คุโรซาว่า และ การดวลดาบครั้งแรกของฉัน ![]() After the Rain (Ame Agaru 1998) ----------------------------------------------------------- >**หมายเหตุ** ความจริงเรื่องนี้เขียนนานแล้ว แต่โพสต์ไว้บล๊อกภาษาอังกฤษอันเก่าแก่----------------------------------------------------------- เมื่อคืนวานนี้เพิ่งดูหนังเรื่องนี้จบ เซนเซให้ยืมมาดู บอกว่าดีกว่า Last Samurai มาก แต่ไม่ได้บอกว่าดีกว่ายังไง ให้เรามาคิดเอง พอมาดูแล้วก็ชอบจริง ๆ ด้วย มันคนละอารมณ์กับ Last Samurai นะ คงเพราะเป็นคนญี่ปุ่นทำนั่นเอง และไม่ใช่คนญี่ปุ่นธรรมดา ๆ เสียด้วย แต่เป็นถึงระดับ Kurosawa เป็นคนเขียนบท และมือขวาของเขาเป็นคนกำกับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่ Kurosawa เขียนบทก่อนจากไป ที่ว่าหนังดีนั้น เอาในแง่ทั่วไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าเรียนดาบซามูไรแล้วก็จะจ้องดูแต่เรื่องกระบวนท่า เพลงดาบ วิทยายุทธ อะไรไปนั่น จริง ๆ แล้วเรื่องนี้สอนเรื่องจิตใจของมนุษย์นะ สอนว่าซามูไรที่แท้จริงแล้วต้องเป็นอย่างไรต่างหาก เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างพระเอกนี่แหละ นั่นก็คือ มีชีวิตเรียบง่าย สมถะมากที่สุด มีจิตใจดี ไม่เสแสร้ง ไม่เก๊ก มีความเมตตา มีความอ่อนโยนต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยกว่า เป็นทุกข์กว่าเขา จนทุกคนสัมผัสได้ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง ว่างั้น เป็นแบบ unpretentious ด้วย คือ ไม่ได้หวังผลตอบแทน ไม่ได้มีความหวังที่ยิ่งใหญ่อะไร เพราะชีวิตเขาเรียบง่ายจริง ๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ มุ่งฝึกพัฒนาจิตใจตน อีกทั้งยังเป็นสามีที่ดี มีความเอื้ออาทรห่วงใย ดูแล เกรงใจ ให้เกียรติภรรยา อะไรจะเป็นคนเพอร์เฝ็คท์ขนาดนั้น ในโลกนี้ยังมีคนดีอย่างนี้อีกหรือ แน่นอน ระดับ Kurosawa แล้ว จึงสามารถเขียนบทสอดแทรกจุดด้อยของมนุษย์แต่ละคนลงไปได้อย่างกลมกลืน อย่างในเรื่องนี้จะเรียกว่าพระเอกเป็นคนดีเกินไปก็ได้ ขี้เกรงใจเกินไปก็ได้ หรือว่าโชคชะตาไม่ค่อยเข้าข้างก็ได้ ฝนฟ้าไม่เป็นใจ แดดออกเร็วเกินไปไม่เป็นใจก็ได้ แล้วแต่จะมอง แถมยังขมวดปมจบดื้อ ๆ แบบไม่จำเป็นต้องตอบข้อสงสัยทุกข้อที่ค้างอยู่ในใจคนดูอีกด้วย เท่มาก Kurosawa เท่จริง ๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่สะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจพระเอก กับนางเอกได้เป็นอย่างดี คือเขามีความสุขของเขาอย่างนั้นอยู่แล้วน่ะ การขมวดปมจบอย่างนั้น ถ้าคนดูตั้งสติดี ๆ ก็จะรู้ตัวเหมือนกันนะว่า ตัวเองกำลังใช้มาตรฐานของตัวเอง (ซึ่งถ้ายอมรับความจริงแล้วจะพบว่ามันไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป หรือดีเสมอไป) ไปคาดหวัง หรือตัดสินให้กับชีวิตคนอื่น ซึ่งในที่นี้ คือชีวิตพระเอก แต่ความจริงพระเอก หรือ Kurosawa กำลังสอนเราต่างหากว่า สิ่งที่สำคัญที่แท้จริงที่สุดของชีวิต อาจหาใช่เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง ตำแหน่งใหญ่โต อะไรไม่ หากคือ ความสุขเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ การเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างสมดุลย์ ความสุขสงบทางจิตวิญญาณ ความปลอดโปร่งของจิตใจที่อิสระ ที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการของกิเลสตัณหาทั้งมวล คือความกล้าหาญที่จะก้าวเดินออกไปเผชิญโลกกว้างข้างหน้าอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว โดยไม่พะวงเหลียวหลังกลับมา นั่นแหละ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะทำให้ได้ ครั้งหนึ่งชีวิต นั่น ยกให้ Kurosawa คนนึง เท่เสียไม่มี นี่ยังไม่นับฉากที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับดาบเลยนะนี่ เพราะว่าในฐานะคนที่เรียนการใช้ดาบซามูไรมาได้ปีนึงพอดีเลยนี่ ข้าพเจ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจมาก โดยเฉพาะฉากที่พระเอกไปประลองฝีมือเพื่อทดสอบว่ามีคุณสมบัติสมควรได้เป็นอาจารย์ดาบของเจ้าแคว้นหรือเปล่านั้น ต้องแอบถอยหลังไปดูถึงสองสามรอบ เพราะรู้สึกว่าคล้ายที่เซนเซสอนมาก ๆ และอาจเจอกับตัวเองในอนาคตตอนเรียน พระเอกเล่นได้เนียนมาก วันนี้ตอนเรียนเสร็จก็เลยถามเซนเซว่า พระเอกเป็นนักดาบจริง ๆ หรือเปล่า เซนเซบอกว่า จริง ๆ แล้วเป็นนักแสดง แต่ Kurosawa บอกว่า ถ้าอยากเล่นเรื่องนี้ ให้ไปหัดดาบมาก่อน สองปี เขาก็ยอม เพราะเขาสนใจอยู่แล้ว โห...สุดยอด นักแสดงญี่ปุ่น อย่างนี้สิถึงเรียกว่า ทุ่มสุดตัว มิน่า ฉากประลองนี้สิ่งแรกที่เราสะดุดตาคือ พลังจากสายตาเขาเลย ถ้าเขาสามารถส่งพลังออกมานอกจอได้ขนาดนี้น่ะ เราว่าไม่ธรรมดา ทำให้เรานึกถึงที่เคยอ่านเรื่อง มูซาชิ เพราะสายตาเขาประมาณนั้นจริง ๆ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่นมุมกล้อง หรือ ใช้เสียงเร้าใจอะไรช่วยแบบฮอลลีวู้ดเลย ถ่ายดิบ ๆ นี่แหละ เหมือนสุด เพราะฉะนั้น สายตาที่มีพลังแรง แวววาว ดุดันมาก ๆ นี่ มันส่งออกมาได้จริง ๆ นะ เราเข้าใจเลยว่า ที่มูซาชิฝึกนั้น มันออกมาได้ผลจริง ๆ ยังไง ไม่ต้องอะไรเลย ขนาดเซนเซเรา จิก สายตาตอนถ่ายรูปให้สัมภาษณ์ลง จีเอ็ม ตอนนั้นน่ะ ยังทำเพื่อนเราที่ไม่รู้จักบอกว่าเห็นแล้วกลัวแทบแย่เลย นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวตัวตั้งแต่ยังไม่ออกดาบของพระเอกนี้ก็ธรรมชาติมาก รู้เลยว่าฝึกมาเองดี ไม่ต้องมีสตั๊นท์ เห็นแล้วนึกถึงที่เซนเซสอน เรื่องการเคลื่อนไหวจากท้อง เกี่ยวกับกำลังภายในแบบญี่ปุ่นน่ะ แต่ไม่สามารถเขียนอธิบายยาวในนี้ได้ เพราะเป็นความลับของสำนัก แหะ ๆ ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาว่า ฮึ้ย ๆ เขาทำอย่างที่เซนเซสอนด้วย แล้วดูวิธีที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ดาบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ชักดาบ ถ้าไม่จำเป็น ว่างั้น ก็ยิ่งตรงกับนโยบาย เอ๊ย แนวคิดของสำนักเราอีกด้วย ก็เลยทำให้สงสัยว่า เอ๊...ตกลงซามูไรญี่ปุ่นนี้เหมือนกันทุกสำนักเลยหรือเปล่าหนอ ว่าแล้วเดี๋ยวต้องจดลิสต์คำถามไปถามเซนเซหนหน้าเลยดีกว่า วันนี้ไม่มีเวลาถาม เพราะต้องมีคลาสของเด็กต่ออีก วันนี้เซนเซสอนเทคนิคตอนเก็บดาบตอนจบการฟันท่านี้ให้เราใหม่ เพราะบอกว่าท่าเรายังทำอันตรายเกินไป (คืออาจบาดมือตัวเองได้นั่นเอง แหะ ๆ) ฉากประลองที่วังเจ้าแคว้นด้วยดาบไม้ เป็นการสู้กันที่ใจ ไม่ใช่ที่ร่างกาย ความจริงวันนี้ตั้งใจจะยกเอาหนังเรื่องนี้มาเกริ่นนำนิดหน่อยเพื่อจะเล่าเรื่องการเรียนดาบ ไหงปรากฏว่าออกมายาวอย่างนี้ได้ เพราะความจริงวันนี้สิ่งที่อยากเล่ามากกว่าคือ รู้สึกว่าเป็นวันที่เรียกได้ว่าเป็น milestone ในการเรียนของเราก็ว่าได้ มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักหนาหรอก แต่ว่าเริ่มตั้งแต่เรียน Chanbara แล้ว ที่เซนเซลงทุนใส่หน้ากากมาต่อแถวกับเด็ก ๆ เพื่อมาซ้อมคู่กับเรา แค่นี้เราก็ซาบซึ้งและปลาบปลื้ม ยินดี ดีใจ รู้สึกเป็นเกียรติจะแย่แล้ว เพราะตลอดปีที่ผ่านมา เซนเซไม่เคยลงมาเล่นคู่กับเราเลย ถึงแม้เซนเซจะฟาดเราเสียงสนั่นจนพวกแม่ ๆ ที่มานั่งดูลูกเล่นคงจะสะดุ้งกันไปหมด แต่เรากลับดีใจที่ได้เรียนเทคนิคต่าง ๆ โดยตรง (หมายถึงโดยการโดนฟาดโดยตรง เพราะมันจะเข้าใจและเห็นมุมมองต่างกัน) สรุปว่าชอบมาก พยายามตั้งใจจำท่าและเลียนแบบท่าของเซนเซแทบตายแต่ก็ไม่ทันเพราะไม่รู้จะมองอะไร เซนเซไวมาก และเราต้องพยายามนึกถึงหลัก Mushin อยู่เสมอ รวมถึงที่เซนเซชอบสอนเด็ก ๆ ว่าให้ มองกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง แต่ที่เจ๋งยิ่งไปกว่านั้น คือพอเด็ก ๆ เรียนเสร็จ เซนเซถามว่า มีเวลาอีกไหม เราบอกว่ามี เซนเซบอกว่าให้ใส่หน้ากาก โห....ดีใจสุด ๆ เพราะว่าเซนเซมาซ้อมคู่ให้!!!!! ตอนแรกก็ซ้อมแบบอิสระ ไม่จำกัดพื้นที่ แต่ไม่นานเราก็หอบอยู่ในหน้ากากนี่แหละ เซนเซคงจะเห็นว่าไม่ได้การล่ะมั้ง ก็เปลี่ยนกฏใหม่ให้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น โดยให้ถอยไปมาได้ไม่เกินสองก้าว ทีนี้ล่ะ คุณเอ๋ย โดนน่วมเลยข้าพเจ้า แต่เซนเซก็ยังนับว่าใจดีมีเมตตาเหมือนพระเอกหนังของ Kurosawa มาก นั่นก็คือ อย่างเก่งก็ตีช่วงมือและแขน แต่มีอยู่เหมือนกันตอนระหว่างคลาส หรือตอนซ้อมคู่แบบอิสระก็ไม่รู้ คิดว่าโดนตีหัวแบบจัง ๆ นี่ หัวสั่น หัวคลอนเหมือนกันนะ ถึงแม้จะมีหน้ากากก็เถอะ เพราะเซนเซฟาดแบบเก็บคะแนนน่ะ คือฟาดแบบสะบัดทั้งแขนดังเปรี้ยง คือความจริงถ้าตอนนั้นไม่ได้ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมให้เด็กเล็กทั้งแถวที่ต่อแถวเรียงเหมือนงูกินหางมาสู้กับเราทีละคนแล้ว เราคงอยากลงไปนอนวัดพื้นตรงแทบเท้าเซนเซแล้วล่ะ แต่มันลงไปนอนไม่ได้ เลยเดินเป๋ไปมา แป๊บนึง เซนเซหัวเราะฮ่า ๆ ๆ อย่างอารมณ์ดี คงจะขำในความโง่ของเราที่เอาหัวไปรับดาบ แต่มือนี่น่ะ มือข้าพเจ้าตอนนี้ ไม่อยากเชื่อเลย ว่าคำว่า ช้ำใน มันจะเจ็บได้ขนาดนี้ เพราะก่อนแยกย้ายกลับ เซนเซถามว่า เจ็บไหม ถ้าเจ็บ ให้เอาน้ำแข็งประคบนะ ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเจ็บ มันก็ดูแดง ๆ นิดหน่อยแค่นั้น ก็บอกเซนเซว่า ไม่เจ็บ ตอนสมัยเรียนเทควันโด เจ็บกว่านี้ โห...พอกลับบ้านเท่านั้นแหละ อยู่เฉย ๆ ไม่รู้นะ แต่เผลอเอาหลังมือข้างที่จับดาบไปดันปิดลิ้นชักเท่านั้นแหละ ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นเลย เฮ้ย...ทำไมมันเจ็บอย่างนี้ล่ะ???? ยกมือขึ้นมาดูก็ไม่เห็นมันมีอะไรผิดปกติเลยนะ แต่แตะไม่ได้เลยนะ แตะแล้วสะดุ้งโหยงเลย ตายแน่ ๆ ชักจะเริ่มกลัวว่าคืนนี้หัวถึงหมอนแล้วจะสะดุ้งไหมเนี่ย ฮือ ตกลงวันนี้เราโดนเซนเซฟาดโดนอะไรไปมั่งเนี่ย แล้วมันจะช้ำในไปกี่จุดนะเนี่ย สงสัยพรุ่งนี้คงต้องทั้งกิน ทั้งทา และทั้งอาบ น้ำใบบัวบก ฮี่ ๆ ๆ อ้อ วันนี้เซนเซสอนท่าศิลปป้องกันตัว มือเปล่าของซามูไรเพิ่มอีกสองสามท่า และก็เหมือนเคย ตอนที่สาธิตให้ดู เซนเซบอกว่า ถ้าเจ็บก็บอก ทุกทีเป็นท่านั่ง ซึ่งจากท่านั่งถ้าเซนเซจับพลิกมือเราบิดลงไปนอนจังหวะเดียวถ้าเราล้มตัวทัน หรือ ล้มเป็น หรือเซนเซยึดไว้ทันมันก็ไม่เจ็บมากใช่ไหม แต่วันนี้มันดันเป็นจากท่ายืน แล้วเซนเซนึกสนุกยังไงไม่ทราบ เล่นแรง วันนี้เล่นเร็ว จังหวะเดียวเลย เราเลยลงพรวดเดียวเลยไม่มีเวลาบอกเซนเซเลยว่าเจ็บ คือยืนจับข้อมือเซนเซอยู่ดี ๆ รู้ตัวอีกทีนอนตาเหลือกแก้มติดพื้นดิ้นกระแด่ว ๆ ด้วยความเจ็บข้อมือร้องโอ๊ย ๆ แล้ว เซนเซก็ไม่ว่าอะไร หัวเราะอีกตามเคยก่อนจะดึงเราขึ้นมาแล้วให้ลองทำเซนเซบ้าง ซึ่งก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลพอใช้ กว่าจะทำเป็น แต่พอทำเป็นแล้วชักจะสนุก จนเซนเซบอกว่าช่วยออกแรงดึงมือให้สูงกว่านี้หน่อยก่อนที่จะพลิกมือกดเซนเซลงไปนอน เพราะว่าถ้าเราทิ้งมือต่ำไป(เหมือนทำกับผู้ร้ายจริง ๆ) และทำเร็วด้วย หัวเซนเซจะกระแทกพื้น อันตราย เลยต้องออกแรงดึงช่วยเซนเซจังหวะสุดท้ายก่อนหัวกระแทก อารมณ์คล้าย ๆ บังจี้ จั๊มปิ้ง ว่าแล้วสมควรไปเตรียมตัวทำสมาธิก่อนนอน หมู่นี้ได้นั่งสมาธิบ่อย ดีจัง รู้สึกว่ามีผลทั้งกับการทำวิทยานิพนธ์ และกับการเรียนดาบด้วย วันนี้จบแค่นี้จ้า Oyasuminasai ฉากนี้เด็กเล็กควรปิดตา ซามูไรธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีน้ำใจงดงาม ขอบคุณค่ะ คุณเมฆครึ่งฟ้า ที่แวะมา ได้แวะไปตอบที่บล็อกแล้วนะคะ (บล็อกสวยมาก ๆ ค่ะ)
Kurosawa นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีความเป็นญี่ปุ่นสูงมากน่ะค่ะ คือทำอะไรก็แฝงไปด้วยปรัชญาและความสวยงามแบบ aesthethics เสมอ เชื่อว่าคุณเมฆครึ่งฟ้าคงเห็นด้วย ตัวเองพอได้มาคลุกคลีอยู่กับเซนเซที่สอนดาบซามูไรนี่ ก็อดทึ่งไม่ได้ค่ะ เพราะว่าแตกต่างจากการเรียนเทควันโดสมัยเด็ก ๆ ลิบลับเลยค่ะ ยิ่งเรียนยิ่งเจอแต่ปรัชญาเซน และอะไรที่สวยงาม poetic มาก ๆ ออกจะโรแมนติคด้วยซ้ำไป พวกซามูไรนี่เขามีจิตใจที่อ่อนโยนมากกว่าที่คนคิดเยอะนะคะ ถ้าศึกษาบูชิโดจริง ๆ แล้วจะทราบ แต่คนส่วนใหญ่จะไม่ทราบ นี่ล่ะค่ะที่เป็นปัญหา สงครามโลกนั้นเกิดเพราะโลกตะวันตกเข้าไปในญี่ปุ่นแล้วบังคับให้เลิกยุคของซามูไรไปต่างหากล่ะ นั่นล่ะปัญหาใหญ่ เมื่อบูชิโดไม่ได้รับการถ่ายทอดมาอย่างถูกต้อง มันก็เหมือนเอาควายป่าที่ไม่ได้ฝึกขึ้นมาครองอำนาจนั่นแหละค่ะ เรื่องของเรื่อง สมัยก่อนซามูไรน่ะอยู่กับวัด อยู่กับพระ นั่งสมาธิ ชีวิตเรียบง่ายมาก ๆ ตำราโบราณสอนไว้ว่า หน้าที่ซามูไรคือรับใช้เจ้านายและพ่อแม่ตัวเอง เสร็จจากนั้นก็ให้มานั่งสมาธิ เจริญมรณานุสติของตัวเอง จะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ทำนองนั้นน่ะค่ะ โห...อย่างกับพระ ดีจัง พอฝรั่งเข้ามา ก็น่าเสียดายแท้ ๆ ญี่ปุ่นไม่น่าทิ้งอะไรดี ๆ ตรงนั้นของประเทศตัวเองไปเลย แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างในโลกย่อมมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา โดย: kenzen (kenzen
![]() แวะมาอ่านครับ ได้ความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นดี ผมก็ชอบคุโรซาวาเหมือนกัน
![]() โดย: Johann sebastian Bach
![]() ![]() |
ผมเองชอบตั้งแต่เรื่อง เจ็ดเซียนซามูไรแล้ว
สุดยอด
และหนัง ยุคหลัง จะให้อะไรกับคนที่ดู
เหมือนกับว่ากลืนกินเป็นหนึ่งเดียว
เพื่อสะท้อนตัวตนของชีวิตออกมา
After the Rain
แม้คุโรซาว่าจะถอยออกมาห่างห่าง
แต่ก็ยังมีกลิ่อิทธิพลมาครอบงำตัวหนังอยู่ดีนะครับ