ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 4 ปี เสี่ยเจนภพ ซิ่งเบนซ์ ซีแอลเค ชนฟอร์ด เฟียสต้า
ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญา “เสี่ยเจนภพ” นักธุรกิจคนดังคดีเสพยา ซิ่งเบนซ์ชนเก๋งนิสิต ป.โท จนไฟลุกท่วมย่างสด 2 ศพ เมื่อปี 59 จำเลยอ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่พ่อแม่เหยื่อจนพอใจและบวชอุทิศส่วนบุญกุศลให้ผู้ตายแล้ว ยกคุณงามความดีขอให้ลงโทษสถานเบาฟังไม่ขึ้น ศาลชี้ลงโทษจำคุก 4 ปี เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของรูปคดี และเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว
คดีที่สังคมให้ความสนใจเฝ้าจับตากระบวนการยุติธรรมได้สิ้นสุดลง กรณีนายเจนภพ วีรพร หรือเสี่ยเจนภพ อายุ 41 ปี นักธุรกิจคนดัง ขับ
รถเบนซ์ ซีแอลเค สีดำ ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนท้ายรถ
ฟอร์ด เฟียสต้า ทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร จนเกิดเพลิงลุกไหม้
ทำให้นายกฤษณะ ถาวร อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย อายุ 34 ปี นิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ถูกไฟคลอกเสียชีวิต 2 ศพ เหตุเกิดบนถนนพหลโยธิน กม.53 หมู่ 8 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 13 มี.ค.59
ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกนายเจนภพ จำเลยเป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 3 และ 4 อุทธรณ์คำพิพากษาและขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 พ.ค.62 แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิ่มโทษตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 3 และ 4 อุทธรณ์ ลงโทษจำคุกจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามีนขับรถ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษจำคุก 6 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้บางส่วน คงเหลือโทษจำคุกจำเลย 4 ปีไม่รอลงอาญา
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. มีการเปิดเผยคำพิพากษา ภายหลังศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ นายไพบูลย์ ถาวร นายทิวากร ฮ้อแสงชัย กับพวกรวม 4 คน เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายเจนภพ วีรพร เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยยื่นศาลฎีกา ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการกำหนดโทษจำเลย อ้างว่าได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมทั้ง 4 คน จนเป็นที่พอใจแล้ว ศาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเลยต้องรับผิดชอบให้แก่โจทก์ร่วมทั้ง 4 ตามกฎหมายในทางแพ่งอยู่แล้ว
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จบการศึกษาจากต่างประเทศ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท มีคุณงามความดีช่วยเหลือผู้อื่น หลังเกิดเหตุได้บวชอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายทั้ง 2 เป็นเวลา 2 เดือน 3 สัปดาห์ ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยสถานเบา หรือรอการลงโทษให้จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปีนั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์ของรูปคดี และเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว
ส่วนที่โจทก์ร่วมขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยสถานหนักและไม่รอการลงโทษ เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ลงโทษจำเลย ได้ใช้กฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุดแก่จำเลยและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลง แก้ไขทั้งบทและโทษที่ลงแก่จำเลย ฎีกาของโจทก์ร่วม ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน คงจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ที่มา : ไทยรัฐ