Student life in Beijing HELLO ! THAILAND กลับถึงเมืองไทยได้อาทิตย์หนึ่งแล้วล่ะ มาพร้อมกับข่าวดีในที่สุดเมืองไทยก็มีฤดูหนาวกับเค้าสักที รอมาตั้งนาน... ช่วงนี้เพิ่งจะมีโอกาสได้เปิดบล็อก หลังจากไม่ได้เปิดมานานมาก ตอนนี้เข้าใจคำว่า "ไม่มีเวลา" แล้วแหละ ไม่มีเวลาคือไม่มีจริงๆนะ ตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมาเรียนหนักมากจริงๆ การบ้านก็เยอะ ต้องบอกก่อน นี้เป็นเทอมแรกของการเรียนปริญญาโท เรียนทุกอย่างเป็นภาษาจีน เรียนร่วมกับคนจีนเลย ปีที่แล้วมาเรียนแค่ภาษา ถึงจะมีเวลาเตรียมตัวเรื่องภาษา1ปี ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ เรียนอะไรที่ไม่ใช้ภาษาแม่ในการสื่อสารมันยากทั้งนั้นเลยนะ บาทีถ้าเรียนเป็นภาษาอังกฤษก็อาจจะง่ายกว่านี้ จริงๆเรียนเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่ง่ายหรอก ทุกอย่างมีความยากในตัวของมัน แต่อย่างน้อยเราก็มีความคุ้นเคยมากกว่าภาษาจีน กาลเวลาผ่านไป..เจอเรื่องต่างๆมากมาย เจออะไรหลากอย่างที่ต้องเรียนรู้และปรับปรุงตัว ยังไม่ทันรู้ตัว ภาษาจีนก็กลายเป็นภาษาที่สองที่สามของเราไปเสียแล้ว Our Faculty : เนี้ยแหละคือคณะที่เราเรียนอยู่ School of Economics and Business Administration ที่เมืองจีนเค้ามักจะเอาคณะเศรษฐศาสตร์กับบริหารธุรกิจรวมไว้เป็นคณะเดียวกัน แต่เวลาเรียนก็จะแยกเมเจอร์ออกไปอีก อย่างคณะเราก็แยกไปอีกหลายเมเจอร์ มีซับเมเจอร์แยกออกไปอีก เยอะแยะจนงง มีเศรษฐศาสตร์(经济学) ในเศรษฐศาสตร์ก็แยกออกไปอีกนะ เช่น World Economics (世界经济学),การค้าระหว่างประเทศ (经济贸易学) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเมเจอร์บัญชี (会计学 อ่านว่า ไคว้ จี้ ไม่ใช่ ฮุ้ย จี้ นะ), Educational Economics (教育经济与管理学) ,HR (人力资源学) เป็นต้น ยังไม่รวมMBA IMBA แล้วก็พวกอินเตอร์เรียนเป็นภาษาอังกฤษอีกนะ ส่วนที่เราเรียนคือเมเจอร์บริหารธุรกิจ (企业管理学)ซึ่งในบริหารธุรกิจนี้ก็จะแยกออกไป2เมเจอร์ย่อย ภาษาจีนเรียกว่า 方向 คือ แบ่งเป็น Strategy Management (战略管理系) และ Marketing (市场营销系)ซึ่งที่เราเรียนคือ Marketing การเรียนปริญญาโทที่นี้จะใช้เวลายาวนานกว่าการเรียนปริญญาโทที่อื่นนะ ถ้าเรียนเป็นภาคภาษาจีน คือเรียนเหมือนคนจีนเลย เรียนร่วมกับคนจีน จะใช้เวลาในการเรียน 3 ปี ต้องเก็บหน่วยกิตให้หมดภายใน3 เทอม และจะมีเวลาเขียนthesis อีกปีครึ่ง ดูเป็นการเรียนที่ใช้เวลายาวนานมากใช่มั้ยล่ะ ส่วนแบบอินเตอร์ก็จะใช้เวลาในการเรียน 2 ปี เท่านั้น แต่ก็แล้วแต่มหาลัยนะ อย่างที่จิงเม่ามีหลักสูตรเรียนปริญญาโทแค่ปีเดียวเท่านั้น Student Life : การเรียนที่นี้ถือว่าโหดมากเลย เราคิดว่าไม่น่าจะมีประเทศไหนเรียนหนักเท่าที่นี้อีกแล้ว เรียนคาบแรกคือ 8โมงเช้า คาบสุดท้ายเลิกเกือบ3ทุ่ม ! เทอมที่ผ่านมาที่หนักสุดของเราคือวันอังคาร เรียนตั้งแต่8โมงเช้า ยาวจนถึง 2ทุ่ม ได้พักแค่ตอนกินข้าว ทรมานมาก เข้าใจเลยว่าทำไมคนจีนถึงทึก อดทน แบบบางวิชาก็เรียนสี่คาบติด เรียนกันจนเบื่อ แถมการบ้านก็เยอะมาก สำหรับคนจีนคงสบายกว่าเราซึ่งเป็นเด็กต่างชาติมาก บางทีก็ให้อ่านพวกCase Study จากHarvard บ้าง ให้อ่านงานวิจัยบ้าง มีทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน แต่เวลาpresentation ต้องพูดเป็นภาษาจีนทั้งหมด เนี้ยแหละคือความยาก แรกๆเราเหนื่อยมากเลย แต่ตอนนี้ก็คิดแต่ว่าเป็นอีกบททดสอบหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ นอกจากการบ้านประเภทDiscussionแล้วก็ยังมีให้อ่านงานวิจัยซึ่งเยอะมากกกกกกกกกกกกกก และเป็นภาษาจีนทั้งหมด ถ้าคนจีนอ่านก็อาจจะใช้เวลาไม่นาน แต่สำหรับนักเรียนต่างชาติ เหมือนใช้เวลาทั้งชีวิตในการอ่าน พออ่านจบก็ต้องมานั่งสรุปอีกด้วย สักแต่ว่าอ่านก็ไม่ได้ ต้องอ่านแล้วเข้าใจด้วยไม่งั้นก็จะเขียนสรุปไม่ได้ การเป็นนักเรียนจีนนี่มันก็ไม่ง่ายเลยนะ ส่วนนักเรียนจีนที่นี้ก็ถือว่ามีหลากหลายประเภทจริงๆ เพื่อนที่เป็นclassmateเราส่วนใญ่จะมาจากเมืองอื่น เรามีเพื่อนที่เป็นคนปักกิ่งหลายคน เป็นเพื่อนที่ทำงานแล้ว พอมีเพื่อนที่เป็นคนเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ก็มีบ้างทีเกิดการเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคนเมืองอื่นๆ ถามว่ามีความแตกต่างกันมั้ย แน่นอนว่ามี! เป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง คนจีนที่มาจากเมืองอื่นๆอาจจะมีความเป็นคนเมืองน้อยกว่าคนปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้นิดนึง หมายถึงมารยาทเบื่องต้นบางอย่างอาจจะยังไม่มี แต่ก็ไม่ได้เป็นกันทุกคนนะ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทั้งประเทศคือ ความขยัน อดทน และแข่งขัน คนจีนแข่งขันสูงมาก แข่งขันกันในทุกๆเรื่อง ชีวิตเค้าฝึกฝนมาให้อยู่กับความลำบาก เพราะฉะนั้นคนจีนไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวลำบาก เลิกเรียน3ทุ่ม คนจีนไปห้องสมุดเพื่อทำงานต่อ หรือแต่เช้าตรู่6-7โมงเช้าก็จะเห็นคนจีนทยอยเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ ทำการบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าหอพักของเด็กจีนอยู่กันอย่างค่อนข้างแออัด เค้าจึงมักจะใช้ห้องสมุดเป็นที่พักพิงกัน แต่เราเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กไทย ถึงแม้หอพักจะแออัด ก็คงไม่มีเด็กคนไหนเดินเข้าห้องสมุดอยู่ดี นี้คือความต่าง... ตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมา สิ่งที่เรามักจะสังเกตเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเรียนในเมืองจีน หรือ ชีวิตของนักเรียนที่นี้ คือ 1. การบ้านที่นี้ส่วนใหญ่จะให้เป็นงานกลุ่ม ไปDiscussงานกันแล้วก็เอามาpresentation ในชั่วโมงเรียน จะเป็นแบบนี้เยอะมากๆ มีวิชาหนึ่งที่เราเรียนคือวิชา Consumer Behavior (消费者行为学) อาจารย์จะให้Discussionเยอะมากทุกสัปดาห์ แล้วก็ให้ออกมาpresentationทุกคาบ จนบางทีก็แอบสงสัยว่าอาจารย์ขี้เกียจสอนรึเปล่า 2. อาจารย์ที่นี้ไม่ค่อยพักเบรคระหว่างคาบ ถ้าเรียนอินเตอร์จะไม่เจอปัญหานี้ แต่ถ้ามาเรียนรวมกับเด็กจีนเมื่อไหร่จะเจอปัญหานี้แน่นอน บางทีเราเรียน4คาบติดอาจารย์ไม่เบรคให้ไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำเลยก็มี แต่อาจารย์บางท่านก็เบรคให้ทุกคาบก็มี แต่เป็นส่วนน้อยจริงๆ 3. เวลาสอบที่นี้มีทั้งเป็นการสอบแบบ闭卷คือ ปิดหนังสือ กับ 开卷 คือ Open book แล้วก็การเรียนระดับปริญญาโทก็จะมีการทำคล้ายๆรายงานส่ง ภาษาจีนเราเรียนว่า课程论文 คือเป็นbaby thesisฉบับย่อๆ โดยการนำทฤษฎีที่เรียนในห้องเรียนเอามาวิเคราะห์ เป็นต้น 4.การเรียนที่นี้ใช้ภาษาจีนทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆนะ แม้จะเป็นชื่อเจ้าของทฤษฎี หรือ เวลาเรียนวิชาสถิติ ชื่อสูตร ศัพท์เฉพาะก็จะใช้เป็นภาษาจีนหมด หรือแม้กระทั่งชื่อแบรนด์สินค้าต่างๆ อาทิเช่น P&G คนจีนจะเรียก 保洁 Starbucks คนจีนจะไม่เรียกว่าStarbucks เหมือนคนไทย แต่จะเรียกว่า 星巴克 แทน หรือ BMW คนจีนเรียกว่า 宝马 เป็นต้น อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่นักเรียนต่างชาติต้องหาข้อมูล ต้องเตรียมตัว เราใช้วิธีอ่านหนังสือธุรกิจเยอะๆ เพื่อที่จะได้รู้ว่าแบรนด์นี้มีชื่อจีนว่าอะไร ก็ช่วยทำให้เข้าใจบทเรียนได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน 5. อาจารย์ที่นี้คนที่จบเมืองนอก กับคนที่จบในประเทศ ทัศนคติจะแตกต่างกันมากอย่างสิ้นเชิง อาจารย์ที่จบจากต่างประเทศ อาทิเช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ฯลฯ จะเข้าใจเด็กต่างชาติว่าเด็กต่างชาติมีข้อจำกัดในการเรียนตรงไหนบ้าง อาจารย์จะเข้าใจและเห็นใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ที่จบดร.ในประเทศไม่เห็นใจเด็กต่างชาตินะ แต่อาจารย์อาจจะเข้าใจเด็กต่างชาติน้อยไปหน่อย อย่างที่เราเจอก็มีอาจารย์ท่านหนึ่ง แรกๆเราคิดว่าอาจารย์ไม่ชอบนักเรียนต่างชาติ แต่จริงๆแล้วตอนสอบอาจารย์ก็ช่วยนักเรียนต่างชาตินะ แต่แค่เวลาเรียน เวลาสั่งการบ้านอาจารย์จะพูดเร็วมาก สอนเร็วมาก ไม่ยอมเขียนบนกระดาน ซึ่งการบ้านวิชานี้กดดันเรามากเลย เพราะเรียนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งสอนทุกอย่างเป็นภาษาจีน แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ แต่ก็เครียดมากพอดูเลย ตอนนี้นึกออกอยู่แค่ 5 ข้อ จริงๆต้องมีเยอะกว่านี้อีก แต่ยังนึกไม่ออก ไว้นึกออกแล้วจะมาเขียนใหม่อีก วันนี้เขียนแบบลวกๆมากเลยค่ะ อารมณ์แบบอยากเขียนสุดฤทธิ์ อาจะไม่ละเอียดมาก แต่รับรองงวดหน้าจะเขียนดีกว่านี้แน่นอน 5555 ไว้เจอกัน เอนทรี่หน้านะ ใครที่อยากมาเรียนเมืองจีนก็ขอให้เตรียมตัวด้านภาษาจีนดีๆนะ สู้ๆ Beau Hung, Bangkok |
บทความทั้งหมด
|