ไขมูลเหตุ "พระเพทราชา" ยึดอำนาจ .. เพื่อปกป้องสยาม?
ปรวรรณ วงษ์รวยดี
อาณาจักรอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์แห่งราชวงศ์ปราสาททอง ได้ชื่อว่าเป็นยุครุ่งเรืองในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีชาวตะวันตกหลายชาติ ทั้งโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส เข้ามาในสยาม ด้วยมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ ค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า รวมทั้งเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในฝั่งซีกโลกเอเชีย การปรากฏภาพชุมชนชาวยุโรปจึงไม่ได้เป็นสิ่งแปลกปลอมในสายตาชาวสยามในขณะนั้น
เจ้าพระยาวิชเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสที่มีบทบาทมากในราชสำนักอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฟอลคอนเข้ามาสยามในฐานะพ่อค้า ราวปี พ.ศ.2218 และเนื่องจากเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว มีปัญญาฉลาดหลักแหลม จึงทำให้ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งสมุหเสนา และเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์อย่างมาก
ความใกล้ ชิดของฟอลคอนกับสมเด็จพระนารายณ์นี้เอง ที่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์บางท่านลงความเห็นว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในอยุธยา แม้ว่าในตำราเรียนสังคมศึกษาของไทย ยกย่องว่าฟอลคอนเป็นชาวตะวันตกที่จงรักภักดีต่ออยุธยามากที่สุดคนหนึ่งก็ตาม
หลัง การครองราชย์ยาวนานกว่า 30 ปี ในปลายพ.ศ.2230-2231 ถึงช่วงเปลี่ยนผ่านแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์ประชวรหนัก และเสด็จไปประทับที่ตำหนักพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี
ต่อ มาวันที่ 18 พ.ค. ปีพ.ศ.2231 คณะขุนนางและทหาร นำโดย พระเพทราชา สมุหพระคชบาล ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการ และ หลวงสรศักดิ์ พระโอรสที่พระนารายณ์ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ยกขบวนมาที่ตึกพระเจ้าเหา แล้วประกาศยึดอำนาจ กักตัวสมเด็จพระนารายณ์ไว้โดยไม่สำเร็จโทษ จับกุมเจ้าพระยาวิชเยนทร์ และขับไล่ทหารฝรั่งเศสออกจากอยุธยา แล้วพระเพทราชาก็ขึ้นครองราชย์ สถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงขึ้น
กระทั่งวันที่ 4 มิ.ย. มีคำสั่งประหารชีวิตเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ที่วัดซาก ใกล้พระตำหนักทะเลชุบศร ส่วนสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต วันที่ 11 ก.ค. พ.ศ.2231 หลังการยึดอำนาจประมาณ 1 เดือนเศษ เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์ปราสาททอง และยุติความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสนับแต่นั้นมา
คํา ถามมากมายเกิดขึ้นในแวดวงผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ ว่าแท้จริงแล้วมูลเหตุของการเข้ายึดอำนาจของพระเพทราชา เป็นไปเพื่อปกป้องสยามไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศส หรือมุ่งแย่งชิงราชบัลลังก์สมเด็จพระนารายณ์
สโมสรศิลปวัฒนธรรม ในเครือมติชน จัดเสวนาชวนฟังและตั้งคำถามต่อข้อสงสัยดังกล่าวในหัวข้อ "พระเพทราชายึดอำนาจ : เพื่อชาติ หรือแค่ชิงราชบัลลังก์พระนารายณ์" เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่อาคาร มติชนอคาเดมี
อาจารย์กิติกร มีทรัพย์ คอลัมนิสต์มติชนสุดสัปดาห์ เสนอว่าเหตุที่พระเพทราชาปฏิวัติยึดราชบัลลังก์ สมเด็จพระนารายณ์มาจากแรงกดดัน 3 ทาง คือ
1. ปลาย พ.ศ.2230 สมเด็จพระนารายณ์ประชวรหนัก และไม่ทรงระบุให้ชัดเจนว่าจะให้ใครเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ ทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดขึ้นในราชสำนักอยุธยา
2. เจ้าพระยาวิชเยนทร์ วางแผนเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในอยุธยา ด้วยการนำการค้าเข้ามาก่อน จากนั้นได้รับราชการใกล้ชิดสมเด็จพระนารายณ์ กลายเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งและเป็นชาวต่างชาติที่มีอำนาจทางการเมืองฝ่ายใน อย่างที่ไม่เคยมีชาวต่างชาติคนใดทำได้มาก่อน สร้างความไม่ไว้วางใจในสายตาขุนนางฝ่ายอยุธยา
และ 3.หลวงสรศักดิ์ (ต่อมาคือพระเจ้าเสือ) เป็นคนต้นคิดในการยึดอำนาจ ทำให้พระเพทราชาในฐานะอาจารย์และพ่อบุญธรรม จำเป็นต้องปฏิวัติ และจำใจรับราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
อาจารย์กิติกรให้ ความเห็นว่า เหตุที่สมเด็จพระนารายณ์ไม่ระบุตัว ผู้สืบราชสมบัติ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพระองค์ตกอยู่ในภาวะกลืน ไม่เข้าคายไม่ออก แต่ส่วนตัวเห็นว่าสมเด็จพระนารายณ์จงใจไม่ระบุ ตัวผู้สืบทอด เพราะทรงเชื่อในบุญญาธิการของตัวเองว่าจะยังไม่สิ้นพระชนม์ในเร็ววัน ขณะที่ฝ่ายพระเพทราชาเป็นคนธรรมะธัมโม เคยผ่านเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจหลายครั้ง และเบื่อหน่ายที่ต้องเห็นการฆ่าฟัน ประกอบกับมีแนวคิดค่อนข้างอนุรักษนิยม ต้องการให้พระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์สืบราชสมบัติมากกว่า จึงเห็นว่าพระเพทราชาไม่ได้ปฏิวัติเพราะมีใจอยากขึ้นครองราชย์ตั้งแต่แรก
แย้ง กับความเห็นของ รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่เห็นว่าพระเพทราชาวางหมากทางการเมืองนี้มาอย่างดี แต่เพิ่งมาปรากฏชัดเจนในภายหลังเท่านั้น แม้ว่าหากพิจารณาเอกสารฝ่ายสยาม จะบันทึกไว้ในทำนองว่าหลวงสรศักดิ์เป็นคนต้นคิดก็ตาม เพราะจากหลักฐานพงศาวดารและบันทึกของฝรั่งเศส ระบุว่าในปลาย พ.ศ.2230 กองกำลังทหารฝรั่งเศสที่เข้ามาในอยุธยา พร้อมกับคณะทูตลาลูแบร์ ซึ่งเป็นทูตฝรั่งเศสชุดสุดท้ายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้รับโองการซึ่งอ้างว่าเป็นของสมเด็จพระนารายณ์ ให้แยกกำลังเป็นส่วนๆ ไปประจำที่เมืองมะริด
อาจารย์ปรีดีตั้งข้อสันนิษฐานว่า โองการดังกล่าวอาจเป็นของจริง หรือเป็นโองการลวงที่พระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์อาศัยช่วงที่สมเด็จพระ นารายณ์ป่วยอยู่ที่ลพบุรี วางแผนให้ทหารฝรั่งเศสกระจายออกจากอยุธยาไปยังเมืองต่างๆ ประกอบกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ สนับสนุนให้พระปีย์ บุตรบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป เพื่อง่ายต่อการครอบงำของฝรั่งเศส เข้าใจว่าพระเพทราชารู้เท่าทันแผนการนี้ จึงเห็นสมควรว่าต้องปฏิวัติเพื่อไม่ให้อำนาจตกไปอยู่กับชาวต่างชาติ จึงได้รวบรวมกำลังทั้งจากขุนนาง ไพร่ พระ บุกเข้ายึดวังหลวง
พระ เพทราชายึดอำนาจสำเร็จไม่ได้ ถ้าไม่มีแรงสนับ สนุนจากประเทศตะวันตกชาติอื่นๆ เพราะในช่วงกลางรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ฝรั่งเศสมีอิทธิพลมากในสยาม ตามหลักฐาน เช่น บ้านของฟอลคอน เป็นบ้านของชาวตะวันตกชาติเดียวที่ได้รับอนุญาตให้สร้างอยู่ในเกาะเมืองอยุธยา หรือหลักฐานการยกพื้นที่ตำบลเกาะมหาพราหมณ์ ทางตอนเหนือของอยุธยาให้ชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ แสดงให้เห็นว่าฝรั่งเศสได้รับสิทธิ์บางอย่างมากกว่าชาติตะวันตกอื่นๆ
อาจารย์ ปรีดีเสริมอีกว่า การที่อยุธยารับฝรั่งเศสเข้ามา ไม่ได้เพื่อจุดประสงค์ในการคานอำนาจกับฮอลันดาตามที่ถูกบรรจุในแบบเรียน เพราะไม่ปรากฏหลักฐานนี้ในบันทึกของฝรั่งเศส และชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในยุคแรกๆ ก็เป็นเพียงมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาตาม หัวเมืองใหญ่เท่านั้น แต่เนื่องจากประจวบเหมาะกับช่วงที่ฮอลันดาเสื่อมอำนาจลงจากการถูกโจรสลัดโจม ตี ทำให้ฝรั่งเศสก้าวขึ้นมามีอำนาจ
แม้ชาวอยุธยาเห็นชาติ ตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องในกิจการต่างๆ เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเห็นว่า "ฝรั่ง" เหล่านี้เริ่มมีบทบาทมากกว่าเดิม เปลี่ยนจากการค้า หรือศาสนา เข้าไปสู่ปริมณฑลทางการเมือง คนอยุธยารับไม่ได้ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบในแบบฉบับของชาวสยามที่คนต่างชาติ ไม่เข้าใจ โดยการปล่อยข่าวลือว่าพวกฝรั่งเศสเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง หรือสร้างเงื่อนไขที่จำกัดอำนาจชาวต่างชาติ เช่น ห้ามคนสยาม มอญ ลาวเข้ารีต หรือการเปลี่ยนมาเชื่อ เลื่อมใส ศรัทธา และปฏิบัติตามศาสนาอื่นแทน ห้ามมิชชันนารีสอนศาสนาเป็นภาษาไทยและเขมร ซึ่งเป็นวิธีการสงวนพื้นที่และอำนาจของขุนนางสยามในช่วงที่ฝรั่งเศสกำลัง มีอิทธิพล
ท้ายที่สุด อาจารย์ปรีดีสรุปว่า ข้อสงสัยที่ว่าพระเพทราชาปฏิวัติเพื่อ "กู้ชาติ" หรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ที่เราจะตอบ เพราะการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างสนุกอยู่ที่การตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล ดังนั้นไม่ว่าพระเพทราชาจะกู้ชาติ หรือช่วงชิงราชบัลลังก์ มีปัจจัยที่สมมติฐานได้จากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ ซึ่งเห็นพ้องกันว่าการปฏิวัติครั้งนั้นไม่ได้เกิดจากความต้องการส่วนตัวของ พระเพทราชา แต่เกิดแรงผลักดันจากข้างนอกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นจากหลวงสรศักดิ์ จากฝรั่งเศส หรือทั้งสองกรณี
อีก หนึ่งประเด็นที่ต้องไม่ลืม คือ สยามในตอนนั้นเป็นอาณาจักรที่ไม่มีเส้นพรมแดนอาณาเขตแน่ชัด ดังนั้นเราไม่รู้ว่าสำนึกความเป็น "ชาติ" ของพระเพทราชาคืออะไร รู้เพียงว่าสิ่งนั้นไม่มีตัวตน
"ชาติ" จึงอาจเท่ากับ "อำนาจ" ที่เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียไป จึงต้องต่อสู้แย่งชิงให้ได้กลับคืนมา ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณปรวรรณ วงษ์รวยดี สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 22 กันยายน 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 22 กันยายน 2557 10:45:43 น. |
Counter : 2985 Pageviews. |
|
|
|