|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
Subprime Crisis
Housing Finance in USA - ตามทฤษฎี เงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยจะสูงกว่าเงินกู้ระยะสั้น ? - เงินกู้ที่ 30 ปี ถ้าคิดดอกเบี้ย fixed rate ดอกเบี้ยก็ต้องสูงกว่าดอกเบี้ยลอยตัว - คนไทยไม่ชอบดอกเบี้ยคงที่ เพราะชอบกู้ที่ดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด - เดิมตลาดUS เป็นดอกเบี้ยคงที่ แต่ตอนนี้เป็นดอกเบี้ยปรับได้ 50% เป็นดอกเบี้ยที่ปรับได้ทุก 1 ปี - ระบบเงินกู้ที่อยู่อาศัยของUS เท่ากับ 50% ของ GNP (ไทยแค่ 10%) (GNP =Gross National Product คือ เอารายได้ของคนทุกคนในประเทศ บวกกับรายได้ของบริษัททั้งประเทศ)
Prime Mortgage - Prime Costumer คือลูกค้าชั้นดี ธนาคารอยากได้มากู้เงิน เพราะโอกาสเป็น NPL น้อยมาก - กู้น้อยกว่า 80% ของราคาบ้าน - ไม่มีประวัติเสียในเครดิตbureau (ไม่เคยผิดนัดชำระนี้เป็นเวลา 3 ปี) - จ่ายเงินงวดน้อยกว่า 25% ของรายได้ในแต่ละเดือน - good credit scoring
Subprime Mortgage - เป็นลูกค้าชั้น 2 - เครดิตไม่ดี - ต้องกู้ที่ดอกเบี้ยแพง
Subprime Crisis - อัตราดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากเหตุการณ์ 9-11 - Mortgage company ต้องการปล่อยสินเชื่อให้ subprime มากขึ้นเนื่องจากได้อัตราดอกเบี้ยมากกว่า - Investment Bank หาวิธีขายตราสารหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น เลยหันมามอง subprime - Investment Banker (ธนาคารเพื่อการลงทุน) เช่น เจพีมอร์แกน หรือ ลีแมนบราเทอร์ คือไม่รับฝากเงิน ไม่ได้ให้กู้แบบธนาคารพานิชย์ไทย ส่วนใหญ่ทำตราสารหนี้ขาย หรือเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำงานคล้ายๆ บริษัทเงินทุน (Finance Company)ในไทย โดยที่รายได้มาจากค่าปรึกษา และค่าcommission - เมื่อทำตราสารหนี้ชั้น 1 มาจาก subprime ทำให้เกิดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ boom มากใน US
Subprime securitization (Collateralized Mortgage Obligation) = CMO
Securitization ขั้นแรก เอาสินเชื่อชั้น 2 มาทำ paper แบบชั้น 1 โดยแบ่งออกมาเป็น 2 Class Class ที่ 1 เรียกว่า Senior-Saleable เป็นตราสารหนี้คุณภาพสูง ขายได้เพราะโอกาสเป็น NPL น้อยมาก Class ที่ 2 เรียกว่า subordinate-hold ทางinvestment bank ต้องถือไว้เอง โดยนิยามไว้ว่า เวลาสินเชื่อชั้น2 เสียเป็น NPL ให้ subordinate-hold โดนก่อน เช่น คิดว่า NPL จากลูกค้าชั้น 2 น่าจะประมาณ 5% ออกตราสารหนี้โดยแบ่งไปอยู่ที่ Senior 85% และที่ Subordinate 15% จะเห็นว่า ต้องมี NPL มากกว่า 15% ถึงจะโดน Class Senior
CDOs Securitization (Collateralized Debt Obligations)
Securitization ที่สอง CDOs หมายถึง การทำตราสารหนี้ถึง 2 ครั้ง โดยการเอาตราสารหนี้ที่ทำsecuritize มาแล้ว 1 ครั้ง มาทำอีกครั้งหนึ่ง โดยตั้ง nominee company ขึ้นมาอีก 1 บริษัท โดนเอา ตราสารหนี้จากClass senior + เอาตราสารหนี้จากลูกค้าชั้นหนึ่ง+ ตราสารหนี้จากลูกค้าประเภทอื่น(เช่นผ่อนรถ) +หุ้นกู้อย่างอื่น แล้วให้บริษัทออกตราสารหนี้ใหม่ เป็น 3 Class
CDOs Securitization (Financial engineering)
ทั้ง 3 Class ประกอบด้วย 1.Senior :AAA ให้ผลตอบแทนสูง 2. Mezzanine : AA to BB ให้ผลตอบแทนสูง 3. Equity : unrate << คนทำถือเองส่วนหนึ่ง และขายไปส่วนหนึ่ง ถ้าได้ BBB ขึ้นไป เป็น investment grade
Subprime Crisis - 5 -6 ปีที่ผ่านมา : subprime ไม่มี NPL เพราะถ้าผ่อนชำระหนี้บ้านไม่ไหว สามารถขายบ้าน แล้วได้กำไร เอาไปชำระหนี้ได้ แต่จะทำเช่นนี้ได้....เงื่อนไข คือ “ราคาบ้านต้องขึ้นทุกปี” - เกิด Oil Crisis ครั้งที่ 3 ค่าน้ำมันขึ้นไปเรื่อยๆ คนอเมริกันกลัวเงินเฟ้อ ทางFEDจึงทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ย - ราคาบ้านจึงตก - subprime ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงรีบขายบ้าน ราคาบ้านจึงตกเข้าไปอีก แล้วขายไม่ได้ ก็เกิด NPL มากขึ้นเรื่อยๆ - คนที่ให้กู้ตรง subordinate เจ๊งกันหมด - พอหยุดให้กู้ ระบบการเงินชะงักทั้งประเทศ - จากที่ คิดว่า NPL ไม่เกิน 10% จึงกลายเป็น 20% -25% - ผลกระทบจาก US ไปทั่วโลก เพราะทุกประเทศ ซื้อตราสารหนี้จาก US เพราะเห็นว่าได้ผลตอบแทนสูง และ ratingดี
Reference : จาก Class Financial and Investment ชื่อผู้บรรยายจะตามอัพทีหลัง หลังจากที่เพื่อนที่ยืม lecture ไปเอามาคืนนะฮะ
ปล อ่าน link นี้แล้วเห็นภาพ เลยเอามาแปะเพิ่ม เชิญ click พลัน
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550 |
|
6 comments |
Last Update : 25 กันยายน 2552 22:55:54 น. |
Counter : 1711 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Nutjung 30 พฤศจิกายน 2550 17:06:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: PPpIRCU 30 พฤศจิกายน 2550 17:34:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: vodca 2 ธันวาคม 2550 8:38:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: arty IP: 124.120.167.88 2 ธันวาคม 2550 16:53:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|