อมเป็นความปีติ และเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ถึงแม้จะไม่สามารถพิสูจน์ หรือพิสูจน์แล้วพบว่าไม่ใช่ หนังสืออีก 70 เล่มที่เหลือ ก็ควรค่าแก่การที่เราจะบอกว่า เป็นที่สุดแห่งการค้นพบทางโบราณคดีในโลกยุคใหม่นี้แล้ว นั่นก็เพราะว่า จากการส่งหนังสือบางเล่มไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ก็ทำเอาผู้เชี่ยวชาญตะลึงงัน และฟันธงกันแล้วว่า หนังสือเหล่านี้เป็นเอกสารทางคริสต์ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และข้อความในหนังสือก็เป็นสิ่งสำคัญในการบ่งชี้ถึงการถูกตรึงกางเขน และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู

ไซอัด อัลซาอัด (Ziad al-Saad) ผู้อำนวยการกรมวัตถุโบราณแห่งจอร์แดน บอกว่า หนังสือเหล่านี้น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มผู้ติดตามพระเยซูซึ่งหลบหนีไป และแอบหล่อหนังสือขึ้นหลังจากพระเยซูถูกตรึงกางเขนได้ไม่นานนัก แต่ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบอายุให้ชัดๆเสียก่อนที่จะฟันธงให้แน่

เดวิด เอลคิงตัน (David Elkingtom) ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาโบราณ บอกว่า นี่คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ และจะยิ่งใหญ่มากขึ้นหากเราจินตนาการว่า ครั้งหนึ่งในอดีตอันไกลโพ้น หนังสือเหล่านี้อาจจะเคยอยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซู  พระผู้เคยเปิดอ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้มาก่อน!!!



ฟิลลิป ดาวี่ส์ (Philip Davies) ศาสตราจารย์ ด้านการศึกษาพระคัมภีร์เก่าบอกว่า แค่ได้เห็นภาพในหนังสือโลหะพวกนี้ ก็ถึงกับตะลึง เพราะเห็นชัดว่า เป็นหลักฐานของเหล่าผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์แน่ๆ ด้วยภาพแผนที่เมืองเยรูซาเล็ม และ ไม้กางเขนที่แสดงให้เห็นถึงการตรึงกางเขนนอกกำแพงเมือง ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินของพวกยิวแน่ๆ

ที่สำคัญที่สุด หนึ่งในข้อความภาษาฮีบรูที่ถอดความออกมาได้บางส่วนคือ คำว่า “ฉันจะเดินตัวตรง” ก็อาจจะสื่อความหมายถึงการฟื้นคืนชีพของพระเยซู นี่จึงเป็นหลักฐานสำคัญในการก่อกำเนิดศาสนาคริสต์

แต่ถึงตอนนี้ ทั้งข้อโต้แย้งเรื่องการครอบครอง  ปัญหาด้านกฎหมาย  และแหล่งที่มาอันคลุมเครือก็ทำให้หนังสือโลหะเก่าแก่ที่น่าจะได้เปิดปม ประวัติศาสตร์อันน่าสนใจยังคงถูกเก็บไว้ในซอกหลืบ ที่แม้จะไม่ใช่ซอกหลืบในถ้ำที่ปิดตายมา 2 พันปี แต่ก็ยังคงเป็นซอกหลืบแห่งปริศนา ที่เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะได้คำตอบ...
......


โดย ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/186779







Create Date : 13 ตุลาคม 2557
Last Update : 26 สิงหาคม 2560 16:57:38 น.
Counter : 806 Pageviews.

0 comments
"เรื่องที่มักเข้าใจผิด" อาจารย์สุวิมล
(25 มิ.ย. 2568 10:56:08 น.)
พ่อแม่ที่ติดโทรศัพท์ มีผลต่อลูกอย่างไร newyorknurse
(22 มิ.ย. 2568 21:04:21 น.)
วันอังคารที่1กค มีงานนำเสนอสตาร์ทอัพ"ไทย"ที่พร้อมไปบุกตลาดจีน💡   peaceplay
(22 มิ.ย. 2568 12:57:29 น.)
สวนรถไฟ : นกสีชมพูสวน ผู้ชายในสายลมหนาว
(16 มิ.ย. 2568 15:03:09 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Murder-serialkiller.BlogGang.com

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]