@@# ณ. ดอยป่าแหว่งแห่งเดิม ที่มีพระภิกษุหนุ่มชอบไปปฏิบัติธรรม
ณ. ดอยป่าแหว่งแห่งเดิม ที่มีพระภิกษุหนุ่มชอบไปปฏิบัติธรรม
ที่นั่นไม่มีกิจกรรมอะไร นอกจากปฏิบัติธรรม ศึกษาวิชชาสมาธิ ญาติโยมที่คุ้นเคยกับพระภิกษุหนุ่ม ก็ชอบติดตามไปอยู่ปฏิบัติธรรมด้วย ยามโรงเรียนปิดเทอมบางท่านก็เอาลูกๆซึ่งเป็นเด็กไปนั่งปฏิบัติธรรมด้วย เพราะพระภิกษุท่านก็เป็นคนที่รักและเอ็นดูเด็กๆ
และเด็กๆก็มักจะนั่งสมาธิได้ดีกว่าผู้ใหญ่
มีอยู่ครั้งหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งป่วย ไม่สามารถมาปฏิบัติธรรมได้ สมมุติว่าชื่อ เมย์
พระภิกษุนึกสนุก จึงให้เด็กอีกคนที่นั่งสมาธิได้ดี สมมุติว่าชื่อ เปิ้ล ไปดูอาการของเมย์
"เปิ้ล ไปดูซิว่า เมย์ เขาเป็นอะไร?"
แทนที่เปิ้ลจะเดินไปดูเมย์ที่ที่พักว่าเป็นยังไง แต่เปิ้ลกลับนั่งสมาธิ ดูเมย์ในสมาธิ
"ในตัวพี่เมย์ มีตัวอะไรไม่ทราบครับ ตัวเล็กๆตัวเป็นเกลียวๆ เยอะมาก แล้วก็มีตัวอะไรอีกไม่รู้เหมือนกัน เป็นตัวกลมๆ มากินตัวเกลียวๆ แล้วตัวพี่เมย์ก็ร้อน"
ในกลุ่มที่ไปนั่งปฏิบัติธรรมครั้งนั้น บังเอิญมีคุณหมอท่านหนึ่งไปด้วย ก็ได้ยินที่หนูเปิ้ลพูดจากในสมาธิ เธอก็กราบเรียนพระภิกษุว่า ...
"ช่างอัศจรรย์จริงหนอ ที่เด็กตัวเล็กๆ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชาแพทย์เลย แค่ใช้สมาธิ ก็สามารถเห็นเชื้อโรคกับเม็ดเลือดขาวสู้กันได้ ในขณะที่นักเรียนแพทย์ ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องถึงจะมองเห็น"
ผู้เขียนเอาเรื่องนี้มาเล่า เป็นปกิณกะ เพื่อจะแสดงให้ทราบว่า วิชาการทางแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะแขนงไหน ล้วนไม่อาจเทียบได้กับวิชชาของพระพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ตรัสแล้วว่า สิ่งที่ีท่านตรัสรู้นั้นเปรียบดั่งใบไม้ในป่า แต่ที่เอามาสอน เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น
"วิชชา" ของจริงนั้นมีอยู่ "ธรรมะ" ของจริงนั้นมีอยู่ แต่อยู่ที่วาสนาของคุณเท่านั้นว่าจะได้เจอของจริงหรือเปล่า?
ไม่ใช่เอาความไร้วาสนาของตน ไปตัดสินว่าของจริงนั้นไม่มี
Cr: https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2010184202571030&id=100007384085075
@ของแต่งบล็อก ญามี่
@ของแต่งบล็อก ชมพร
อย่าง คือจิตสงบ..
ถ้าลึกไปอีกก็จะถึงขั้นต่าง ๆ แต่
ไม่อาจจะพูดได้ครับ