ความอ่อนกลยุทธ์ของนักการเมือง พูดตามจริงแล้วผมเป็นคนสนใจเรื่องการเมือง แต่ที่ไม่อยากพูดมากไป เพราะจะไปเกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น และผมก็ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดแบบถวายชีวิต ฉะนั้นผมจึงมองการเมืองเป็นระยะ แม้ช่วงหลังนี้จะไม่ได้ติดตามมาก เพราะคิดว่าไม่เกิดประโยชน์โภชผลอันใด วิจารณ์-คิดเรื่องใหญ่เกินตัวเกินไป ก็ไม่ได้อะไร คิดและทำในสิ่งที่เราทำได้ ณ วันนี้ดีกว่า แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ยังไม่จัดเจนการใช้กลยุทธ์ ส่วนใหญ่เป็นการเน้นไปที่การเล่นการเมือง(ประเภทสกัดขาคู่แข่งมากกว่า) ขาดภาพยุทธศาสตร์ระยะยาว แท้จริงแล้วนักบริหารที่ดีควรจะเข้าใจภาพกลยุทธ์การบริหารในหลายๆ ด้าน ทั้งการบริหารงาน บริหารคน กลยุทธ์การรบ ซึ่งสามารถอิงตำราพิชัยสงครามเป็นพื้นฐาน แล้วต้องประยุกต์ใช้เป็น นักยุทธศาสตร์ที่ไม่สนใจตำราพิชัยสงคราม ย่อมไม่เป็นนักบริหารที่ดี เหมือนคนที่ทำงานดีทำงานเป็น แต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จบรรลุเป้าหมายได้ การศึกษาแผนยุทธศาสตร์มหาภาคแล้วค่อยไล่เรียงไปจนถึงจุลภาคจึงเป็นงานที่ต้องทำก่อนทำงานการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่หวังเข้าไปอยู่ในระดับแกนนำของพรรคต่างๆ ความอ่อนด้อยทางกลยุทธ์ทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ยอมยุบพรรคตัวเอง หรือกลุ่มตัวเอง เพื่อไปสังกัดพรรคใหญ่ที่กำลังเข้มแข็ง โดยหวังว่าจะได้ไปเติบโตที่นั่นแทน แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อกองกำลังถูกสลายแล้ว หัวหน้าเก่านั้นก็ถูกดองในพรรคใหม่และหมดอำนาจบารมีไปโดยปริยาย คนอ่อนแอ ไหนเลยจะมีคนศรัทธาต่อไป หลงเชื่อคนที่ขาดความน่าเชื่อถือ ที่ทำผิดสัตยาบรรณมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยหวังว่าครั้งนี้เขาจะกลับใจ แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนเดิม อยากโค่นฝ่ายตรงข้ามโดยขาดกลยุทธ์ และพิจารณาตนเอง การโค่นฝ่ายตรงข้ามลงไป แล้วตัวเองขึ้นไปอยู่บนเวทีโดยขาดความพร้อม บางทีก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวเองมากกว่า การออกรบต้องรู้สถานการณ์เอื้ออำนวยหรือไม่ การอดทนรอคอยเพื่อการรบที่เข้มแข็งเพียงครั้งเดียวอาจพลิกโฉมหน้าของเกมได้ ยิ่งการพยายามฆ่าฝ่ายตรงข้ามแล้วไม่ตาย จนกลับมาเป็นฝ่ายเอาคืนในภายหลัง ก็เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายพยายามทำกัน การให้อำนาจแก่คนที่รู้ว่าในระยะยาวแล้วตนไม่สามารถควบคุมได้ ก็คือ การที่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าบดบังภาพใหญ่และภาพระยะยาว การรบโดยการมุ่งประเด็นที่การโค่นฝ่ายตรงข้าม ทั้งๆ ที่แท้ที่จริงแล้ว การเมืองนั้น ในมุมหนึ่งแล้วคือการแย่งชิงพื้นที่ ซึ่งหมายถึงการพยายามครอบครองจิตใจของประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะที่สำคัญคือ พื้นที่ยุทธศาสตร์ พรรคที่กระแสตก แต่กลับพยายามโจมตีพรรคที่กระแสขึ้นเท่ากับเป็นการทำลายตัวเอง พรรคที่ใช้กลยุทธ์โอบล้อมยึดพื้นที่จากภายนอก แต่กลับต้องพ่ายแพ้เพราะไม่สามารถยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ (สังเกตดูว่า หลายครั้งที่คะแนนเสียงจากคนในต่างจังหวัดชนะ แต่บางรัฐบาลถูกล้มโดยคนกรุงเทพฯ เพราะในทางรัฐศาสตร์แล้ว แต่ละพื้นที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน) แม้ชนะจากพื้นที่ภายนอกมา เมื่อเข้ามาบริหารก็ต้องรีบเอาชนะใจคนกรุงให้ได้ จึงจะบริหารได้ยาวๆ เกมการเมืองพื้นฐานจึงเป็นการแข่งกันครอบครองใจคนให้ได้มากที่สุด ลดฝ่ายต่อต้านให้น้อยที่สุด หากพื้นที่ที่ครอบครองไม่แน่น การบริหารประเทศก็จะเป็นไปได้ยาก ผู้นำที่สร้างศัตรูมากๆ จึงเท่ากับสร้างการบ่อนทำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ผลของการวางหมากทางกลยุทธ์มาแล้วทั้งหมดว่า ผิดพลาด ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนอะไร จนอาจเรียกได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์เบื้องต้นเท่านั้น และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ การเมืองบ้านเราไม่นิ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะแต่ละพรรคล้วนขาดการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว แต่เน้นไปที่แผนระยะสั้น เอาชนะระยะสั้น ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน การเมืองที่มีการวางหมากไว้อย่างดีจะนิ่งมาก เพราะผู้ชนะคือผู้วางแผนไว้อย่างดีที่สุด และตามหลักยุทธศาสตร์แล้ว ผู้ชนะที่เข้มแข็งอยู่ และไม่เปิดช่องหรือเพรี่ยงพร้ำเอง ฝ่ายตรงข้ามก็ยากที่จะเอาชนะได้ เหมือนเช่น ในสงครามสามก๊ก ที่โจโฉปกครองวุยก๊กไว้ได้อย่างเข้มแข็งและดีที่สุด แม้ทั้งสามก๊กจะตรึงกำลังกันอยู่อย่างนั้นและไม่อาจเอาชนะได้เด็ดขาด แต่หากเป็นในทางการเมืองปัจจุบัน พรรคที่เป็นพรรคใหญ่สุดตลอดกาลเช่นนี้ ก็จะปกครองประเทศได้ยาวๆ และยิ่งปกครองก็ยิ่งมีโอกาสได้แสดงผลงานที่ดีออกมา ก็จะยิ่งอยู่ได้ยาวๆ ไปอีก สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เพราะประเทศใกล้บ้านเราอย่างมาเลเซียและ สิงคโปร์ก็ถูกปกครองและบริหารโดยพรรคๆ เดียวเป็นระยะเวลายาวนานหลายสิบปี นี่ไม่นับรวมการปกครองในแบบกึ่งเผด็จการอย่างซูฮาโตในอินโดนีเซีย หรือมากอสในฟิลิปปินส์นะครับ นักการเมืองบ้านเรา ดูไปแล้วจึงยังอ่อนด้านยุทธศาสตร์การเมืองมากๆ ครับ พูดเรื่องการเมืองแล้วก็อย่าเครียดนะครับ จับเอาเฉพาะประเด็นทางความคิด อย่าฝักใฝ่ฝ่ายใดมากเกินไป ก็จะมองเห็นจุดดีและจุดอ่อนของแต่ละพรรค เอียงมากเกินไปภาพมันก็จะไม่ชัดเจนครับ ผมเคยเห็นบางคนที่วางตัวเป็นนักยุทธศาสตร์ แต่ด้วยความเอนเอียงทางการเมือง ขนาดฝ่ายที่ตนเองเพรี่ยงพร้ำ ก็ยังไม่เคยวิเคราะห์ว่าผิดพลาดเพราะอะไร กลับไปโทษการจ้องโจมตีของอีกฝ่าย ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาของฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กัน ดี-ชั่วบางครั้งยากตัดสิน เถียงกันไปก็ไม่จบ แต่วางแผนดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่งในด้านยุทธศาสตร์ เราดูที่ผลของเกมหรือสงครามที่เรามองเห็นได้ครับ |
ขอบคุณครับ