BlogGang.com : : sirivinit : เวียดนามฝ่าปมต้องห้าม รัฐบาลให้ทุนสร้างหนังเพศที่ 3

เวียดนามฝ่าปมต้องห้าม รัฐบาลให้ทุนสร้างหนังเพศที่ 3

คอลัมน์ รายงานพิเศษ

เทศกาลภาพยนตร์อุษาคเนย์ครั้งที่ 9 โดยกลุ่มฟิล์มกาวัน (Film Kawan) และโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลางสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เป็นภาพยนตร์เวียดนามที่เล่าเรื่องราว "ความรักของคนเพศเดียวกัน"

ประเด็นที่เป็นกระแสอยู่ทั่วโลก เมื่อเริ่มมีกฎหมายรองรับสถานะของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงาน

สำหรับเวียดนามเพิ่งมีงานเคลื่อนไหวของกลุ่มสิทธิชาวเกย์ เป็นพาเหรดสีรุ้ง Gay Pride March ในกรุงฮานอยไปเมื่อต้นเดือน

ภาพยนตร์ที่นำมาฉายมีชื่อว่า Adrift (เคว้งคว้าง) หรือ เจยเวย ในภาษาเวียดนาม

เล่าเรื่อง "เซวียน" ไกด์สาวสวยตัดสินใจแต่งงานอยู่กินกับสามีนามว่า "ไฮ่" คนขับแท็กซี่หนุ่มที่มีอายุอ่อนกว่า 2 ปี แต่ชีวิตหลังจากการแต่งงานกลับไร้ความสุข

"ความเปลี่ยวเหงา" ทำให้เซวียนไขว่คว้าและเปลี่ยนแปลงตนเองจากคนใสซื่อธรรมดา กลายเป็นผู้หญิงผู้ตื่นรู้ตามความทันสมัยที่เปลี่ยนไปของฮานอย โดยมี "เกิ่ม" เพื่อนหญิงนักเขียนผู้เจนโลกเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลง

ความสนิทสนมนี้ ดูเหมือนจะทำให้เซวียนเริ่มตระหนักว่า เกิ่มได้ช่วยเยียวยาความเปลี่ยวเหงาของตนได้ ในขณะที่สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะเกิ่มเองก็ไม่อาจจะหาความสุขได้จากความสัมพันธ์กับชายหนุ่มนามว่า "โถ" ไกด์หนุ่มผู้เสพติดเซ็กซ์ แต่เกิ่มกลับมีปฏิกิริยาเคมีกับเซวียนมากขึ้นเรื่อยๆ

เกิ่มทำให้เซวียนกับโถได้เจอกัน ชายหนุ่มกลายเป็นอีกคนที่เข้ามาบำบัดความเปลี่ยวเหงาของเซวียน ด้วยความคลั่งไคล้ตามแบบฉบับของสังคมชายเป็นใหญ่

ตัวละครทั้งหมดไม่อาจจะสะกดให้ความเปลี่ยวเหงา และความปรารถนาเบื้องลึกให้หยุดนิ่งได้ ต่างต้องเผชิญหน้ากับมาตรฐานทางศีลธรรมแบบประเพณีนิยม และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่จะเกี่ยวพันกับความรู้สึกของทุกตัวละคร

นายพิสิฐ อำนวยเงินตรา ผู้เชี่ยวชาญเวียดนามศึกษา ม.เกษตรศาสตร์ อดีตนักศึกษาดีเด่น Vietnam National University 2011 กล่าวว่า หนังเรื่องนี้ได้รางวัลยอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์ จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ และได้รับเลือกให้ฉายในอีกหลายเทศกาลภาพยนตร์

แม้ในเรื่องจะมีไม่มีฉากที่หวือหวา เพื่อแสดงว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักระหว่างผู้หญิงสองคนนั้น แต่มีสัญญะและการตีความมากมาย ที่มองว่ารูปแบบของความรักดังกล่าวไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในความเข้าใจทั่วไปเท่านั้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการสร้างจากรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า เหตุใดประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จึงสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ประเภทนี้

ทั้งที่ในสังคมเวียดนาม เรื่องการรักเพศเดียวกัน หรือเพศที่สาม ถือเป็นเรื่องแปลกแยก และต้องห้ามในความเชื่อพื้นฐานของสังคม

คำตอบก็คือ เพราะรัฐบาลเวียดนามต้องการพัฒนาสังคมเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่

อีกหนึ่งสิ่งที่คนไทยมักเข้าใจผิดคือ เข้าใจว่าคนเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่ความจริงแล้ว ประชากรถึงร้อยละ 85 ไร้ศาสนา ที่เหลือนับถือบรรพบุรุษ เป็นที่ยึดเหนี่ยวติดใจตามแบบขงจื๊อ รองลงมาคือพุทธมหายาน ส่วนศาสนาอิสลามในเวียดนามถือเป็นเรื่องที่น้อยมากและแทบไม่ปรากฏให้เห็น

วัฒนธรรมการยอมรับเพศที่สาม ในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับสังคมในเมืองหลวงอย่างกรุงฮานอย ฝั่งเหนือ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการบริหารควบคุมประเทศ ทำให้มีบรรยากาศที่ค่อนข้างจะเคร่งครัด และเป็นแบบอนุรักษนิยมมากกว่า

จากประสบการณ์ที่พิสิฐเคยอยู่ในเวียดนามเป็นเวลา 3 ปี กล่าวว่าแทบจะไม่เห็นเพศที่สามในเวียดนามเลย เท่าที่รู้จักและเปิดเผยตัวตนก็มีเพียงแค่คนเดียว เท่าที่รู้มา แต่ในส่วนที่ไม่รู้อาจจะไม่เปิดเผยก็เป็นได้ จากอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อ ทำให้สังคมเวียดนามมีลักษณะของสังคมที่ชายเป็นใหญ่ และผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลเรื่องภายในบ้าน

แต่หากเข้าสู่เมืองไซ่ง่อน (โฮจิมินห์) ฝั่งเวียดนามใต้ แล้วบรรยากาศกลับต่างออกไป สังคมค่อนข้างเปิดกว้างและยอมรับเพศที่สามมากกว่า

จากกรณีของเวียดนาม หากเทียบกับไทยแล้ว คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้างมากสำหรับเพศที่สาม หากไม่นับเรื่องกฎหมายรับรองสิทธิที่ยังไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

เรื่องนี้สอดคล้องกับรายงานของโธมัส ฟุลเลอร์ ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ไทมส์ว่า ไทยเป็นประเทศอันดับ 1 ในเอเชียที่ชาวสีรุ้งทั่วโลกอยากมาเยือนมากที่สุด

รายได้จากการท่องเที่ยวจากกลุ่มนี้สูงถึง 48,000 ล้านบาท เพราะนักท่องเที่ยวสีรุ้งส่วนใหญ่ไม่ว่าชาติใด นับถือศาสนาใดรู้สึกว่า ไม่มีใครมาตัดสินว่าเขาเป็นอะไร เมื่ออยู่ที่นี่

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงาน เชียงใหม่ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวทุกเพศ ทุกศาสนา ดังเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมที่เพิ่มขึ้นในไทย ทั้งมี "Go Thai, Be Free" เอาใจนักท่องเที่ยวเพศที่สามเป็นพิเศษ

กลุ่มนักท่องเที่ยวเกย์เปิดใจว่า อยากไปเที่ยวประเทศอาเซียนอย่าง มาเลเซีย พม่า อินโดนีเซีย เช่นกัน แต่ด้วยหลักกฎหมายที่ไม่ เอื้ออำนวยและวัฒนธรรมการมองเพศที่สาม เป็นผู้บกพร่องผิดแปลกในสังคม ทำให้กลุ่มเกย์อึดอัดจากความรู้สึกแปลกแยกในสังคม

หน้า 10

ขอบคุณ
ข่าวสดออนไลน์
คอลัมน์ รายงานพิเศษ

สิริสวัสดิ์อาทิตยวารค่ะ

Create Date : 18 สิงหาคม 2556

Last Update : 18 สิงหาคม 2556 14:02:22 น.

0 comments

Counter : 2497 Pageviews.