ฤ จะเป็นปมด้อยไปเสียแล้ว เสียงของเด็กน้อยวัย 4 ขวบ ผิวดำ ผมหยิกขอด (นึกถึงภาพคนแอฟริกาเข้าไว้) บอกกับฉันว่า "ฉันปวดอึ....พรรณี" ว่าแล้วเจ้าเด็กน้อยคนนี้ก็วิ่งเข้าไปห้องน้ำ ส่วนฉันก็นั่งพาเด็กคนอื่นๆตัดกระดาษเพื่อทำเป็นรูปสัตว์เพื่อตกแต่ง ในเทศกาลวันเด็กที่จะมาถึงในวันศุกร์นี้ต่อไป
สักพัก.....ก็ได้ยินเสียงลอดจากห้องน้ำว่า พรรณี "ฉันเสร็จแล้ว" และนั่นก็หมายถึงว่าฉันจะต้องไปเช็ดก้นให้เด็ก ซึ่งฉันก็เต็มใจทำ โดยฉันก็ปล่อยให้เพื่อนใหม่อีกคนดูแลเด็กคนอื่นๆไปลำพัง พอเช็ดก้นให้เด็กเสร็จ.....เค้าก็วิ่งจู๊ดไปที่อ่างล้างมือ(ตามปกติ) กำลังคิดว่าเค้าไปล้างมือที่ไหนได้เค้าไปเล่นน้ำ เปิดก๊อกน้ำไว้เมื่อไรก็ไม่รู้ แถมในอ่่างล้างมือก็มีกางเกงใน กับถุงเท้าแช่เล่นในอ่างอีกตะหาก ฉันก็เลยบอกกะเค้าไปว่า "เธอจะเปิดน้ำเล่นแบบนี้ไม่ได้หรอกนะเธอต้องรีบ ใส่เสื้อผ้าแล้วก็ไปใส่ชุดภาคสนามเพื่อออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนๆ" ว่าแล้วฉันก็เดินออกจากห้องน้ำมาเพื่อไปหา....กางเกงในมาเปลี่ยนให้เค้าใหม่ พอฉันกลับเข้ามาที่ห้องน้ำ ภาพที่ฉันเห็นนี่สิ.....? มันช่างสะท้อนความนึกคิดของเด็กน้อยได้เป็นอย่างดีว่า เค้ามีปมด้อยเรื่องสีผิว((((((อย่างเห็นได้ชัด)))))) เค้าวักเอาน้ำในอ่างล้างมือมาเช็ด-ถู...ขาเค้าทีละข้าง ฉันก็พยายามดึงมือเด็กน้อยให้หยุดทำ...แล้วมาใส่กางเกงในตัวใหม่กับฉัน เค้าก็ปัดมือฉันหนีออกไป แล้วก็ไปวักน้ำใส่มือมาลูบขาอีกข้างหนึ่ง ลำดับสุดท้ายคือวักน้ำมาลูบตามเนื้อตัว ปากเจ้าเด็กน้อยก็พร่ำบอกกับฉันว่า" ฉันต้องการล้างขา และตัวของฉัน" จะได้ขาวๆ พอได้ฟังเหตุผลเด็กฉันถึงกับปล่อย...ให้เค้าล้างตัวจนพอใจ เพราะความคิดของเด็กน้อยคนนี้ คิดแค่เพียงว่าอยากมีสีผิวที่เหมือนกับเพื่อนๆ ไม่อยากมีสีผิวดำกระด่าง แบบที่เค้ามี แต่....เค้าไม่รู้เรื่องหรอกว่า สีผิวของเค้ามันก็เป็นสีผิวธรรมชาติตามพันธุกรรม จะล้างจะขัดอย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยนเป็นสีขาวได้หรอก เป็นการยากที่เด็กวัย 4 ขวบจะเข้าใจ เค้าคิดแต่ว่า....ทำไมเค้าถึงมีสีผิวไม่เหมือนคนในครอบครัว หรือแม้แต่เพื่อนๆในห้องเรียน ..แล้วฉันก็เริ่มเข้าใจความคิดเด็กคนนี้ได้เป็นอย่างดีว่า สีผิวเค้ามันเป็นปมด้อยสำหรับเค้าไปแล้ว
เด็กน้อยคนนี้ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องการประชุมที่ พึ่งจัดเสร็จสิ้นการประชุมไปเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง โดยเนื้อหาการประชุม เค้าจะมุ่งประเด็นหลักเกี่ยวกับการดูแล คุ้มครอง อบรม เลี้ยงดู บุตรบุญธรรมในปัจจุบันนี้.... ซึ่งฉันไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยเนื่องจากว่า ฉันเป็นแค่พนักงานที่อำเภอส่งมาทำงานแค่6เดือน แล้วก็ต้องออกไปหางานอื่นทำต่อไป อย่างไรเสียก็ไม่มีทางได้รับการบรรจุ เพราะเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนเดนมาร์กเท่านั้น แต่ฉันได้อ่านใบสูจิบัตรที่เค้าแจกให้พวกครูทุกๆคนว่า จะประชุมกันในเรื่อง"การรับบุตรบุญธรรม"ในเดนมาร์ก เจ้าเด็กน้อยคนนี้ที่เรากล่าวถึงเมื่อข้างต้นก็ เป็นเด็กที่ครอบครัวชาวเดนมาร์กไปรับมาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่เค้าอายุได้ 1 ขวบ แถมเรื่องเจ้าเด็กน้อยคนนี้ยังทำให้นึกถึง.....รายการทางทีวี ในช่วงปีที่ผ่านมาจะออกอากาศบ่อยมาก ออกอากาศบอ่ยจนฉันคิดว่าทางรัฐบาลกำลังจำกัดสิทธิ์เรื่องนี้หรือไรกัน? แต่พึ่งมาถึงบางอ้อว่า....เค้าอยากจะสื่อว่า มีผลเสีย - ดี อย่างไร....เมื่อเด็กต้องเริ่มเข้าสังคมระดับแรกซึ่งนั่นก็คือในโรงเรียนอนุบาล ครูในโรงเรียนจะมีบทบาทที่สำคัญในการดูแลสภาพจิตใจเด็ก เพราะเด็กจะอยู่กับครูมากกว่าพ่อแม่
คนเดนมาร์ก....เป็นประเทศอันดับต้นๆเลยที่ชอบไปรับเด็กผิวดำมาเป็นบุตรบุญธรรม จะพูดไปแล้วเราก็ว่าดีนะ เพราะเป็นการให้ชีวิตใหม่กับเด็ก แต่.....กว่าที่เด็กจะเข้าใจในสิ่งที่เค้าเป็นนี่สิ อาจจะต้องใช้เวลานานมาก ถึงจะเข้าใจเรื่องสีผิว...ของเค้ามากกว่าในตอนนี้ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า...เมื่อเจ้าเด็กน้อยคนนี้โตขึ้นเค้าจะสามารถ ใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่คำนึงถึงเรื่องสีผิวเช่นนี้อีกต่อไป ไม่อยากเห็นเด็กมีปมด้อย....ไปตลอดชีวิตหง่ะ..... อือแต่ว่าไปแล้วนะเชื่อเหอะร้อยทั้งร้อยพวกเด็กผิวดำนี่ พอโตเป็นหนุ่ม..เป็นสาวกันไป คราวนี้คงไม่มานั่งคิดเรื่องสีผิวแล้ว มีแต่จะหาความสุขใส่ตัวกันไป ตามแต่ใครอยากจะทำก็ไม่ปาน เพราะที่เดนมาร์กนี่เน้นเรื่อง ฟรีด้อม....มาก
ตอนเด็กๆ โดนล้อเกี่ยวกับสีผิวประจำ ยังเคยบอกให้แม่ต้มน้ำร้อนให้อาบเลยนะ เพราะอยากขาวเหมือนคนอื่น เข้าใจเลยอ่ะว่าความรู้สึกนั้นมันแย่แค่ไหน
โดย: คนผิวเข้ม IP: 118.174.46.50 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:12:52:08 น.
|
บทความทั้งหมด |
เค้าก็คงคิดตามประสาเด็ก อยากผิวเหมือนเพื่อน ๆ
หวังว่าโตขึ้นคงไม่โดนกีดกันเรื่องสีผิวนะคะ
พวกฝรั่งนี่ก็ปากว่าตาขยิบเยอะเลยค่ะ