ขนมเทียน แบบนักวิจัย

อาทิตย์ที่แล้ว อ่านเจอในบลอ็ค คุณนก Nokske คุณแม่คนเก่ง ทำขนมเทียน ทั้งใส้เค็มใส้หวาน โดยบอกรายละเอียดวิธี การทำ พร้อมภาพประกอบแบบชัดเจนและเชียร์ให้ลองทำ

ปกติชอบทานขนมเทียนใส้เค็มมาก เวลาอยู่เมืองไทยได้ทานขนมเทียนช่วงตรุษจีนทุกปีเพราะที่บ้านก็ไหว้แต่แม่จะซื้อหรือญาติเอาขนมเทียน ขนมเข่งมาให้ ตอนทำงานขนมเทียนแสนอร่อยสุดยอดจะมาจากฝีมือคุณแม่ของน้องอาจาร์ยที่คณะฯ

คราวนี้เห็นภาพที่คุณนกถ่ายแล้ว เกิดความอยากแบบระงับไม่ได้
จึงต้องลงมือทำ

แต่คนที่สนใจลองทำ กรุณาไปดูที่บล็อคคุณนก(//www.bloggang.com/mainblog.php?id=nokynicky ) น่ะค่ะ เพราะอย่างที่จั่วหัวข้อบล็อควันนี้ คือเป็นการทำโดย เจ้าของบล็อคที่ใช้ชีวิต วนเวียนอยู่กับการทำการทดลองและการวิจัยมาหลายปี ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า ผลการวิจัยไม่ได้ออกมาสวยงามตามที่หวังทุกครั้ง ยิ่งการลงมือทดลองโดยการอาศัยวิธี ลองผิดลองถูก หรือ trial and error ยิ่งอยากที่จะได้ผลที่น่าพอใจในครั้งแรก .......อ่านแล้วคงเดาออก ว่าขนมเทียนของเราวันนี้เป็นอย่างไร

ก่อนจะนำเสนอขนมเทียน (จริงๆไม่ควรเรียกให้ขนมเขาเสียชื่อ ) ขอบันทึก เรื่องราวในอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันพฤหัสฯ พวกเราไปทำเรื่องเสียภาษี ที่นี่คงเหมือนที่เมืองไทยคือเป็นหน้าเทศกาลการเสียภาษี ช่วงนี้เดินไป Jamaica ave จะเห็นป้ายโฆษณารับทำ Tax อยู่มากมาย ที่นี่เรื่องเสียภาษีเป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนต้อง กรอกแบบฟอร์มคำนวณภาษี เพื่อส่งให้หน่วยงานกลาง คือ IRS ซึ่งเปรียบได้กับสรรพากร สรรพากรที่นี่เข้มงวดมากตามเก็บทุกบาททุกสตางค์ไม่ให้รั่วไหล และต้องถูกต้องไม่อย่างนั้นอาจจะต้องจ่ายค่าปรับ หรือเปลี่ยนที่นอน


จริงๆแล้วเราสามารถดาวโหลดแบบฟอร์มมาคำนวณตามคำแนะนำและเงื่อนไขต่างๆเหมือนที่เราทำที่เมืองไทย แต่ที่นี่ดูเหมือนว่าแต่ละปีเงื่อนไขต่างๆจะมีการเปลี่ยนแปลงและมีข้อปลีกย่อยมากมาย และเนื่องจากชาลี มีรายได้และรายจ่ายที่ไม่ได้เกิดจากเงินเดือนอย่างเดียว เพื่อความมั่นใจในการคำนวณภาษีครอบครัวเราจึงต้องอาศัยมืออาชีพ อีกทั้ง ที่ที่เราไปจ้างทำ เขาเซนต์รับรองเอกสารให้ด้วยทำให้ไม่ต้องกังวลว่า จะมีปัญหาถ้าเกิดผิดพลาด


ถ้าเราเลือกอย่างแรกคือทำเอง ก็มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าแสตมป์ ถ้าไม่ได้ซื้อโปรแกรมช่วยคำนวณที่มีขายมาใช้ สำหรับครอบครัวเราจ่ายไป สามร้อยกว่าเหรียญ แต่คงเป็นเพราะเงินเดือนไม่มากอีกทั้งสวรรค์คงรู้ว่าชาลีมีภรรยาที่ชอบช้อบปิ้ง ผลการคำนวณปีนี้ครอบครัวเราได้เงินคืนมา เก้าพันกว่าเรียญ


วันศุกร์โทรคุยกับแม่ แม่บอกว่าพ่อฉี่มีเลือดปน แต่เนื่องจากพี่สาวเป็นหมอหัวหน้าแผนกในโรงพยาบาลศูนย์ฯ ทำให้เราไม่กังวลมากนักว่าจะต้องวิ่งหาหมอและมีขั้นตอนอย่างไร วันนี้ก็ได้ยินข่าวแล้วว่า พ่อพักอยู่ห้องพิเศษ หมอพบก้อนเนื้อเล็กๆในกระเพาะปัสสาวะ รอตัดชิ้นเนื้อวันพรุ่งนี้


วันเสาร์ตั้งใจว่าจะไปลองไอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อดูคอมพิวเตอร์ที่ฝากซ่อมไว้กับญาติ แต่อะไหล่ยังไม่มาเราเลยเปลี่ยนแผนเป็นพักอยู่บ้าน โดยชาลีได้นอนเต็มที่จนบ่ายโมง ส่วนเราก็เดินออกไปเดินออกกำลังกายตามร้านต่างๆบน จาไมก้าเอเวนิว

ปกติเสาร์อาทิตย์พวกเรามักจะออกไปทานข้าวนอกบ้านแต่ ขากลับแวะซุบเปอร์มาเก็ต เจอหอยแมลงภู่ นึกถึงเมนูที่ชาลีชอบทำ คือ หอยแลงภู่ราดซอสไวน์ เลยหิ้วมาฝากพ่อครัว


หอยราคาไม่แพง ปอนด์ละ$1.99 เป็นหอยจากธรรมชาติคงไม่ค่อยได้ทานอาหาร เลยตัวเล็ก



ไวน์ข้า ใครอย่าแตะ



ตั้งอกตั้งใจ



ผลงานแสนอร่อย



เครื่องเคียง คือพายใส้ผักโขม (เรียกเองเพราะทำเอง) กับพิซซ่า(แช่แข็ง) เพื่อไม่ให้ขาดคาร์โบไฮเดรตและ ไฟเบอร์




วันอาทิตย์ ตื่นแต่เช้า อากาศสดใส ได้ฤกษ์เปิดการทดลองขนมเทียน

การทำครั้งนี้เราจำกัดใช้เฉพาะสิ่งที่มีในครัวเท่านั้นดังนั้นทักษะในการทำงานวิจัยและทดลองจึงถูกนำมาใช้ (จริงๆใช้ตลอด )

เริ่มจากถั่วไม่มีถั่วเหลือง จึงใช้ถั่วเขียว (green split pea )ที่มีอยู่ แช่น้ำไว้หนึ่งคืน แล้วนำมาต้ม (จริงๆต้องนึ่งแต่นักทดลองอย่างเราไม่ต้อง)

ใส่น้ำไม่ต้องมาก เดี๋ยวกลายเป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาล ขั้นตอนนี้ผ่านเพราะได้ถั่วที่เปื่อยได้ที่ โดยไม่มีน้ำเจิ่งนอง ลองชิมแล้วรสชาติเป็นถั่ว..... ก็มันถั่วนี่นา

ขณะต้มถั่ว ก็เจียวหอม หอมที่ใช้เป็นหอมหัวใหญ่...ทดลองอีกแล้ว

สีก่อนไหม้


ถั่วที่ต้มค่อนข้างเปื่อย เอาไปปั่นอีกเล็กน้อยแล้ว เอามาผสมกับหมูสับ ........คนทำรักหมูเลยใส่หมูมากหน่อย




เอาไปผัดเติมเกือ น้ำตาล พริกไทย หอมทอด แล้วชิมรสตามชอบ



กรุณาอย่านำภาพไปเปรียบเทียบกับเจ้าของสูตร น่ะค่ะ เพราะต่างกันเหลือเกินแต่สำหรับเรารสชาติ อร่อยใช้ได้ (เข้าข้างตัวเอง)
แถมสีเขียวเข้ากับเทรน go green

สำหรับแป้ง เราใช้ all purpose flour ชื่อแป้งบอกว่าเป็นแป้งอเนกประสงค์ แต่ต้องบอกว่าไม่เหมาะกับขนมเทียนเพราะนึ่งออกมาแล้วไม่เหนียวนิ่ม คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นแป้ง some purpose เสียแล้ว


เราเลยใช้แป้งมัน มาเป็นตัวหลัก ผสมแป้งอเนกประสงค์เล็กน้อยเพื่อให้แป้งเกาะตัวปั้นได้

เราข้ามขั้นตอนการห่อ ที่ตอนแรกจะห่อด้วยฟลอยด์ แต่เพื่อเป็นการลดขยะตัวการทำให้โลกร้อน จึงปั้นแล้วนึ่งเลย

ผลงาน ที่มองยังงัยก็ไม่ใช่ขนมเทียนแต่รสชาติ ต้องบอกว่า ไม่ใช่ก็ไกล้เคียง ให้ชาลีชิมเธอบอกว่า "very good " สงสัยกลัวภรรยาเสียใจ



ขอบคุณ คุณนกที่เป็นแรงบันดาลใจค่ะ ยังงัยต้องทำอีกหลายรอบแน่นอน

ตอนบ่ายๆ พวกเราไปเอาชอคโกเลตของโปรดไปให้ และคุยกับพ่อที่ nursing home ครั้งสุดท้ายที่เราไปหาพ่อคือวันวาเลนไทน์หลังเรากลับจากเมืองไทย พวกเราพยายามไปหาพ่ออย่างน้อยเดือนละครั้ง


พ่อ - ลูก ชักชวนกันชมนกบนหลังคา





มื้อเย็น พวกเราเดินไปอุดหนุนร้านอาหารในพื้นที่ เพื่อเป็นการสนับสนุน local business

น้องคนไทยในพันทิพย์ที่พักอยู่ใกล้กัน แนะนำว่ามีร้านอาหาร ขายปลาทอด อร่อยอยู่บนเอเวนิว พวกเราเลยมุ่งหน้าไป

ไม่แน่ใจว่า เป็นร้านอาหารสัญชาติใดแต่ภาษาที่ใช้บนเมนูมีภาษาสเปนอยู่ ด้วย

ไม่ผิดหวังได้ red snapper ไทยคงเรียกปลากระพงแดง ทอด ตัวใหญ่ๆ พร้อมข้าวสวย มาในราคา$20 ซึ่งคุ้มมากเพราะไม่ต้องทอดเองให้น้ำมันกระเด็น (ขอบคุณแอนนี่ที่แนะนำจ้า)





ก่อนทานเอาข้าวสวยมาผัดกับไข่ และ ปลาเค็มอันหอมหวล ได้เป็นข้าวผัดทานกับปลาทอด ง่ายๆแต่อร่อย

นางแบบหน้าบานพุงยื่น เพราะน้ำหนักสี่กิโลที่แบกกลับมาจากเมืองไทยยังอยู่ครบ




ทานเสร็จก็นั่งดูประกาศผลรางวัลอคาเดมี่ หรือที่รุ้จักในนาม ออสก้าอวอร์ด




ปิดท้ายด้วยภาพตะวันกำลังจะลับฟ้าตอนเดินถือห่อปลากลับมา ที่แถวหน้าบ้าน





เป็นวันหยุดที่ง่ายๆแต่มีความสุขเช่นเดิม

โชคดีมีความสุขทุกคนค่ะ

Create Date : 09 มีนาคม 2553		9 comments
Last Update : 9 มีนาคม 2553 20:44:31 น.
Counter : 1676 Pageviews.
Share Tweet