你好! 中国 เซี่ยงไฮ้ อู่เจิ้น หังโจว อู๋ซี ซูโจว ตอนที่ 1
และแล้วก็ถึงเวลาอันสมควรที่ผมจะได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนกันเสียที ซึ่งในทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 44 ท่าน เป็นนิสิตสาขารัฐประศาสนศาสตร์(นโยบายสาธารณะ) 42 ทั้ง และอาจารย์ประจำสาขาอีก 2 ท่านด้วยกัน ทั้งนี้ไม่รวมไกด์จากทางบริษัททัวร์นะครับ โดยกำหนดการของการเดินทางเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม ถึงวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งในการศึกษาดูงานครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์การเดินทางครั้งใหม่ๆของผมอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศที่ไกลๆมาก่อน ถ้าอย่างไรเรามาร่วมย้อนรอยการเดินทางครั้งนี้กันเลยครับ

07.30 เช้าของวันที่ 28 สิงหาคม นิสิตรปม.ทุกคนพร้อมกันที่หน้ามหาวิทยาลัยนเรศวรพอเอาเข้าจริงๆ รถได้ฤกษ์ก็ 8 โมงกว่า เนื่องจากมีบางคนที่มาช้า(ขาประจำ) การเดินทางของเราครั้งนี้ราบรื่นเรียบร้อยมากครับ ฝนตกตั้งแต่ล้อยังไม่หมุน พาเอาผมรู้สึกหดหู่ใจกับการเดินทางครั้งนี้จริงๆ



มิหนำซ้ำที่นั่งที่ผมนั่งหลังคารั่วครับ(เวรกรรมจริงๆ)



อนาถจริงๆชีวิตต้องเอาถุง 7-11 มารองน้ำฝนไม่ให้เบาะเปียก



นั่งรถทัวร์ไปเรื่อยๆจนเรามากินอาหารเที่ยงที่ตลาดกลางเพื่อเกษตรกร ที่อยุธยาบ้านของผมเอง ผมเองก็ไม่เคยแวะมากินที่นี่มาก่อนเลยครับ ทางบริษัททัวร์ได้จัดโปรแกรมให้เรามากินกันที่ร้านนี้ครับ(ไม่มีการโปรโมทร้านใดๆทั้งสิ้น)



อาหารมาแล้ว เป็นกุ้งเผา ปลาช่อนลุยสวย ต้มยำกุ้ง ทอดมัน ฯลฯ อาหารรสชาติอร่อยดีครับใช้ได้ เพื่อนชมกันเป็นแถบ เล่นเอาเจ้าบ้านอย่างเราแอบยิ้มเล็กๆ ว่าอย่างน้อยอาหารจังหวัดเราก็อร่อย



หลังจากกินอาหารและทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย ก็ออกเดินทางต่อ โดยใช้เส้นทางวงแหวนรอบนอก บางปะอิน-บางนา เพื่อไปสนามบินสุวรรณภูมิ และแล้วก็ถึงซะทีครับสนามบินสุวรรณภูมิ เค้าเตอร์ของสายการบิน AI (Air India) อยู่เค้าเตอร์ P ครับ(ถ้าจำไม่ผิด ที่จำไม่ได้เพราะทางบริษัททัวร์เขาจัดการให้เราทุกอย่างเลย เรามีหน้าที่แค่เซ้นท์เอกสารต่างๆเท่านั้น)



เอกสารทุกอย่างอยู่ที่นี่ครับ จะได้ไปเมืองจีนหรือไม่อยู่ในอุ้ง...มือของผมในตอนนี้ 555



โหลดกระเป๋า ตรวจเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินตัวปลิวหลุดเข้าไปเดินดูของใน duty free (ได้แค่ดูจริงๆ ราคาสินค้ากระเดือกไม่ลง)



กลับมาถ่ายรูปในจุดเดิมๆไม่รู้เป็นอะไร มากี่ครั้งก็ถ่ายทุกครั้ง





เดินไปตามทางเรื่อยๆก็จะเจอด่านตรวจการพกอาวุธหรือวัตถุที่เป็นอันตราย เป็นเรื่องที่น่าขำที่ว่ามีเพื่อนผู้หญิงของผมคนนึงตอนตรวจ พบว่าเครื่องตรวจไปดังตรงไหนไม่ดัง ไปดังตรงบริเวณหลัง สาเหตุเนื่องจากว่า "เธอใส่เสื้อในโครงเหล็กนั่นเองครับ"
หลังจากตรวจมาแล้วก็จะได้เจอกับพาหนะที่จะพาเราไปที่เมืองจีนกันครับ กับเครื่องบินของสายการบิน AI ลำนี้ ซึ่งสายการบินนี้เป็นสายการบินที่ขึ้นชื่อกันมากเรื่อง...ความเหม็นของกลิ่นตัวแขก กับการ delay ซึ่งผมก็ได้เจอกับทั้งสองสิ่งที่ขึ้นชื่อนั้นจริงๆ เรื่องของความเหม็นนั้นผมแก้ไขโดยการเตรียมยาดม และยาที่มีฤทธิ์ที่ทำให้หลับพกไปด้วยครับ (กะว่าถ้าแผน 1 ใช้ยาดมช่วยไม่ได้ผลก็จะงัดแผน 2 กินยาทำให้หลับไปซะเลยหมดเรื่อง )ส่วนเรื่องของการ delay เครื่อง delay ไปครึ่งชม. ทั้งนี้ยังเจอ delay เจอตอนขากลับเมืองไทยครับ เด๋วค่อยว่ากันทีหลังครับ ซึ่งจากภาพจะอาจจะเห็นสภาพเครื่องของสายการบินนี้ไม่ชัด ซึ่งของจริงนั้นจัดได้ว่าเก่าครับ เหมือนบินผ่านทะเลทรายอะไรประมาณนั้น ค่อนข้างโทรมๆนิดๆ โดยเวลาเครื่องออกจริงๆนี้นเป็นเวลา 17.30 น.



สภาพภายในเครื่องครับ การบินไทยของเราดูดีกว่าเยอะครับ สายการบินนี้จะไม่มีการให้แอร์หรือสจ๊วตมาสาธิตการใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยบนเครื่องบินครับ จะใช้เป็นการให้ดู VDO (ผมว่าเหมือนเปิดจากเครื่องเล่นวีดีโอเทปเลย ดูไม่เหมือนเปิดจากแผ่น CD หรือ DVDเพราะดูจากภาพที่ฉายแล้วค่อนข้างเก่า ไม่คมชัด เหมือนกำลังดูละครรุ่นที่สันติสุข-จินตหรา เล่นคู่กันเลย



แอร์โฮสเตสของสายการบินนี้ครับ จะแต่ชุดที่ดัดแปลงจากชุดส่าหรี๋ ดูสวยและเป็นเอกลักษณ์ไปอีกแบบ แต่การบริการนั้นไม่ค่อยดีเท่าของสายการบินไทยของเราเลยครับ ดูไม่ค่อยเอาใจหรือบริการเท่าไร เช่น ในการที่จะเปิดวีดีโอสาธิตการใช้อุปกรณ์แทนที่เขาจะเป็นคนเลื่อนจอลงมาให้เรา แต่เขากลับใช้ให้เราไปดึงจอลงมา หรือ ถ้าเราแจ้งคุณแอร์ฯให้ช่วยปิดไฟให้หน่อย เพราะปุ่มอยู่สูง คุณแอร์ก็บอกให้เราไปปิดสวิชท์เอง



อาหารว่างครับเป็นมันทอด รสชาติแปลกๆกลิ่นค่อนข้างแรงใช้ได้เลย



อาหารเย็นครับน่าตาหน้ากินดีแต่รสชาติ อื้ม.มมมมม.ม ขอพูดตรงๆนะครับ ว่าไอ้ที่เป็นข้าวนั้นมันเป็นอาหาร seafood ที่มีแต่ปลาครับ แต่ก็พอกินได้ แต่โยเกิร์ต กับสลัดน้ำ จะออกเปรี้ยวครับ เปรี้ยวจนไม่มีใครกินได้เลย ส่วนบนซ้ายของภาพเป็นขนมซึ่งหน้าตาคล้ายๆกับสลิ่มบ้านเรา รสชาติหวานๆและมีกลิ่นแรงๆของเครื่องเทศ กินได้ 2 คำแล้วก็ขอ Bye เลยครับ



จากสนามบินสุวรรณภูมิถึงท่าอาการยานผู๋ตง (เสียงประชาสัมพันธ์ของสายการบิน AI เรียกว่า พู-ดอง จำเอาไว้ว่า ปู ดอง ก็ได้ครับง่ายดี) จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ เราก็จะมาถึงครับ กว่าจะถึงก็เกือบ 5 ทุ่มของที่นั่น (ประเทศจีนเวลาเร็วกว่าเรา 1 ชม.) ซึ่งสนามบินนี้ใหญ่โตใช้ได้ทีเดียว เป็นสนามบินที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จว่ากันว่าถ้าก่อสร้างเสร็จแล้วจะใหญ่โตเทียบเท่าสุวรรณภูมิของเราเลยครับ ในภาพพวกเรากำลังเดินเพื่อไปผ่านตม.ที่จีน ตม.จีนนั้นหน้าตาเหมือนจะดุครับ แต่ออกจะน่าร๊ากกกก.ก พอตรวจเสร็จแล้ว เราก็พูดว่า เซี่ย เซี่ย หนิ๋น เขาก็ยิ้มให้เราเลยครับ



กำลังเดินไปให้ ตม.ตรวจครับ ทุกคนหน้าบานเป็นจานดาวเทียม เพราะหลังจากนี้อีก 4 วันจะได้เที่ยวกันแล้ว



จากนั้นก็มีไกด์จากทางฝั่งจีนมารับเราพร้อมรถโคช ซึ่งไกด์จีนคนนี้พูดไทยได้ เป็นคนจีนที่เคยเรียนภาษาไทย มีชื่อไทยว่า ชาตรี เราจึงเรียกกันว่า "อาชา" เหมือนชื่อยี่ห้อเบียร์มั๊ย รถก็มารับเราไปถึงโรงแรมครับใช้เวลาค่อนชั่วโมงเลย เนื่องจากสนามบินผู๋ตงอยู่ห่างจากตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ประมาณ 32 กิโลเมตร เลยใช้เวลานิดนึง สนามบินก็เลยตั้งอยู่โดดๆ ติดกับทะเล ได้ข่าวว่าวิวสวยมองเห็นทะเลด้วย ไม่เหมือนกับสุวรรณภูมิบ้านเราเลยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไร ผู้คนก็ชอบไปสร้างบ้านหรือพักอาศัยใกล้ๆกับสนามบิน แปลกดีครับ ในต่างประเทศที่ดีที่อยู่ใกล้สนามบินจะมีราคาถูกเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มลภาวะเป็นพิษ เช่น จากทางด้านเสียง ฯลฯ แต่คนไทยชอบโฆษณากันประมาณว่า หมู่บ้าน...xxx...ตั้งอยู่ห่างจากสุวรรณภูมิเพียง 5 นาที ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับว่า คุณจะนั่งเครื่องบินไปทำงานทุกวันเหรอ???
กลับมาที่โรงแรมครับ โรงแรมที่จีนเด๋วนี้มีปลั๊กไฟที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าได้เหมือนกับบ้านเราแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปก็จะมีปลั๊กให้เสียบได้ 2 แบบ ดังภาพครับ



สภาพห้องครับ ใช้ได้เลย ยังไม่เก็บของครับ เดินทางเหนื่อยมากๆ ห้องน้ำของโรงแรมนี้ออกจะ sexy นิด เพราะใช้กระจกฝ้าครับ เวลาเราอาบน้ำหรือทำธุระส่วนตัว ก็จะเห็นเรือนร่างของกันและกัน เหอๆ



ตื่นเช้ามา โดยใช้สูตร 6-7-8 คือ ตื่น 6 โมง กินข้าว 7 โมง ออกเดินทาง 8 โมง

ภาพถ่ายวิวเมืองเซี่ยงไฮ้จากห้องพัก



และนี่คือมือเช้าของวันนี้ครับ



ก่อนที่ผมจะไปเซี่ยงไฮ้ผมได้ติดตามสภาพอากาศ ซึ่งผมพบว่าจะมีฝนตกในช่วงที่ผมเดินทางไป และก็เป็นไปตามนั้นครับ พยากรณ์อากาศแม่นจริงๆ เล่นตกเอาแต่เช้าเลย



ตกไม่คิดจะหยุดเลย



อาชาไกด์ของเรากำลังอธิบายถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ว่าเดิมทีเป็นแค่อำเภอ แต่ตอนหลังได้รับการยกฐานะเรื่อยมาจนกลาเป็นมหานคร ซึ่งความเจริญต่างๆเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ชาติตะวันตกได้ถือสิทธิในเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากที่จีนแพ้สงครามฝิ่นในสมัยราชวงศ์ชิง(ลองศึกษาประวัติศาสตร์กันเอาเองนะครับ)



จุดหมายของเราวันนี้คือเมืองโบราณอู่เจิ้น และเมืองหังโจว พอเข้าใกล้กับเมืองโบราณอู่เจิ้นแล้ว นับเป็นนิมิตรหมายอันดีครับที่ฝนเริ่มหยุดตกแล้ว โชคดีจริงๆ



และแล้วก็ถึงครับ ทางเข้าเมืองโบราณอู่เจิ้น



ด้านหน้ามีประติมากรรมแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนที่นี่ครับ ซึ่งจริงๆแล้วเมืองโบราณที่นี่มีแต่ตัวอาคารเป็นส่วนใหญ่ มีผู้คนที่อาศัยอยู่จริงๆค่อนข้างน้อย คนที่อาศัยอยู่ก็เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ส่วนคนอื่นๆที่มาอยู่ไม่ใช่คนในพื้นที่ครับ เป็นคนที่อื่นที่มาขอใช้พื้นที่เปิดเป็นร้านค้า เลยทำให้ส่วนนี้เลยดูเฟคๆสักหน่อย



ถ่ายรูปกับประติมากรรมกันสักหน่อย



ได้รับตั๋วผ่านเข้าประตูแล้วเดินเข้าไปกันเลย



แผนผังเมืองโบราณอู่เจิ้นทั้งหมดครับผม (ขออนุญาตน้องกา กับน้องนกเอารูปมาลงนะจ๊ะ)



เรามาล่องเรือกันครับ ถ่ายรูปรวมกันสักหน่อยก่อนออกเรือ



สองริมฝั่งคลองร่มรื่นดีครับ ผมว่าสวยดี



แลเห็นสะพานหินอยู่เบื้องหน้า



ต้นไม้เรียงรายริมน้ำ



แมวครับ หลายคนในเรือถ่ายกันใหญ่ เพราะตัวใหญ่มาก และที่สำคัญในเมืองจีนไม่ค่อยพบสุนัขกับแมว ออกมาเดินเร่ร่อนกันครับ (สงสัยกลัวโดนเอาไปกิน)



บ้านเรือนริมน้ำ



อาคารหลังนี้สวยดีครับ ชอบๆ



ศาลาริมน้ำ



อาคารบ้านเรือนหลายแห่งถูกดัดแปลงไปเป็นร้านค้า ผมว่ามันดูเฟคๆไงไม่รู้



บ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆครับ เจอได้ไม่บ่อยนักในเมืองโบราณแห่งนี้ ส่วนใหญ่ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วจะมีแต่คนแก่อาศัยอยู่ คนหนุ่มคนสาวก็ย้ายไปทำงานในเมืองกันหมด



สะพานข้ามคลองเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยในเมืองโบราณแห่งนี้ เสียดายนะครับถ้ากรุงเทพเรายังคงมีการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยอดีตมา ก็อาจยังคงมีเมืองที่มีลักษณะเช่นนี้ยังคงปรากฎอยู่เหมือนเช่นที่นี่



ผมว่าคุ้นๆนะมุมนี้



ยังกับที่ถ่ายเรื่อง MI 3 ภาคล่าสุดเลยครับ ฉากตอนท้ายๆเรื่อง ไม่รู้ใช่หรือเปล่า ใครรู้ช่วยบอกที



ไม่ใช่คนต่างชาติเท่านั้นที่จะมาเที่ยวที่นี่ คนจีนจากต่างเมืองก็มาเที่ยวด้วยเช่นกัน



จราจรคับคั่งไปด้วยเรือ



ถึงจุดหมายปลายทางแล้วครับ เนื่องจากไปต่อไม่ได้ สะพานเตี้ยเกินไป จุดนี้เลยเป็นท่าที่จอดเรือทุกลำ (ผมว่าเส้นทางที่ล่องเรือสั้นเกินไป ยังเห็นอะไรไม่เท่าไร)



เดินเที่ยวชมเมือง



ที่เคาะประตูในสมัยก่อนครับ จริงๆแล้วต้องมีห่วงคล้องเอาไว้ด้วย เพื่อเอาไว้เคาะประตู ผมเคยเห็นที่เคาะประตูแบบนี้ในหนังจีนเรื่องต่างๆครับ



แม้แต่คู่รักวัยรุ่น ก็ยังมาเที่ยวและชื่นชมความงามของเมืองกัน



มุมตรงนี้ก็สวยครับ อดนึกถึงสมัยก่อนไม่ได้ คงจะเต็มไปด้วยผู้คน เห็นเด็กๆมาวิ่งเล่นกันสนุกสนาน



ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก เอ๊ย! ระลึกกันมุมนี้ซะหน่อย



เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอกับตรอกๆหนึ่ง คล้ายๆกับตลาดย่านคนจีนในสมัยก่อนของบ้านเรา สองข้างก็จะเป็นร้านค้าที่เปิดเป็นบางร้านเท่านั้น



ผู้เฒ่า 2 คนใช้เวลาว่างมานั่งสนทนากัน



ค่อยๆเดินไปตามตรอกซอกซอย



ตึกแถวเก่าๆถูกดัดแปลงให้กลายเป็นร้านค้าต่างๆ



กลางหมู่บ้านก็จะมีลานว่าง และมีศาลเจ้าของหมู่บ้าน ข้างในศาลเจ้านั้นได้ยินว่าสวยครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไปเพราะไม่มีเวลาแล้ว ทางไกด์เรียกและต้อนให้พวกเรารีบไปกินข้าวที่ร้านอาหารเลยอดเก็บภาพสวยๆมาให้ดูกันครับ



จุดนี้ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับศาลเจ้า แต่ให้เดาน่าจะเป็นโรงงิ้วมั้งครับ



ร้านค้าขายของที่ระลึกครับ สินค้าส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือและของพื้นเมือง เช่น พัด เสื้อผ้า ขนม พวงกุญแจ ฯลฯ



ร้านอาหารที่เราจะมากินมื้อเที่ยงกันครับ บรรยากาศดีซะด้วย



รอข้าว...



อาหารเป็นอาหารพื้นเมือง ซึ่งแทบไม่มีใครกินกันได้เลย ไม่อร่อยเอามากๆ รสชาติจืด คาว กลิ่นแรง หวานเลี่ยนๆ บอกไม่ถูกครับ



โคมไฟประดับในโรงแรมครับ ท่าจะเป็นของเก่า และถือเป็นงานฝีมือที่สวยจริงๆ



ออกจากร้านอาหารก็เป็นเวลาที่เราต้องขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองหังโจวต่อไป ซึ่งจากเมืองโบราณอู่เจิ้นจนถึงเมืองหังโจว จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

จบการเดินทางในตอนแรกครับ เดี๋ยวว่างๆจะมาต่อตอนที่ 2 ครับ









Create Date : 03 กันยายน 2550
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 22:17:53 น.
Counter : 2625 Pageviews.

4 comments
เลี้ยงรุ่น 15/ 04 / 2024 tanjira
(19 เม.ย. 2567 17:52:18 น.)
นุดเบาหวานรายงานตัว ครบ 1 เดือนแล้วจร้า nonnoiGiwGiw
(18 เม.ย. 2567 11:46:58 น.)
Bangsaen 21 The Finest Running Event Ever 2023 บางแสน แมวเซาผู้น่าสงสาร
(12 เม.ย. 2567 10:20:55 น.)
โจทย์ตะพาบ ... วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร โปรดมองมาทางนี้ เธอจะเห็นใครคนหนึ่งที่รอเธอ ... tanjira
(9 เม.ย. 2567 14:13:50 น.)
  
อยากไปมั่งจัง
โดย: แอบอ่าน IP: 58.9.91.171 วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:16:43:05 น.
  
ว้าว อยากไปเที่ยวมั่งจัง

บรรยากาศสวยมาก (ที่สำคัญคนถ่าย ถ่ายเก่งด้วยล่ะครับ)

จะติดตามชมตอนต่อไปนะครับ
โดย: DAN_KRAB วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:23:46:48 น.
  
มาเยี่ยมครับผม

กำลังมันส์เลย

เดี๋ยวจะตามไปอ่านตอน 2 กับตอน 3 ต่อทันทีครับ
โดย: esprit_pawin วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:13:47:06 น.
  
เข้ามาชมภาพตอนแรกครับ
* สายการบินแอร์อินเดียนะครับ จะได้จำไว้ครับ 555+
* เรือที่ล่องไปสวยดีครับ บ้านเรือนก็เหมือนในหนังจีนโบราณเลย

โดย: พลทหารไรอัน วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:12:05:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Manchu.BlogGang.com

ปืนแก๊ป
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด