พระธรรมเทศนาของพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)แสดงพระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙
ณ วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
อายุโท พลโท ธีโรติ
บัดนี้จะได้แสดงธรรมะข้อหนึ่ง
อันเป็นคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ัฟังสักเล็กน้อย
เพื่อเป็นเครื่องส่งเสริมกำลังกายและกำลังใจ
คนเรามีชีวิตอยู่ด้วย
กำลังกายและ
กำลังใจถ้าปราศจาก ๒ สิ่งนี้แล้ว ชีวิตก็จะดำรงอยู่ไม่ได้
กำลังกายนั้นถึงเราจะบำรุงส่งเสริมด้วยปัจจัย ๔ มีโลกียทรัพย์ เป็นต้น สักเท่าใด
ก็ไม่วายเสื่อมสิ้นหมดไปด้วยธรรมดาและธรรมธาตุ
คือ ไม่พ้นจากความแก่ เจ็บ ตาย และยังต้องอาศัยกำลังใจช่วยด้วย
ส่วนกำลังใจนั้นไม่ต้องอาศัยปัจจัย ๔ คือ โลกียทรัพย์ เลยก็ได้
ไม่ต้องอาศัยกำลังทางส่วนร่างกาย อาศัยแต่
"อริยทรัพย์"อย่างเดียวก็ทรงตัวอยู่ได้
ดังนั้นกำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่ากำลังกาย
คนที่ไม่มีกำลังของตัวเองก็ต้องหวังพึ่งคนอื่นไปก่อนจนกว่าจะตั้งตัวได้
การพึ่งคนอื่นนี้ก็ต้องระวังหาที่พึ่งให้ดี ตรงกับบาลีว่า
อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจเสวนาคือ ต้องเลือกคบคนที่ดี คบแต่นักปราชญ์บัณฑิต
ท่านจะได้ช่วยแนะนำสั่งสอนให้เราเป็นคนดี
ถ้าไปคบกับคนพาลก็จะต้องได้รับผลร้าย ที่พึ่งอันนี้จึงไม่จัดว่าดีจริง
เพราะถ้าจะเปรียบแล้วก็เหมือนกับการยิงนก อาจจะถูกปีกมันบ้างหรือหางมันบ้าง
ถ้าจะให้ถูกตรงเป้าดำจริงแล้วก็ต้องอาศัยที่พึ่งอีกอย่างหนึ่ง คือ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ คือ การพึ่งตนของตนเองอย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากเป็นอย่างยอด
เพราะทำให้เราได้รู้จักกรรมดี กรรมชั่ว ของตนเอง คือ
"กมฺมสฺสโกมฺหิ" แล้วเราก็จะไม่ต้องไปหวังพึ่งคนอื่นอีกเลย
การหาที่พึ่งอันนี้ต้องอาศัยธรรม ๕ ประการ คือ
สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาซึ่งเรียกว่า พละหรือกำลังที่จะเป็นเครือ่งช่วยค้ำจุนส่งเสริมให้เรามีกำลังใจก้าวไปสู่ความดี
รวมลงแล้วก็สงเคราะห์อยู่ใน
ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
คือ ศรัทธา ได้แก่ ศีล
วิริยะ สติ และสมาธิ เข้าอยู่ใน สมาธิ
และปัญญาก็เข้าใจในองค์ปัญญา
๑.) ศรัทธาเมื่อผู้ใดมี
"ศรัทธา" ก็เท่ากับมีทรัพย์แล้ว เขาเป็นผู้ไม่จน
"ศีล" เป็นเหมือนผ้าขาวที่หุ้มห่อพันกายให้งดงามเหมือนกลีบดอกบัวที่ห่อหุ้มความหอมของเกสรไว้
และเป็นตัว "ปหานธรรม" ที่คอยตัดทำลายความชั่วทุจริตทางกายให้เป็นกายสุจริต
นี้เป็นตัวศีลแต่ก็ยังไม่ดีนัก และเมื่อมีศีลแล้วก็จะต้องมี "ธรรม" กำกับด้วย
๒.) วิริยะ"วิริยะ" เป็นตัวขยันหมั่นเพียร บากบั่น แกล้วกล้าในกิจการงานไม่ท้อถอย
เพื่อให้เป็นกำลังเจริญก้าวหน้าในความดี
๓.) สติ"สติ" เป็นตัวสำรวมระวังในการดำเนินทางกาย วาจา ใจ ไม่ให้ผิดพลาด
กำหนดรู้ในความดีความชั่ว อันเป็นเหตุที่จะไม่ให้ความประพฤติตกไปในทางบาปอกุศลได้
๔.) สมาธิ"สมาธิ" คือ ความตั้งจิตมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว คือ
"เอกายน มรรค" ไม่ให้จิตโอนเอน โยกคลอนหรือหวั่นไหวไปในอารมณ์ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
ทั้งอดีต และอนาคต ต้องทำใจให้เป็น "มโนสุจริต"
ทั้ง ๓ องค์นี้ (วิริยะ สติ สมาธิ) เรียกว่า "ศีลธรรม" ละวิตก วิจาร พยาปาทะ วิหิงสา เป็น "เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป"
จิตไม่เข้าไปยินดียินร้ายในกิเลสกามและพัสดุกาม ทั้งดีและชั่ว
เป็นจิตของ "ผู้บวช" ถึงจะบวชก็ตาม ไม่บวชก็ตาม อยู่บ้านก็ตาม อยู่วัดก็ตาม
จัดเป็น"ผู้บวช"ทั้งสิ้น คัดลอกจาก...
หนังสือแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน ๒
พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์
(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)พิมพ์เผยแพร่โดย ชมรมกัลยาณธรรม หน้า ๕๐-๕๓