หัวใจในม่านหมอกที่แม่เมย (จ.ตาก) ในสายตาของแม่มักหยุดเวลาผมไว้เหมือนยังเป็นเจ้าตัวน้อยของแม่เสมอ แต่ในสายตาของผมกลับเห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่ทุกวัน แม่เคลื่อนไหวช้าลงไม่กระฉับกระเฉง ร่างกายก็ดูอ่อนแรงไปกว่าเมื่อก่อนมาก บ่นเจ็บนั่นปวดนี่อยู่บ่อยๆ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนที่วันวัยล่วงเลยเข้าสู่เลขเจ็ด บางทีผมก็อดน้ำตาคลอไม่ได้ที่เหลือบไปเห็นร่องรอยเหี่ยวย่นบนสองมือแม่ ซึ่งบ่งบอกว่าได้ผ่านการต่อสู้บนโลกใบนี้มาอย่างยาวนาน และส่วนหนึ่งของร่องรอยเหล่านั้นก็เกิดจากการเลี้ยงดูอุ้มชูผมให้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่รู้ว่าแม่จะอยู่กับผมได้อีกนานเท่าไหร่ รู้แค่ว่าทุกวินาทีต่อจากนี้ผมขอทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ได้มีความสุขที่สุดในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เวลาผมไปเที่ยวไหนก็อยากพาแม่ไปเปลี่ยนบรรยากาศจากชีวิตซ้ำซากจำเจบ้าง แต่ติดตรงแม่เป็นคนชวนยากข้ออ้างเยอะ เดี๋ยวฝนตกแดดออก ห่วงบ้าน ห่วงต้นไม้ ห่วงไปสารพัด แต่ผมรู้วิธีที่จะทำให้แม่จัดกระเป๋าแทบไม่ทัน แค่บอกแม่ว่า “ทริปนี้ผมจะไปคนเดียว” เท่านั้นแหละ! การเดินทางยาวนานเกือบ 1 สัปดาห์ของสองแม่ลูกบนเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามขอบตะเข็บชายแดนไทยพม่า ไล่ตั้งแต่จังหวัดตากลากยาวขึ้นไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็เริ่มต้นขึ้น เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายเลยกับการเดินทางไกลไปกับแม่ที่ขึ้นชื่อเรื่องอยู่ยากกินยาก ไม่ยอมทนความลำบากแน่นอน! ดังนั้นผมจึงต้องพิถีพิถันทุกขั้นตอน ด้วยการวางแผนให้ทุกคืนต้องได้นอนตามเมืองที่มีรีสอร์ทหรือโรงแรมดีๆ มีอาหารน้ำท่าบริบูรณ์ แต่ดันมีอยู่หนึ่งคืนที่มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ต้องไปนอนค้างที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย ในเขตอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เพื่อจะได้ขึ้นไปชมทะเลหมอกในตอนเช้า ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่จะมากางเต็นท์นอนกันบริเวณจุดชมวิว แต่แม่ออกตัวแรงไว้ก่อนแล้วว่า ไม่ยอมนอนเต็นท์เด็ดขาด! ผมจึงจองบ้านพักอุทยานไว้ ซึ่งไม่รู้เว็บเค้าเป็นอะไรจองยากจองเย็นเสียเหลือเกิน กว่าจะได้รับการคอนเฟิร์มก็ต้องลุ้นจนเกือบถึงวันใกล้ออกเดินทาง แต่ถึงจะจองได้ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าบ้านพักจะอยู่ในสภาพไหน!? รู้แค่ว่าไม่มีแอร์ ไม่มีร้านอาหาร ต้องเตรียมเสบียงไปกินเอง แต่หากข้อมูลไม่ผิดพลาดน่าจะมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ตรงบริเวณปากทางแยกก่อนขึ้นเขามายังตัวอุทยานฯ เหมือนทุกอย่างจะลงตัว แต่ผมเกิดอาการกลัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อแม่บอกว่าจะไม่กินข้าวกล่องต่างถิ่น เพราะกลัวสกปรก! ขอเอาหม้อข้าวไปหุงกินเอง! ครับ! เอาก็เอา! เราขับรถไปเองอยากขนอะไรขนไปเลย! เกือบสี่โมงเย็นผมเลี้ยวขวาออกจากทางหลวงสายหลัก 105 มุ่งหน้าขึ้นเขาไปอีกประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ก็มาถึงยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่เมย ที่ตกแต่งภูมิทัศน์โดยรอบไว้อย่างสวยงามน่าอยู่ บ้านพักก็ดูดีกว่าที่คิด มี 2 ห้องนอน ห้องน้ำในตัว แม้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ แม้กระทั่งปลั๊กไฟ แต่ผมก็อุ่นใจ เพราะแม่บอกว่าแค่นี้อยู่ได้สบาย อุทยานเปิดปิดไฟเป็นเวลาตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม หากจะชาร์จแบตหรือหาปลั๊กเสียบหม้อหุงข้าวก็ไปขอพี่เจ้าหน้าที่อุทยานได้ มีตรงป้อมกับในโรงครัว ผมบอกแม่พรุ่งนี้ต้องตื่นตีห้าจะพาขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ม่อนครูบาใส ม่อนพูนสุดา และม่อนกิ่วลม ซึ่งคำว่า “ม่อน” ก็คือ “เนินเขา” นั่นเอง ตีห้ารอบตัวผมมืดสนิท ไม่มีใครเลย มีเพียงแสงไฟจากรถของผมที่ขับฝ่าความมืดมุ่งหน้าขึ้นไปยังจุดชมวิวม่อนกิ่วลม ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 12 กิโลเมตร โดยเป็นจุดชมวิวที่อยู่ไกลที่สุด แต่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้วย เส้นทางคดเคี้ยวไปตามถนนลาดยางที่ไม่ได้สูงชันเท่าไหร่ ผมจึงใช้เวลาไม่นานนักก็มาจอดรถอยู่ตรงบริเวณลานหญ้าข้างจุดชมวิวม่อนกิ่วลม ฟ้ายังมืด แต่พอเริ่มจะมองเห็นอะไรบ้างแล้ว ผมคว้ากล้องเดินขึ้นไปตามบันไดดินฝ่าสายหมอกจางๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว ขึ้นมาบนจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวกางเต็นท์กันเป็นครอบครัวอยู่ 3-4 หลัง แล้วภาพเบื้องหน้าก็เผยให้เห็นทัศนียภาพของทะเลหมอกตระการตา ที่เหมือนมีใครเอาสำลีมาอุดไว้เป็นปุยขาวอยู่เต็มหุบเขา ไม่กี่นาทีถัดมาท้องฟ้าก็ค่อยๆ ถูกแต่งแต้มด้วยแสงแดงส้มจากทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ช่างเป็นภาพที่งดงามจับใจ ผมยืนเสพบรรยากาศอยู่พักใหญ่จนฟ้าเริ่มสว่าง จึงตัดสินใจขับรถย้อนกลับไปยังจุดชมวิวม่อนพูนสุดาและม่อนครูบาใส ระหว่างทางก็แวะชมน้ำตกแม่ระเมิง ซึ่งเป็นน้ำตกเล็กๆ แต่ก็มีความสวยงาม โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ตัวน้ำตกเข้าถึงง่ายมาก เพราะตั้งอยู่ริมถนนเลย แต่เวลาจอดรถต้องแอบๆ บนไหล่ทางหน่อย เพราะเป็นช่วงทางโค้งลงเขาพอดี ม่อนพูนสุดาและม่อนครูบาใส อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 6 กิโลเมตร ม่อนพูนสุดาจะมีจุดชมวิวอยู่ 2 จุดด้วยกัน คือบริเวณริมถนน กับอีกจุดต้องเดินเท้าต่อเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินเขายื่นเด่นออกไป สามารถชมทัศนียภาพมุมกว้างได้ 180 องศา และยังสามารถมองเห็นม่อนครูบาใสได้อย่างชัดเจนอีกด้วย เพราะสองม่อนนี้อยู่ห่างกันแค่ 200 เมตรเท่านั้นเอง เจ็ดโมงเช้าสายหมอกยังคงอัดแน่นอยู่เต็มหุบเขา ขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่บริเวณม่อนครูบาใส ในใจก็พลันนึกถึงแม่ขึ้นมา เสียดายที่แม่เลือกรออยู่ที่บ้านพัก ไม่ได้ขึ้นมาชื่นชมธรรมชาติกับผมด้วย เพราะหัวใจของอุทยานแห่งชาติแม่เมย คือการได้มาชมทะเลหมอก แต่ทันทีที่ผมกลับไปถึงบ้านพัก แม่ได้เตรียมอาหารเช้ารอผมไว้พร้อมแล้ว ก่อนบอกกับผมด้วยรอยยิ้มว่า เมื่อคืนนี้นอนสบายมาก สบายกว่าที่โรงแรมอีก ทั้งๆ ที่ไม่มีแอร์ เท่านี้ผมก็รู้แล้วแหละว่า ทะเลหมอกมันไม่ได้สำคัญหรอก เพราะหัวใจการเดินทางของแม่ ก็คือการได้อยู่กับลูกนั่นเอง
ภาพสวย... ทำให้อยากไปเที่ยว แถวนั้นบ้าง เห็นภาพน้ำ
ไหล ถ้าได้ไปพักค้างแรมคงจะดีไม่น้อย โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 21 เมษายน 2563 เวลา:5:25:24 น.
รูปท้องฟ้าสวยทุกรูปครับ ฟ้าใสๆ ฟ้าแบบมีหมอก หรือฟ้าตอนเย็นๆ ชอบครับ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 21 เมษายน 2563 เวลา:15:25:56 น.
Thanks for sharing this.
โดย: Jiana Singh IP: 51.81.85.242 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:14:30:42 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Rinsa Yoyolive Review Travel Blog ดู Blog
ตะลีกีปัส Food Blog ดู Blog
ต้นกล้า อาราดิน Music Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog
Tui Laksi Photo Blog ดู Blog
life for eat and travel Travel Blog ดู Blog
Ces Travel Blog ดู Blog
เป็นทริปที่อบอุ่นจัฃค่ะ
พาแม่เที่ยว
น่ารักกกกกกกกก
ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ
เพราะหัวใจในการเดินทางของแม่ทริปนี้
ก็คือการได้อยู่กับลูก
สองคนนั่นเอง