China ณ. วันที่หนาวยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง #2 : วันที่ 2 กำแพงเมืองจีน ด่าน ซานไห่กวน #ขออภัย รูปไม่ชัด ![]() 8 Jan 2016 , 05:20 AM ,-7 °c หลังจากตื่น พวกเราก็จัดการกับตัวเอง (ด้วยน้ำจากเครื่องทำน้ำร้อนที่มีเปิดอุณหภูมิให้ร้อนจนสุดแล้วได้น้ำเย็นที่เย็นน้อยกว่าอุณหภูมิโหมดปกตินิดนึง) แล้วก็กินมาม่าที่ซื้อมาเมื่อวาน ![]() มีเครื่องด้วย อร่อย มากกก ![]() มาม่าที่เมืองจีนส่วนใหญ่จะเป็นรสเนื้อแต่เราก็ยังอุตส่าห์หารสไก่ รสหมูมาจนได้ รสชาติอร่อยกว่ามาม่าบ้านเราเยอะ เครื่องที่ใส่ ถ้าเป็นรสไก่ก็จะมีผัก ข้าวโพด ไก่ สาหร่าย น้ำซอส น้ำมันใส่มาให้ ยิ่งถ้าเป็นรสหมูมีหมูแผ่นด้วย ถ้าหน้ากล่องมีไข่ก็ใส่ไข่มาให้ทั้งลูกเลย หลังจากที่เราจัดการมาม่ากันจนหมด ก็ตกลงกันว่าจะนั่งแท็กซื่ไปสถานีรถไฟกันดีกว่า เพราะถ้าไปโดยตี้เถียะก็กลัวว่าจะไม่ทันเวลา 6.30 น.ที่เรากะเผื่อเวลาไว้ (ตี้เถียะเปิด 6.20 น. ) ![]() ตกลงกันได้ก็ออกมาหน้าที่พัก หกโมงเช้ายังมืดมากจริงๆ เราเดินกันไปตามถนนมืดๆ ฝ่าความหนาวเย็น หลังจากเดินกันมาได้ซักพัก เราก็รู้สึกเหมือนมีใครเดินตาม เราเลยรีบวิ่งหน้าตั้งไปยังตี้เถียะ พอไปถึงแล้วก็หันกลับมาดูว่าใครเดินตาม คนเดินมาข้างหลังเค้าก็คงงงๆ ว่าไอ้สองคนนี้มันเป็นอะไรมาวิ่งหนีชั้น แล้วเราก็ข้ามถนนมาโบกแท็กซี่กันเลย ![]() มืดขนาดนี้เลย รถไม่ค่อยมีแต่ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถ พอบอกเค้าว่าไปสถานีรถไฟเค้าถามกลับมาทันทีว่า สถานีปักกิ่งป่าว เราก็เลยรีบบอกเลยว่าใช่ (โชคยังดี ตอนนั้นไปสถานีปักกิ่ง เพราะที่ปักกิ่งมีหลายสถานีรถไฟ ถ้าเป็นสถานีรถไฟตะวันตกเราคงไม่ได้ไป 555) ![]() มี 7 eleven ด้วย.. ไว้ต้องมาสำรวจซะหน่อย การนั่งแท็กซี่ตอนเช้าๆ ในปักกิ่งคล้ายกับนั่งในกรุงเทพฯ คือถนนไม่ค่อยมีรถ แต่รู้สึกว่าอ้อมไปอ้อมมาพอสมควร เพราะดูจากแผนที่ตี้เถียะมันอยู่ไม่ไกลกันมาก(เหรอ??) หลังจากจ่ายค่ารถไฟ 17 หยวนตามมิเตอร์ เราก็มาถึง เค้าจอดส่งเราตรงฝั่งตรงข้ามของสถานี เราต้องเดินขึ้นสะพานลอยไปเพื่อขึ้นรถไฟ คราวนี้ไปกันอย่างมั่นใจเพราะเราได้สำรวจลู่ทางกันไว้หมดแล้ว ![]() ก่อนเข้าสถานี เราต้องไปเช็คอินก่อน โดยไปต่อแถวตรงเคาท์เตอร์ที่มีเยอะๆ หน้าสถานีที่เห็นเมื่อวาน เราต้องแสดงตั๋วโดยสารและพาสปอร์ต (ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันเนาะว่าถ้าเป็นคนจีนแสดงบัตรประชาชน ) หลังจากที่ผ่านเคาท์เตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตั๋วครั้งที่ 1 นี้เข้าไป ต้องไปผ่านเครื่องสแกนกระเป๋า และตรวจร่างกายก่อนเข้าสถานี เหมือนในสนามบินเลย ไอ้ตรงส่วนนี้ถ้าเราไม่ได้เดินทางโดยรถไฟ เราก็จะไม่รู้เพราะคนที่ไม่มีตั๋วห้ามเข้า ไม่เหมือนหัวลำโพงบ้านเราที่เข้าถึงได้ตลอดๆ ![]() เมื่อเข้าไปแล้วก็จะเป็นห้องโถงใหญ่ๆ เหมือนหัวลำโพง เราต้องเดินขึ้นไปชั้นสอง เพื่อรอขึ้นรถที่ห้องรอ ![]() มีป้ายไฟแสดงเที่ยวรถ ![]() ห้องสำหรับรอขึ้นรถ ![]() คนรอเต็มเลย รอจนไม่มีที่นั่งต้องมานั่งหน้าห้องน้ำ เมื่อถึงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปเข้าแถวรอตรวจตั๋ว(อีกละ) เพื่อเข้าไปที่ชานชลา เมื่อได้เวลาก็ไปเข้าแถว ![]() ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะแย่งกันทำม๊ายยย เค้าเรียกก่อนตั้งครึ่งชั่วโมง ![]() เมื่อผ่านเกทเข้าไปแล้วเหมือนขึ้นบิน จะต้องเดินผ่านเลยลงไปชานชลา รถไปซานไห่กวนมารอแล้ว อย่างหรู เพราะเป็นรถหัวกระสุน ขึ้นรถและนั่งตามที่นั่ง 7.37 น. ตรงเวลาเป๊ะ รถก็ออกจากชานชลา ![]() ขึ้นขบวนนี้ D45 ปักกิ่ง - ต้าเหลียนเป่ย โบกี้ที่ 7 รถไฟที่นั่งนี้เป็นรถไฟหัวกระสุนเที่ยวเช้าสุดที่จะไปซานไห่กวนได้ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง จากที่อ่านมา (บอกว่า 1.30-2 ชั่วโมงเอง ) เป็นรถไฟสายปักกิ่ง-ต้าเหลียนเป่ย ซานไห่กวนเป็นสถานีระหว่างทาง ในรถมีที่นั่งเหมือนในเครื่องบิน แถวละ 6 ที่นั่ง แบ่งเป็นข้างละ 3 เอนนอนได้ในระดับนึง มีโต๊ะวางอาหาร มีป้ายไฟบอกสายรถ อุณหภูมิภายใน-ภายนอกรถ ระดับความเร็ว ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ช่องวางสัมภาระอยู่เหนือหัว หน้าต่างที่ใสกิ๊งมีที่บังตาแบบดึงลงได้ ที่ยอดเยี่ยมสุดเห็นจะเป็นห้องน้ำที่มีฮีทเตอร์ ประตูปิดเปิดแบบอัตโนมัติเพียงกดปุ่มและโถนั่งชักโครกแบบใช้เซ็นเซอร์พร้อมอ่างล้างมือและกระดาษทิชชู่ หรูกว่าห้องน้ำรถไฟที่คิดไว้มากมาย ![]() ระหว่างทาง รถไฟหยุดตามสถานีกลางทาง มีคนขึ้น-ลงเรื่อยๆ พนักงานรถไฟก็จะเข็นผลไม้และเครื่องดื่มมาขายแต่ราคาสูงเอาการ เพราะแพงกว่าในร้านที่ซื้อเอง 2-3 เท่าตัว และเพราะต้องนั่งนานเราก็เลยซื้อส้มกินกัน ![]() ราคาแอบแพงตามมาตรฐานของขายบนรถไฟ ![]() เราสามารถดูข้อมูลของบริษัทรถได้เลยแค่สแกนคิวอาร์โค้ดนี้ ![]() ทิวทัศน์สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นเหมือนนาโล่งๆ (ไม่รู้ใช่ต้นข้าวหรือเปล่า) สีเหลืองทอง ไม่ค่อยมีบ้านเรือนเท่าไหร่ จะมีเมืองก็ใกล้ๆ สถานีรายทางที่ต้องจอด ซึ่งจะมีโรงงานอยู่ด้วย พอผ่านช่วงนั้นไปก็เป็นนาโล่งๆ เหมือนเดิม และมีวิวเขาอยู่ลิบๆไกลๆ ตลอดซ้ายมือระหว่างทางไป ![]() มีหนังสือข้อปฏิบัติและแนะนำการท่องเที่ยวให้อ่านเพลินๆ เราก็ได้แค่ดูรูป ผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงประกาศว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีซานไห่กวน เราก็รีบแต่งตัวเตรียมรับความหนาว หลังจากที่เข้ารถแล้วร้อนจนต้องถอดอุปกรณ์ทั้งหมดจนเหลือแต่เสื้อยืดตัวเดียว จากป้ายไฟบอกว่า อุณหภูมิภายใน 23 องศา อุณหภูมิภายนอก 0 องศา ขอย้ำ เกือบเที่ยงแล้ว 0 องศา จะทนได้มั๊ยน๊อ.. ![]() ออกมาก็เจอ ขนาดว่านี่เป็นสถานีระหว่างทาง ยังใหญ่ไม่ใช่เล่น ![]() ออกทางนี้จ้ะ อ่านไม่ออก ได้แต่เดินตามๆ เค้าไป ลงรถมาแล้วคร้าบ แดดแรงๆแต่ไม่ร้อนแฮะ ไม่หนาวสะท้านด้วย ชุดเอาอยู่เลยหละ และเราก็เดินเข้าสถานีตรงทางออก 555 แต่ขอโทษเถอะ ขอตรวจตั๋วอีกละ จะตรวจทำไมฟระ จะออกแล้ว เมื่ออกไปแล้วเราก็ยืนงงกันพักนึง ไปทางไหนต่อดี สรุป กลับไปหาตั๋วกลับกันก่อน แล้วก็ย้อนเดินกลับไปซื้อตั๋วกลับ เราได้ตั๋วกลับในวันนั้นเวลา บ่ายสามโมง ไม่งั้นก็มีรอบดึกเลยจะกลับไปถึงปักกิ่งดึกมากเพราะนั่งรถสามชั่วโมง เอาละเหลือเวลาไม่มาก สิบเอ็ดโมงละรีบเที่ยวเลย ![]() เราเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งเพื่อไปกำแพงด่านซานไห่กวน แล้วเจอรถเมล์สาย 25 รอคิวจอดอยู่ รถเมลสายนี้เป็นรถไปเหล่าหลงโถว ที่เป็นจุดหมายอีกแหล่งของเรา ไหงในรีวิวบอกว่าหายาก ไม่ค่อยมีรถฟระ เรามองตามหลังรถตาละห้อยเพราะเราต้องตัดใจไม่ไปเพราะกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นรถ เอาละเดินไปกำแพงกัน เห็นด่านอยู่ลิบๆ โน่นแน่ะ และมีคนมาเดินขายทัวร์ไปเหล่าหลงโถวและซานไห่กวนเป็นระยะๆ แต่ไม่ไปหรอก (ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่ไปไม่ทัน ฮืออ) ![]() ![]() ![]() เดินมาอีกหน่อย จะมีอนุสาวรีย์ (น่าจะ) เกี่ยวกับการสร้างกำแพงแล้วก็การป้องกันประเทศที่ด่านนี้ บริเวณนี้เป็นลานกว้าง จะมีคนมาทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ก็ยังเห็นป้อมบนกำแพงอยู่ลิบๆ ![]() ซ้อมระบำโชว์ ชุดจัดเต็ม ![]() จับกลุ่มเล่นว่าวกันอย่างจริงจัง อุปกรณ์พร้อมอย่างกับเป็นมืออาชีพ ![]() พอข้ามถนนตรงนี้ก็จะเข้าเขตของกำแพงเมืองจีนแล้ว ![]() เดินมาจนถึงทางเข้า เห็นป้าย เทียนเซี่ยตี้อีกวน เย้ มาถึงแล้ว แต่ทำไม่มันมีแค่ป้อมอ่ะ งั้นเดินไปอีกหน่อยดีกว่า อ้ออ ป้อมนี้แค่ลูกกระจ๊อก ของจริงต้องเดินขึ้น เราก็ไปซื้อตั๋วกันเลย ![]() พี่พวกนี้ยืนอยู่ระหว่างทาง ![]() ทางเข้าเมืองโบราณที่เป็นส่วนหนึ่งของด่านแต่เราจะไปปีนกำแพงก่อน เห็นป้อมอยู่ไกลๆ ![]() ![]() ด่านซานไห่กวน หรือเรียกอีกชื่อคือ เทียนเซี่ยตี้อีกวน เป็นด่านแรกของกำแพงเมืองจีน อยู่ติดทั้งภูเขาและทะเล อู๋ซานกุ้ยเปิดด่านให้พวกแมนจูเข้ามาตีเมือง ด่านนี้เป็นด่านที่ไม่สูงมากเดินได้ไม่เหนื่อย และไม่มีทางเดินต่อไปยังด่านอื่นๆ ที่เราอยากไปเพราะมีส่วนของกำแพงที่ยื่นลงไปในทะเล เรียกว่า เหล่าหลงโถว หรือส่วนหัวมังกร ซึ่งต้องนั่งรถต่อไปอีก แต่ก็ไม่ได้ไป เพราะกลัวตกรถ ![]() ![]() อยากจะไปดูอย่างนี้ที่เหล่าหลงโถว ![]() ทางขึ้นไม่ชันมาก เดินสบาย ![]() มาดูวิวด้านบนกันซักหน่อย ![]() เห็นป้อมอยู่ลิบๆ ![]() ![]() เขียนว่าอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก แต่เหมือนว่าคนสำคัญมาเขียนจารึกไว้ ![]() อย่างนี้ต้องโพสต์ซะหน่อย เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง ตอนนี้ก็ยัง 0 องศา แต่เดินขึ้นมาเลยไม่หนาว ![]() ![]() ![]() มาถึงป้อมแล้วจ้า ![]() ดูกันชัดๆ ชะโงกดูวิวหน่อย.....![]() ป้อมถูกสร้างใหม่ เพราะของเก่าไม่เหลือแล้ว ![]() ข้างในมีป้ายไว้ประกาศศักดา "ใต้ฟ้านี้ฉันเป็นที่ 1" นะจ๊ะ ![]() ![]() วิวเมืองเมื่อมองลงมาจากกำแพง ![]() นี่คือซุ้มประตูเมือง จริงๆแล้วคนอื่นๆ เค้าเดินเที่ยวในเมืองก่อนแล้วค่อยไปขึ้นกำแพง แต่เราเดินย้อนศร 555 พอมองย้อนขึ้นไปจะเห็นป้อม ![]() ดูป้อมกันชัดๆ จากข้างล่าง ช่างน่าเกรงขาม หลังจากเดินลงมาจากกำแพงเมืองจีน เดินเข้าไปในเมือง ผ่านร้านขายขนมโบราณ สองสามร้าน ข้างหน้าก็เจอร้านอาหารแล้ว ร้านแถวๆนี้ไม่ค่อยเปิด สงสัยเพราะเราไม่ได้มาเวลาเที่ยวของเค้า ![]() แต่ไงๆ ก็เจอนักท่องเที่ยวเข้าไปกินเอาก็เอาฟระ หิวแล้ว เราก็สั่งบะหมี่ 2 ชามเกี๊ยว 1 หลังจากเสี่ยวเอ้อร์รับออเดอร์ก็เข้าไปหลังร้าน สักพักเจ้าของร้านก็ออกมาถามว่าเราเอาเกี๊ยวแล้วเอาบะหมี่ด้วยมั๊ย เราก็ตอบไปว่าเอาจิ แล้วก็คิดกันในใจว่าจะถามทำไม ก็กินหมดนั่นล่ะ แต่เมื่อเห็นอาหาร อุแม่เจ้า บะหมี่ชามใหญ่มากเกี๊ยวมาเป็นกะละมัง รู้แล้วว่าออกมาขอคำยืนยันทำไม.. ![]() ประทับใจมาก บะหมี่ที่นี่เป็นบะหมี่เส้นใหญ่เหมือนเส้นอุด้ง มากับซอสสีน้ำตาลแค่นั้นแต่อร่อยเกินคาด ![]() เกี๊ยวเป็นกาละมัง เป็นเกี๊ยวไส้หมู ก็รสชาติปกติไม่ได้ขี้เหร่เกิน หลังจากจบมื้อนั้นอย่างจุกเราก็เดินเที่ยวเมืองกันต่อ เมืองนี้เป็นเมืองโบราณ เดินๆ ไปก็จินตนาการไปด้วยว่ากำลังมาท่องยุทธภพ มีพี่ทหารยืนเฝ้ายามอยู่ทุกที่ ![]() เมนู เผื่อใครอยากจะสั่ง แต่เราใช้วิธีชี้ไปโต๊ะข้างๆ ![]() มีศาล มีวัด เสียอย่างเดียวโล่งมาก เหมือนเมืองร้างเลย ไม่ได้บรรยากาศเพราะไม่มีเหล่าจอมยุทธมาเดินด้วยนี่หละ ![]() นี่ศาลเจ้า ![]() นี่วัด ![]() พระประธาน ![]() รูปพระในนิกายจีน มีชื่อแต่ละองค์พร้อม สูงสุดน่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แสดงว่าเป็นวัดพุทธ ![]() อีกฝั่งนึง มีการนำพระองค์เล็กๆ มาไว้ น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม ![]() ถ้าเป็นตอนกลางคืน เปิดโคมไฟน่าจะสวยนะ ![]() ร้านค้าทั้งหลายพร้อมใจกันไม่เปิด เมื่อเดินจนทั่ว ถ่ายรูปจนหนำใจไม่ต้องขุ่นใจกับคนเยอะๆ เที่ยวเมืองและวัดในเมืองก็ถึงเวลาเดินกลับไปสถานีรถไฟกันแล้ว ขากลับซื้อขนมจากร้านในเมืองโบราณนั่นหละกิน อร่อยมากเลย ถั่วกวนรสชาเขียว กลับเข้าไปในปักกิ่ง หาแบบเดียวกันมากินก็ไม่ชอบเท่าก่อนจะรีบเดินไปรอรถไฟ เมื่อเปิดให้เข้าไปในชานชาลา แล้วข้างในใหญ่มากมีหลายชานชาลา คนรอในสถานีเต็มเลย ไม่น่าเชื่อเพราะตอนมาซื้อตั๋วคนน้อยมาก รถไฟของเราไม่ได้เป็นรถที่มาจากต้าเหลียนเป่ย(大连北)เหมือนตอนขามาแต่เป็นรถมาจากจี๋หลิน(吉林)ต้องขึ้นที่ชานชาลาที่ 2 ![]() ![]() หนีห่าวจ้า ![]() หนาวสะท้านขนาดไหน เราก็บ่ยั่น ขยันโพสต์ท่า เราแวะซื้อถังหูลู่กินกันที่ร้านสะดวกซื้อแถวๆ นั้น แต่ของที่นี้อร่อยสู้ที่หวังฝูจิ่งไม่ได้ เป็นผลไม้รวม มีมะเขือเทศ ส้ม สรอเบอรีและปิดท้ายด้วยซานจา สนนราคาของถังหูลู่ที่นี่ 10 หยวน แต่น้ำตาลแข็งและหนา ไม่อร่อยเท่าที่หวังฝูจิ่งที่น้ำตาลบางกรอบ เข้ากับผลไม้มากกว่า เราว่าประเภทผลไม้ที่ใช้ก็มีส่วนเหมือนกัน อ่า !! ของแพงมันอร่อยกว่าอย่างนี้นี่เอง ![]() กลับถึงที่พัก แอบไปถามที่ล๊อบบี้ว่าแถวๆ นี้มีตลาดสดแถวๆ ไหนบ้างพรุ่งนี้จะไปเดินเที่ยว ก็ได้คำตอบว่าเดินไปตามถนนตงซื่อ ถนนหลักหน้าปากซอยไปหัวถนนอีกด้านจะมีตลาด เอาละพรุ่งนี้เจอกันนะตลาดจ๋า..
ขอบคุณที่โหวตให้ผมนะครับ
เข้ามาโหวต Travel Blog ให้เช่นกัน จขบ.เก่งมากครับ เที่ยวเองเลย เมืองจีนกว้างใหญ่ไพศาลมากๆ มีที่เที่ยวเยอะแยะมากมายจริงๆครับ โดย: กะว่าก๋า
![]() ![]() ขอบคุณค่ะ ไปเองคราวนี้ติดใจมาก กะว่าต้องมีครั้งต่อไปแน่นอน..
ปล. รีวิว มือใหม่ ผิดพลาดยังไง ขออภัยด้วยนะคะ ![]() โดย: HappyMorning
![]() |
บทความทั้งหมด
|
อ่านเพลินเลยคะ..
ได้ความรู้เยอะเลย..ขอบคุณนะคะ..