live in Vietnam ภาคแรก Thailand-Hanoi-Halong
ชีวิตคือการเดินทางจริงๆ แม้ว่าในชีวิตผมจะมีการเดินทางอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ใช่กับการการเดินทางครั้งนี้ เพราะการเดินทางในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนาม เมื่อวันที่ 5-7 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา ไหนๆได้ไปมาแล้วกลับมาถึงเมืองไทยก็ขอ review การเดินทางเพื่อให้เกร็ดความรู้และพาเพื่อนๆเที่ยวกันครับ

วันที่1 ในเช้าวันที่ 5 เวลา ตีห้าครึ่งผมตื่นนอนแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นที่จะเดินทางครั้งนี้จากนั้นเดินทางไปยังสนามบินพิษณุโลกในเวลา 7.00 เพื่อเช็คอินรับตั๋ว โหลดกระเป๋า และขึ้นเครื่องโดยสายการบินไทย ซึ่งเที่ยวบินนี้ออกเดินทางเวลา 7.40 โดยประมาณครับ

บนเครื่องครับซึ่งมีคนมากหน้าหลายตาขึ้นมากันเต็มลำเลย(ก็แหง๋แหละเที่ยวบินของพิษณุโลกมีแค่ 2 เที่ยวเอง)


ก่อนเครื่องจะ take off ก็จะมีคุณแอร์กับสจ๊วตมาสาธิตอุปกรณ์ช่วยชีวิตก่อนครับ(เจ็บใจเล็กๆทำไมสจ๊วตไปอยู่ไกลจัง 555)


และแล้วเครื่องก็พาเราขึ้นสู่ฟ้าออกจากพิษณุโลกสู่กรุงเทพ สังเกตดีๆนะครับเห็นแม่น้ำน่านด้วย


บินเหนือเมฆ แสงพระอาทิตย์สะท้อนกับปีกเครื่องบินสวยดีครับเลยถ่ายเก็บไว้


พอเครื่องเริ่มรักษาเพดานการบินได้คุณแอร์ก็จะเสริฟอาหารครับ และนี่คือหน้าตาของอาหารเช้าสำหรับเที่ยวบินนี้


ยังไม่ทันได้กันอะไรหมดเลยก็ถึงกรุงเทพที่สนามบินดอนเมืองแล้วเร็วมาก เพราะใช้เวลาในการเดินทางแค่ 40 นาที (รถทัวร์ 5 ชั่วโมงนั่งกันปวดตูดกันพอดี)


หลังจากที่เราลงเครื่องเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นการไปรอรับกระเป๋าซึ่งกระเป๋าก็ไม่ดีเลย์เลยครับดีมากๆ หลังจากที่เรารับกระเป๋ากันครบทุกคนแล้ว พวกเราก็รีบจั้มไปขึ้นรถแท็กซี่เพื่อเดินทางต่อไปยังสนามบินสุวรรณภูมิครับ


ถึงแล้วครับสนามบินสุวรรณภูมิ


พอมาถึงเสร็จก็รีบมาดูนี่เลย เพื่อมาเช็คว่าเราจะต้องไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ไหน และเช็คเกตที่จะไปขึ้นเครื่อง


หลังจากนั้นช่วงที่มีเวลาเหลือก็มาแลกเงินก่อนครับในครั้งนี้เราต้องแลกเป็นเงินดอลล่าก่อนครับ เพราะเป็นเงินสกุลหลัก เพื่อที่จะได้เอาไปแลกเป็นเงินดองของเวียตนาม หรือเอาไปซื้อของได้เลยที่เวียตนามครับ โดยที่เวียตนามเขารับเงินทั้งเงินดอง ดอลล่า เงินบาทไทยก็รับนะครับแต่เป็นบางที่


ที่สุวรรณภูมินี้ขึ้นชื่อว่ามีเก้าอี้กับห้องน้ำน้อยจะจริงหรือไม่ดูตามภาพครับ


หลังจากที่เราได้ไปเช็คอินเพื่อรับตั๋วเครื่องบินและโหลดกระเป๋าแล้วที่เค้าเตอร์เช็คอินยังได้ยื่นเอกสารมาใบหนึ่งเพื่อให้เรากรอกเกี่ยวกับการเดินทางขาออกและขาเข้าครับ หลังจากที่กรอกกันมั่วซั่วไป(ก็คนไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศนี้นา)แล้วก็จะเดินต่อเพื่อไปตรวจพาสปอร์ตและพร้อมกับยื่นเอกสารที่กล่าวมา ไม่มีไรมากครับยืนเฉยๆ สักพักเจ้าหน้าที่ก็ให้เราผ่านไป หลังจากที่ผ่านจุดนั้นมาได้ก็จะได้พบกับ...พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ


ตรงข้ามกับพระที่นั่งก็จะเป็นประติมากรรมรูปกวนเกษียรสมุทรครับขอถือถ่ายรูปตอนนี้เลยเพื่อให้รู้ว่ามาถึงแล้ว


หลังจากนั้นเราก็เดิน เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินไกลมาก กว่าจะไปถึง Gate ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นร้านค้าปลอดภาษีและที่สำคัญมีนี่ด้วยครับร้านค้าสินค้า OTOP กับ ร้านค้าของโครงการหลวงเลยถ่ายเก็บเอาไว้ (เลือดพัฒนาสังคมเดือนพล่านน)


หลังจากที่ไปถึง Gate เราก็ให้เจ้าหน้าที่ของแอร์เอเชียตรวจตั๋ว แล้วเราก็นั่งรอ รอ รอ จนกว่าเครื่องจะมาและเปิดให้เราขึ้น มีเรื่องขำๆจะเล่าให้ฟัง พอเครื่องมาถึงปุ๊บเหล่าบรรดาคนไทยทั้งหลายต่างกรูกันมาออกันใกล้ๆกับประตูทางเข้าทันที แต่คนต่างชาติกลับดูเฉยๆไม่ค่อยเดือนร้อน เพราะใครๆก็รู้ว่าเที่ยวบินของสายการบิน Air asia ไม่สามารถระบุที่นั่งได้ ต้องแย่งกันขึ้นเหมือนขึ้นรถ บขส.ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผมที่รีบไปออกันเพื่อจะได้ขึ้นก่อนและจะได้จองที่นั่งที่ดีๆ พอขึ้นเครื่องเสร็จเราก็พบกับหน้าตาของภายในเครื่องซึ่งพอแรกเห็นก็ เอ่อ.ออ.อ.อ.อออ ก็มีคำถามผุดขึ้นมาว่าเรากำลังขึ้นรถบขส.อยู่รึป่าวเนี่ยว้า มันต่างกับการบินไทยมากๆ แต่ก็เหอะใครๆก็บินได้ ตามสโลแกนของเค้า ซึ่งเวลาเครื่องออกก็เป็นเวลา 11.45 ครับ ขอบอกนิดนึงว่าเครื่องของ air asia ออกเร็วมากและไม่มีการรอด้วยนะครับต้องรีบหน่อยนะครับ


ก่อนเครื่องจะ take off ก็จะมีสจ๊วตมาสาธิตอุปกรณ์ต่างๆครับ ผมเองก็ไม่ได้ฟังครับเพราะเอาปลั๊กอุดหูอุดเรียบร้อยครับ แบบว่ากลัวหูอื้อตอนเครื่องขึ้น แปลกเนอะจำอะไรที่สจ๊วตเขาสาธิตไม่ได้เลยแต่จำได้อย่างเดียวว่า สจ๊วตคนนั้นชื่อ บุรินทร์ 555


เครื่องขึ้นแล้วครับ ซึ่ง air asia ก็ได้สร้างความแปลกใจในการ take off ก็คือเครื่องขึ้นอย่างเร็วทำมุม 45 องศา ขนาดผมเอาปลั๊กอุดหูแล้วหูยังอื้อเปรี๊ยๆเลย (หรือว่าอุดไม่สนิทก็ไม่รู้) ช่างมันเหอะดูวิวดีกว่า ซึ่งจากวิวเราก็จะเห็นปากแม่น้ำเจ้าพระยากับอ่าวไทย และที่เห็นเป็นเกาะไกลๆนั้นคือเกาะสีชัง จ.ชลบุรีครับ


หลังจากขึ้นเครื่องได้สักพักคุณแอร์ก็จะเอาอาหารมาขาย ขอย้ำว่ามาขาย เพราะ air asia ไม่มีสินค้าหรืออาหารแจกครับ ต้องซื้ออย่างเดียว แต่ราคานี้ก็ โห..... เช่น น้ำดื่ม ก็ขวดละ 30 บาท ชาเขียวโออิชิ 40 นิชชินคัฟนูดเดิ้ล 50 OH!!!!!! แต่ก็ต้องจำใจซื้อเพราะมานหิวง่ะ หลังจากที่เดินทางสักพักเราก็จะผ่านไปทางอีสานครับ บินข้ามแม่น้ำโขงเขาสู่ประเทศลาวซึ่งพอเข้าเขตประเทศลาวปุ๊บสิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดคือ ประเทศเค้ามีแต่ป่า มีต้นไม้อุดมสมบูรณ์เลยครับ ส่วนในภาพเป็นเขื่อนอะไรสักอย่างในประเทศลาว


หลังจากบินได้ชั่วโมงเศษ เครื่องบินก็ค่อยๆไต่ลดระดับลงมา นั่นทำให้เราพอรู้ได้ว่าใกล้ถึงแล้ว และการไต่ระดับครั้งนี้ก็พาให้เราเจ็บปวดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตนั่นคือ เกิดอาการปวดหูมากถึงมากที่สุดยิ่งตอนใกล้จะถึงรู้สึกได้เลยว่าเครื่องบินไต่ระดับลงมาเร็วมาก ก็พยายามข่มใจทน พอมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นกับแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือแม่น้ำแดง อันเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองฮานอยประเทศเวียตนาม(คล้ายกับแม่น้ำเจ้าพระยาในบ้านเรา)


ก่อนเครื่องจะ landing เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่า "ขอแสดงความยินดีค่ะเราได้เดินทางมาถึงก่อนกำหนดเวลา 10 นาทีค่ะ" ก็คิดในไงนะว่า "ก็แหง๋อ่ะดิ ขึ้น-ลงเร็วซะขนาดนั้นจะไม่ให้มาถึงเร็วได้ไง " เอาเป็นว่าระยะเวลาในการเดินทางก็ศิริรวม 1 ชั่วโมง กับอีก 40 นาที เครื่องก็จะพาเรามาสู่สนามบินนอยใบ ซึ่งสนามบินนอยใบเป็นสนามบินนานาชาติเหมือนกับสนามบินสุวรรณภูมิแต่ดูสภาพแล้ว สุวรรณภูมิชนะเลิศ สภาพโดยรวมของสนามบินนอยใบ เหมือนหมอชิตอ่ะแต่ใหญ่กว่า เที่ยวบินก็ดูมีไม่มากไม่คึกคัก


หลังจากที่ลงจากเครื่องปุ๊บก็จะมีรถเมล์มารับเราเพื่อไปส่งที่ตัวสนามบิน พอลงจากรถปุ๊บเราก็งงกับพฤติกรรมของผู้โดยสารอื่นๆที่ต่างรีบวิ่งไปที่โต๊ะที่มีกระดาษเสียบๆอยู่หลายๆใบ(นึกถึงโต๊ะที่มีใบให้กรอกเงินฝากถอนในธนาคารล่ะกัน แบบนั้นเลย) เราก็เดินตามเขาไป ปรากฎมันเป็นใบให้กรอกเหมือนกับกรอกเลขพาสปอต กรอกเที่ยวบิน กรอกประวัติส่วนตัว เพื่อนำไปยื่นให้ตม. ซึ่งอีใบนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษกับเวียตนามเท่านั้น ภาษาอังกฤษก็ยิ่งโง่ๆอยู่เวียตนามไม่ต้องพูดถึงได้แค่ "ซินจ่าว"ที่แปลว่าสวัสดีเท่านั้น แถมภาษาอังกฤษกับภาษาเวียตนามก็พิมพ์กันถี่เหลือเกิน พาตาลายเข้าไปอีก ไปมาๆก็เลยตั้งมานั่งเปิดดิคในมือถืออ่านแปลประกอบ แล้วสายตาก็ลอกคนข้างๆไป ซึ่งคนข้างๆก็ดูท่าจะเป็นคนจีนเพราะใช้แซ่ Wang ลอกเขาไปลอกเขามาเรานามสกุล Wang ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ตัว ต้องรีบกรอกใบใหม่ ซึ่งเราก็คิดว่าเราแย่แล้วนะ พวกพี่ๆที่ไปด้วยแย่กว่าเราอีกต่างมุงดูเอกสารของเราว่าเรากรอกอะไรไปบ้าง ยังกับว่าเราเป็นความหวังสุดท้ายยังไงยังงั้น
หลังจากกรอกเสร็จก็เดินที่ตม. ตม.ที่นี้หน้าดุมาก พี่แกเล่นไม่ยิ้มเลย ไอ้เราก็กลัวว่ามันจะไม่ชอบขี้หน้าเราแล้วมันจะไม่ให้ตรูผ่านเข้าประเทศ ไอ้ตัวเราหน้าตายิ่งผิดกฎหมายอยู่ด้วย ทั้งนี้เพราะเคยได้ยินในกรณีที่เกาหลี ที่ตม.เข้มมาก คนไทยไม่ผ่านก็เยอะ ถ้าไม่ผ่านนี้ส่งกลับบ้านทันทีเลยนะ ไม่ให้เข้าประเทศเค้า พอถึงคิวเรามันก็ขอดูเอกสารกับพาสปอต แล้วก็ทำหน้าบึ้งๆแล้วก็แสต๊มป์ตรา พอได้ยินเสียงแสต๊มป์ ปุ๊บก็ดีใจคิดว่า "เย้ได้เข้าประเทศแล้ว" พอเขายื่นพาสปอตคืนเรา เราก็รีบเดินตัวปลิวออกมาทันที หลังจากนั้นก็มารับกระเป๋า แล้วก็เดินออกจากสนามบินซึ่งมีบริษัททัวร์มารอรับด้วยรถโคชคันนี้


หลังจากที่เราเจอไกด์ของเราซึ่งก็คือ ท้าวจัน ซึ่งเป็นคนลาว โดยพี่ๆที่เขาเคยมาเที่ยวเวียตนามคราวก่อนประทับใจท้าวจัน หรือที่พวกเราเรียกว่าอ้ายจัน ก็เลยติดต่อให้มาเป็นไกด์ในครั้งนี้อีก พอขึ้นรถปุ๊บเราก็เดินทางจากสนามบินนอยใบเพื่อเดินทางไปยังอ่าวฮาลอง ซึ่งอยู่ห่างจากฮานอยประมาณสองร้อยกว่ากิโล โดยการขับรถของที่นี่จะขับชิดเลนขวาครับพวงมาลัยอยู่ทางซ้าย ทั้งนี้ในการขับรถต้องขับไม่เกิน 70 กม.ต่อชั่วโมงครับเลยทำให้การเดินทางล่าช้ามาก โดยระหว่างทางก็จะมีวิวข้างทางที่คล้ายๆบ้านเราอยู่ครับคือมีตึกอาคารบ้านเรื่อน มีทุ่งนา มีควาย แต่ที่เราแปลกใจก็คือรูปทรงของบ้านครับ ซึ่งจะเป็นเหมือนอาคารพานิชย์สูงๆแปลกเหมือนกันเกือบหมด ถามอ้ายจันไปอ้ายจันก็บอกว่าเป็นกฎหมายที่ให้ประชาชนทุกคนมีความกว้างของบ้านไม่เกิน 4 เมตร ดังนั้นจึงต้องสร้างให้เป็นทรงสูงๆแบบนี้ ดูรูปประกอบเลยครับ


พอนั่งรถไปสักพักพวกเราก็บ่นหิวกันอ้ายจันก็เลยพาเราแวะร้านข้างทาง ซึ่งเป็นร้านขายเฝ๋อครับ (ก๋วยเตี๋ยวเวียตนาม) อันที่จริงผมก็เคยกินมาบ้างแล้วแต่กินที่พิษณุโลกบ้านเรานี้แหละ ก็เลยอยากลองชิมของต้นตำหรับดูพบว่าอร่อยกว่าบ้านเรามากครับ รสชาติต่างกันเลย น้ำซุบอร่อยมากแบบไม่ต้องปรุงเลย หอมหวาน กำลังดี ที่กินอยู่เป็นเฝ๋อไก่ครับ (ไม่ค่อยกล้ากินไก่มาก เพราะตอนที่ไปมีข่าวเรื่องไข้หวัดนกที่เวียตนามอยู่)


ส่วนนี้เป็นเต้าหู้ทอดครับ กินกับน้ำปลาเวียตนาม ขอบอกว่าไม่ไหวง่ะ ยอมแพ้น้ำปลาเขากลิ่นแปลกๆรับไม่ไหว แถมรสออกหวานๆปะแล่มอีก อันนี้เลยขอบาย ทุกคนที่มากินกันก็บายกันเป็นแถบ


กระดาษทิชชู่เช็ดปาก เนื้อกระดาษค่อนข้างสากเล็กน้อยถึงปานกลาง


นี่คือหน้าร้านที่ไปกินครับ ชื่อร้านอะไรอ่านไม่ออก หน้าร้านก็จะมีน้ำชาให้ดื่มครับคิดราคา 500 ดอง หรือประมาณ บาทกว่าๆ ซึ่งอ้ายจันบอกว่า ที่เวียตนามน้าเปล่าหายาก เพราะน้ำจืดปนกับน้ำเค็มทำให้กรองยาก น้ำเลยมีราคาแพง น้ำเปล่าขวดๆนึงก็ราคาตก 25-30 บาทไทยแล้ว (สังเกตได้ว่าพอไปกินข้าวหรือแม้แต่ร้านอาหารในเวียตนาม จะไม่มีการเสริฟน้ำครับ ถ้าอยากกินน้ำก็ต้องสั่งเพิ่ม) ดังนั้นคนเวียตนามหลังจากที่กินอาหารเสร็จก็มักจะไม่สั่งน้ำเปล่าแต่กลับจะมาซื้อน้ำชาที่อยู่หน้าร้านอาหารนั้นกินแทนเพราะถูกกว่า ประกอบกับการดื่มชาก็ถือเป็นวิถีชีวิตของคนเวียตนามอย่างหนึ่งเช่นกัน


หลังจากเติมพลังเสร็จก็ออกเดินทางต่อซึ่งระหว่างทางเราก็จะเห็นชาวนาทำนา เอาข้าวมาตาก ซึ่งการตากข้าวของชาวนาก็จะตากกันบนถนนเลย เนื่องจากไม่มีที่ตากข้าว อ้ายจันบอกว่ายิ่งถ้าสมัยก่อนแล้ว พวกชาวนาจะตากกันเต็มถนนจนรถวิ่งแทบไม่ได้เลยทีเดียว


นั่งไปสักพักก็จะผ่านกับโรงงานไฟฟ้าถ่านหินของที่นี่ ก็เหมือนกับที่แม่เมาะของเราครับ ซึ่งคนที่นี่น่าเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเรื่องระบบทางเดินหายใจและโรคมะเร็งมากครับ ซึ่งระหว่างทางเราได้มีโอกาสได้ลงไปเดินในเมืองนี้ ซึ่งเราก็ต้องเคืองๆตากันเล็กน้อย เนื่องจากมลภาวะจากโรงงานไฟฟ้าถ่านหินนั่นเอง


สุสานครับ สุสานในเวียตนามมีจำนวนเยอะพอสมควร และมีตลอดเส้นทางเลยครับ ผมไม่แน่ใจว่าทำไมถึงสร้างติดๆกันและต้องสร้างในบริเวณทุ่งนา โดยอาจเกิดจากการที่มีผู้เสียชีวิตในสงครามเวียตนามมีจำนวนเยอะ และที่ต้องสร้างให้ติดๆกันนี้ ก็เพราะว่าคนที่ตายที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันก็จะสร้างให้อยู่ติดๆกัน หรืออีกรณีหนึ่ง เกิดจากคติความเชื่อตามเต๋าหรือขงจื้อนี่แหละครับ(ใครรู้ช่วยบอกที)


เจออาคารรูปทรงแปลกๆยังกับปราสาทดีสนีแลนด์ แต่จริงๆแล้วคือโบสถ์คริสต์ครับ


นั่งไปสักพักกำลังเบื่อพอดีอ้ายจันก็พาเราแวะไปดูศูนย์ผลิตภัณฑ์งานฝีมือโดยคนพิการ ซึ่งมีของจำหน่ายมากมาย เช่น งานทอผ้า งานไม้แกะสลัก งานเครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ


สินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ได้จัดจำหน่าย


เครื่องปั้นดินเผา


อันนี้น่ารักจัง


ภาพยืนยันนะครับว่าผลิตภัณฑ์ที่นี่เกิดจากฝีมือของผู้พิการจริงๆ


จากนั้นก็แวะรายทางบ้าน นั่งไปนั่งมารถก็พาเรามาถึงอ่าวฮาลองครับ ซึ่งโรงแรมเราอยู่ติดกับอ่าวฮาลองพอดี ในรูปโรงแรมที่เราพักครับ


วิวจากหน้าต่างโรงแรมเราจะเห็นสะพาน(เหมือนสะพานพระรามเก้าบ้านเราเลย ตอนกลางคืนเขาก็จะเปิดไฟประดับ) ซึ่งจะทอดยาวข้ามไปยังเกาะ..เกาะ..เกาะอารายจำชื่อม่ายด้ายยง่า


สภาพที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ครับ


ปลั๊กไฟครับเหมือนบ้านเราเลย อันนี้บอกให้ทราบไว้ว่าสามารถใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าบ้านเราได้ทุกอย่างเพราะใช้แรงดันไฟเหมือนบ้านเราและหัวปลั๊กเหมือนบ้านเราเลย เหมาะกับคนที่ติดหล่อแบบผมที่ต้องใช้ไดร์เป่าหัว หรือคนที่ต้องพก laptop โทรศัพท์มือถือ หรือกล้องดิจตอล


อ้ายจันได้นัดให้พวกเรามาเจอกันที่ lobby โรงแรมตอนทุ่มนึงเพื่อออกไปกินข้าวที่ภัตตาคาร ระหว่างที่เรารอคนอื่นอยู่ก็เลยขอไปเข้าห้องน้ำที่ lobby ก็พบกับโถฉี่อันเล็กกระจิ๋วหลิ๋ว สักเกตนะครับความยาวของโถฉี่ยาวแค่หนึ่งกระเบื้องครึ่ง ขอย้ำหนึ่งกระเบื้องครึ่งเล็กมาก (ดูถูกไซส์ของตูไปซะแล้วว 555 ขำๆน่ะครับอย่าคิดมาก)


หลังจากที่ทุกคนมาพร้อมก็นั่งรถไปกินภัตตาคารแห่งหนึ่ง และนี่คือนหน้าตาของภัตตาคารและหน้าตาของอาหารในมือค่ำนี้




หลังจากที่กินอาหารกันเต็มคราบแล้วก็ได้เวลา shopping ก็เลยไปซื้อของที่ตลาดริมหาดแห่งนี้ครับ


สินค้าที่ขายที่นี่เหมือนกันเกือบทุกร้านครับแต่ที่ต่างกันคือเรื่องของราคา ที่ไม่แน่นอนไม่เท่ากันต้องต่อดีๆ แม่ค้าพ่อค้าที่นี่คุยภาษาไทยพอได้ครับ คุยไปเถอะภาษาไทย ภาษาอังกฤษปนๆกันไป และที่นี่เองที่ผมได้ซื้อพวงกุญแจตุ๊กตาสาวเวียตนามมาฝากเพื่อนๆไงครับ (ราคาขาย 10 ตัวร้อย ต่อคนขายต่อไปต่อมาได้ 12 ตัวร้อย แต่ตุ๊กตาคอหักไปตัวนึง ..เวรกำ...)


หลังจากที่ shopping เสร็จก็กลับโรงแรมนอนหลับฝันดี
วันที่ 2 พอตื่นมาก็อาบน้ำทานอาหารเช้าแล้วก็รีบออกมาสูดอากาศริมอ่าว ซึ่งระหว่างที่สูดอากาศอยู่นั้นก็พบกับพ่อค้าแม่ค้าปรี่เข้ามาขายสินค้าให้เราเช่น สร้อยที่ทำจากถ่านหิน ทำจากไข่มุก หรือแม้แต่หนังโป๊ ซึ่งเราก็เลือกดูกันอยู่ แต่ผมไม่ได้ซื้อมาด้วยนะ แค่เลือกดูเฉยๆ แต่พวกพี่ๆคนอื่นๆเขาซื้อกลับมากันครับ ไอ้คนขายมันก็บอกว่าทำนองว่าหนังโป๊เวียตนามๆ พวกพี่ๆเขาก็ซื้อกันไป แต่หลังจากที่กลับเมืองไทยกันแล้ว พวกพี่ๆก็บ่นกันว่าจำไว้นะเมิงงง..งหลอกกรูว่าเป็นหนังโป๊ ข้างในเป็นหนังสงคราม หน้าปกก็หนังโป๊อยู่หรอกแต่ข้างในนี่เลือดสาด(เพราะสงครามกันเต็ม) ดีนะที่ไมได้ซื้อมา ในรูปเป็นภาพที่ตาคนขายหนังโป๊มาขายให้พวกเราอยู่ครับ


มองอ่าวฮาลองจากริมหาด


หลังจากนั้นก็นั่งรถเพื่อไปลงเรือเพื่อล่องอ่าวฮาลองครับซึ่งมีเรือจำนวนมากมายจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งอ่าวฮาลองนั้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกครับ โดยประกอบไปด้วยหมู่เกาะกว่า 1,969 เกาะเรียงตัวกันไปในทะเล ซึ่งอ้ายจันได้อธิบายว่า เดิมทีบริเวณนี้เป็นพื้นดินท้องนา แต่เนื่องจากสภาพโลกเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลท่วมเข้ามา ซึ่งจากทฤษฎีนี้ท่าจะเป็นจริงเพาะทันที่ที่เรือทุกลำเริ่มหมุนใบจักร น้ำทะเลก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนกับใต้น้ำเป็นพื้นดินมิใช่พื้นทราย ซึ่งจากที่เห็นก็ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น แม้แต่ชายหาดของอ่าวก็มิใช่หาดทรายแต่เป็นหาดหินหาดดิน ส่วนตามเกาะต่างที่เป็นที่พัก Guesthouse หรือโรงแรมบนเกาะพวกเจ้าของกิจการก็อยากมีหาดก็เลยต้องซื้อทรายมาถมเกาะกันเพื่อให้เกาะของตนมีหาดทรายไว้เล่นน้ำ


เกาะพวกนี้แหละครับที่จะถูกพัฒนาทำให้เป็นรีสอร์ทต่อไป


สภาพภายในเรือครับมีห้องครัว มีห้องน้ำ มีเก้าอี้นั่งชมวิว มีดาดฟ้าไว้สูดอากาศ(ร้อน) พูดถึงอากาศขอพูดหน่อยล่ะกันว่าช่วงที่ไปตรงกับฤดูร้อนของที่นั่น ซึ่งแดดที่นั่นไม่ค่อยแรงครับ แต่ร้อนแบบอบๆครับเหงื่อชุ่มเลย อบประมาณไหน ร้อนอบๆแบบเหมือนเราอยู่จ.ตากอ่ะครับ ประมาณนั้น ถ้าใครจะมาช่วงนี้ก็เตรียมน้ำดื่ม ผ้าเย็น พัด ร่ม ไว้ก็จะดีมาก


นั่งเรือได้สักแป๊บก็จะเจอกับนี่ครับ เรือขายผลไม้ที่จะคอยขับตามประกับเราเพื่อตามตื้อขายผลไม้ ซึ่งราคาแพงมาก แต่พวกพี่ๆเขาสงสารเลยซื้อมากินกัน


ทั้งนี้บนเรือยังมีการเสริฟน้ำโค้กกระป๋องด้วยครับตอนแรกเราก็คิดว่าฟรีเป็นบริการบนเรือ แต่ที่ไหนได้เสียตังครับ ทำไงได้ซัดไปสองกระป๋องแล้ว


มุมเท่ห์ๆบนเรือ


ถ่ายกับพี่ที่ทำงาน


......


นอกเรื่องไปเยอะแล้ว กลับเข้าเรื่องดีกว่า และแล้วเราก็ถึงเกาะๆหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เที่ยวที่ทุกคนต้องมาเพื่อเข้าไปดูความงามของหินงอกหินย้อยในถ้ำกันครับ


ทางเดินครับซึ่งจะค่อยๆนำเราเดินขึ้นบนเข้าเพื่อเข้าไปในถ้ำ


ถ่ายรูปรวมกลุ่มกันซะหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเราเคยมาเที่ยวเวียตนามกัน


ผู้คนล้นหลาม


เข้ามาข้างในแล้วครับก็จะมีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกๆตา อ้ายจันเราก็อธิบายว่ามันคือรูปร่างอะไร ฟังไปฟังมาก็เบื่อ ฟังแล้วมันไม่ซึ้งเท่าไร


หินรูปหัวมังกร


ถังขยะหน้าตาน่ารักน่า(ทิ้ง)ดีครับ เป็นรูปสัตว์ต่างๆที่ถ่ายมารู้สึกเป็นรูปปลาโลมาครับ ถ่ายไม่ค่อยดีเลยเพราะคนข้างหลังเดินไล่ๆเรามา


หินงอกอันนี้เด็ดสุดจำได้ดีเลยเพราะมันคือรูป อวัยวะเพศชาย โดยชาวบ้านก็เล่ากันเล่นๆว่า ในด้านตรงหลังของหินงอกนี้มีสระน้ำเล็กๆอยู่(ซึ่งมีอยู่จริงๆ) แล้วมีผู้หญิงมาอาบน้ำ แล้วผู้ชายมาเห็นก็เลยเกิดอารมณ์ทางเพศ ก็เลยเกิดอารมณ์แล้วอวัยวะเพศก็...เป็นดังรูป (ในรูปผมสนใจมากถึงกับชี้มือชี้ไม้เลย ..พูดเล่นน่า)


พอออกจากถ้ำปุ๊บก็ปวดฉี่เลยเข้าห้องน้ำ และนี่คือหน้าตาห้องน้ำชายครับ เป็นรางฉี่เหมือนห้องน้ำสมัยที่อยู่โรงเรียนประถมเลย


พอออกมาเรือก็จะอ้อมมารับเราอีกทางด้านหนึ่งของเกาะ


หลังจากนั้นก็นั่งเรือกันต่อเพื่อไปชมเกาะต่างๆ ที่เห็นเป็นเหมือนแพนั้น เป็นบ้านลอยน้ำครับนึกๆไปก็คล้ายกับที่เกาะปันหยีบ้านเรา แต่ที่เกาะปันหยีจะเป็นชุมชนหนาแน่น ที่นี่จะอยู่กันอย่างเบาบาง โดยมีทั้งบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน โบสถ์คริสต์


จากนั้นเราจึงลงไปยังแพที่ขายอาหารทะเล เพราะกะจะไปซื้อแต่พอได้ยินราคาแล้วซื้อไม่ลง พูด แพง แพง แพง แพง แพง กันหลายรอบเลย (นึกถึงโฆษณาบิ๊กซีที่มีแม่บ้านไม่ได้ซื้อของที่บิ๊กซี แล้วเกิดอาการคำว่า แพง หลอกหลอนตามไปถึงบ้าน) อารมณ์ประมาณนั้น


ภายในแพที่ขายอาหารทะเลก็ทำเป็นที่พักด้วย นี่แอบเข้าไปถ่ายรูปเลยก็มีครัว มีห้องนอน


สักแป๊บบนึงก็มีสาวเวียตพายเรือมาขายผลไม้และขนมของกินต่างๆที่สำคัญเธอกำลังท้องอ่อนๆ ซึ่งก็เรียกความเห็นใจจากพวกพี่เขาจนต้องซื้อผลไม้เธอกลับมา


วิวของอ่าวฮาลอง


ที่ถ่ายนี่นอกเรื่องนิดเนื่องจากเห็นรองเท้าของป้าๆที่ไปด้วยแล้วอดใจขำไปถ่ายไปไม่ได้เพราะรองเท้าสุดๆ เปรี้ยวซะ แถมแบบป้าแกใส่เสื้อผ้าไม่ได้ match กับรองเท้าเลย ก็เป็นเรื่องแซวแกจนมาถึงปัจจุบัน (ดูตอนท้ายการเดินทางจะเจอคู่แข่งของป้าแก)


หลังจากได้ขึ้นเรือแล้วทางเรือก็ทำอาหารกลางวันให้เราซึ่งเป็นอาหารซีฟู๊ตซึ่งก็มีหลายอย่างด้วยกันดังภาพ ปล.ไอ้ที่เป็นต้มที่มีหอยด้วยอ่ะ ไม่ไหวจริงๆ นึกว่าจะเป็นแบบโป๊ะแตกซะอีก แต่มันเป็นเหมือนกับหอยใส่ในน้ำร้อนอ่ะ มีรสของเครื่องเทศนิดๆ ด้วยเหตุนี้เลยกลายเป็นของเหลือที่ไม่มีใครกินไป


คุณปูผมขอกินคุณล่ะนะ


และแล้วเราก็มาถึงเกาะไก่ชนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอ่าวฮาลองที่ได้ชื่อนี้เพราะรูปร่างของเกาะทั้งสองเหมือนไก่ชนไก่กัน


ที่เกาะไก่ชนนั้นหากเราอ้อมเรือไปดูด้านหลังเกาะทั้งสองก็จะกลายเป็นเหมือนรูปปลาหัวขาดไปโดยปริยายดังภาพ


ที่เห็นมีเรือเล็กที่มีคนพายนั้นเขาไม่ได้มาขายอะไรนะครับ แต่เป็นขอทาน สังเกตว่ามีเด็กนอนอยู่ในเรือด้วย สงสารเด็กอ่ะร้อนมากยังต้องมาตากแดดตากลมอีก สงสารคนที่เป็นแม่เหมือนกันท่าจะเหนื่อยเพราะต้องใช้แรงกายพายเรือออกมา ก็อยากจะให้เหมือนกัน แต่อ้ายจันผู้เป็นไกด์บอกว่าไม่ต้องให้ เพราะพวกนี้จะติดนิสัยไม่ทำมาหากินอย่างอื่นเลย ก็เลยไม่มีใครให้สักคน


หลังจากนี้เรือก็วกหัวเรือเพื่อจะกลับกันแล้วครับ ก็เลยขอเก็บภาพความประทับใจของอ่าวฮาลองหน่อยล่ะกัน


อีกมุม


วิถีชีวิตชาวน้ำ


และแล้วในตอนบ่ายของวันนั้นเราก็ต้องจำใจจากอ่าวฮาลอง มรดกโลกทางธรรมชาติ เพื่อเดินทางกลับเข้าสู่นครหลวงฮานอย และเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในวันสุดท้าย รบกวนเพื่อนๆช่วยติดตามตอนต่อภาคจบของทัวร์ครั้งนี้ด้วยนะครับ รับรองว่าเพื่อนๆจะได้เห็นอะไรหลายอย่างที่เพื่อนๆไม่เคยได้เห็นเลยจากเมืองไทยก็ได้ครับ









Create Date : 22 มิถุนายน 2550
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2553 19:56:49 น.
Counter : 3508 Pageviews.

2 comments
เรื่องเล่าที่ไม่เกี่ยวกับวันสงกรานต์ tanjira
(13 เม.ย. 2567 16:10:32 น.)
ระยองฮิสั้น จันทราน็อคเทิร์น
(12 เม.ย. 2567 15:33:48 น.)
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)
คุณปู่ผู้อยู่นิ่งไม่เป็น สวยสุดซอย
(11 เม.ย. 2567 15:42:02 น.)
  
อ่าวฮาลอง ชื่อนี้เคยได้ยินครับ แต่ยังไม่เคยไป

ผมอ่านเพลินและสนุกดี เขียนเก่งจังครับ

ขำด้วย "ความยาวของโถฉี่ยาวแค่หนึ่งกระเบื้องครึ่ง ขอย้ำหนึ่งกระเบื้องครึ่งเล็กมาก (ดูถูกไซส์ของตูไปซะแล้วว 555)" ....โห ยาว หนึ่งกระเบื้องครึ่ง เชียวเหรอ???


ขอให้รักกะแฟนนานๆๆๆๆๆ ขอเชียร์

โดย: yyswim.bloggang.com IP: 203.152.15.3 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:12:42:29 น.
  
อิจฉาจังได้ไปฮาลองเบย์ด้วย เนี่ยอยากไปมากๆเลย ตอนที่ไปเวียตนาม(เมื่อหลายปีมาแล้ว)นั้น มีเที่ยวบินจากฮานอยไปฮาลองแค่อาทิตย์ล่ะครั้ง จะลางานนานๆก็ไม่ได้ เลยชวดชลูขานเถาะไปเลย อิจฉาๆๆ
เพลงหุ่นมือเชิดในน้ำทำให้คิดถึงโชว์ ยอมรับว่าประทับใจมาก
โดย: tuktikmatt วันที่: 10 ธันวาคม 2550 เวลา:18:03:06 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Manchu.BlogGang.com

ปืนแก๊ป
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด