การจากไปของ "สุโพธา ภิกษุณี" หรือ หลวงพี่ป๊อป แห่งวัตรทรงธรรมกัลยาณี อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อตอนเช้ามืดของวันเสาร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นับเป็นการจากไปที่ใหญ่ยิ่ง แม้ผู้จากไปจะเป็นเพียงนักบวชหญิงเล็กๆ รูปหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักของคนในหมู่มาก แต่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของชาววัตรทรงธรรมกัลยาณี
โรคมะเร็งยอดฮิตได้พรากชีวิตของภิกษุณีสาววัยไม่ถึง ๔๐ ปี ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพี่บ๊อปได้ควักทุนส่วนตัวพิมพ์หนังสือ "ธรรมะ 18+" แจกฟรีเป็นธรรมทาน เพื่อมอบให้ผู้อ่านที่สนใจวิถีชีวิต วิธีคิด รวมทั้งธรรมะพิชิตโรคมะเร็งในแบบหลวงพี่ป๊อป ทั้งนี้ ท่านได้เขียนขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ระหว่างรักษาตัวจากโรคมะเร็งครั้งที่ ๓ แม้ว่าจะไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งก็ตาม ดังคำที่ว่า "เรารักษาโรคเพื่อที่จะยืดชีวิตไปอีกสักหน่อย เพื่อเอาเวลาที่ยืดออกไปได้นั้นใช้ทำประโยชน์ตน ทำประโยชน์โลก ทำให้แจ้งเรื่องที่ยังไม่แจ้ง ทำเรื่องที่ยังไม่บรรลุให้บรรลุ"
ก่อนที่หลวงพี่ป๊อบจะบวชเป็นสามเณรี หลวงพี่เคยป่วยหนัก การป่วยทำให้มีความคิดดีๆ หลายเรื่อง เช่นว่า ไม่รักษาก็ตาย ถึงแม้รักษาหายหรือไม่หายก็ต้องตายอยู่ดี เราไม่ได้รักษาเพื่อจะไม่ตาย แต่เรารักษาโรคเพื่อที่จะยืดชีวิตไปอีกสักหน่อย เพื่อเอาเวลาที่ยืดออกไปได้นั้นใช้ทำประโยชนตน ทำประโยชน์โลก ทำให้แจ้งเรื่องที่ยังไม่แจ้ง ทำเรื่องที่ยังไม่บรรลุให้บรรลุ
ก่อนที่จะเป็นมะเร็งปอด เคยป่วยด้วยมะเร็งเต้านมถึง ๒ ครั้ง เมื่อ ๖ ปีก่อน โดยในการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม ทำให้เส้นประสาทบางส่วนถูกตัดออกไป ทำให้เกิดความเจ็บแสบมากเหนือแผล ขณะนั้นเกือบจะใส่เสื้อไม่ได้ ขนาดที่ว่าผ้าเบาๆ วางบนผิวหนังยิ่งเจ็บแสบมาก ในครั้งนั้นรู้สึกสิ้นหวังกับแพทย์แผนปัจจุบัน แม้แพทย์แผนทางเลือกคงไม่ไหว จึงแสวงหาหนทางการรักษาแบบใหม่ๆ โดยการกลับเข้าไปหาวิถีโบราณที่สุด
เมื่อขึ้นชื่อว่าหายจากโรคมะเร็ง บ่อยครั้งที่มีญาติโยมโทรมาปรึกษาโรคมะเร็งบ่อยๆ ทั้งนี้หลวงพี่ป๊อปจะให้คำแนะนำเปรียบเทียบข้อมูล ข้อเด่นข้อด้อยของวิธีแพทย์ทางเลือก ซึ่งมักเป็นแนวธรรมชาติบำบัด และแพทย์แผนปัจจุบัน คือ การให้คีโมฉายแสง ซึ่งหลวงพี่ผ่านมาแล้วทั้ง ๒ แบบ ทั้งนี้ จะไม่เชียร์วิธีใดทั้งสิ้นแต่จะแนะนำให้ผู้ป่วยเลือกวิธีที่ตนเองศรัทธา อย่าเลือกวิธีที่ญาติศรัทธา เพราะมีผลต่อการรักษามาก ทรมานใจผู้ป่วยเปล่าๆ หากศรัทธาทั้ง ๒ แบบ ก็สามารถผสมผสานให้ลงตัวได้ไม่ผิดอะไร
ข้อคิดอย่างหนึ่งที่หลวงพี่ป๊อบ ได้ระหว่างป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย คือ การป่วยหนักๆ ทำให้ได้มุมในความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ หลวงพี่เห็นความจริงข้อหนึ่งอย่างประจักษ์ใจก็คือ ถึงรักษาก็ยังต้องตายอยู่ดี ดังนั้นเมื่อรักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย แต่หลวงพี่เลือกที่จะรักษา เพื่อยืดชีวิตออกไปอีกสักหน่อย แล้วเอาช่วงเวลาที่ยืดออกไปนั้น มาทำประโยชน์ตน ประโยชน์โลกในเรื่องการทำที่สิ้นสุดแห่งกองทุกข์เรื่องเดียวเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นโลกียสุขใดๆ ในโลก ก็ไม่คุ้มเลยที่จะต้องแลกด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วย
อย่างไรก็ตามหลวงพี่ป๊อปได้พูดถึงการรักษาโรคไว้อย่างน่าคิด คือ พระพุทธเจ้าท่านสอน เปรียบไปก็เหมือนแพทย์แผนทางรอดของมนุษยชาติ ที่ช่วยให้รอดได้จริงในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า การจะรอดจากการแก่เจ็บตายได้นั้น มีทางเดียว คือต้องไม่เกิด ไม่ว่าจะเจ็บไข้ด้วยโรคอะไร โรคทางกายหรือโรคทางใจ ใครจะเลือกใช้การบำบัดด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าได้ลืมแพทย์แผนทางรอดของพระพุทธเจ้าเป็นทางบำบัดควบคู่ไปด้วยเสมอ
จะเลือกวิธีไหนในการรักษาก็ได้ เพราะวิธีไหนเราก็ตายทั้งนั้น ช้าเร็วก็ไม่รู้หรอก อยู่ที่ว่าเราจะตายอย่างไรต่างหาก ช่วงที่ชีวิตยังทำอะไรๆ ได้อยู่ นั่นคือช่วงสำคัญที่สุดในชีวิต ช่วงเวลาแห่งการตาย ไม่ต้องพยายามไปทำสงบ หรือเข้าไปจัดการอะไรกับวิญญาณเลย เพราะมันจะจัดการตัวมันเอง ตามเหตุที่ทำไว้ในยามมีชวิต
หลังจากหายป่วยจากโรคมะเร็งเธอได้ละชีวิตทางโลกเข้าสู่ทางธรรมโดยได้เดินทางไปบวชสายเถรวาท ที่วัดศรีตุสิตารามายา ประเทศศรีลังกา บวชเป็นภิกษุณี โดยพระภิกษุณีอุปัชฌาย์ ท่านสัทธา สุมนาซึ่งเป็นองค์เดียวกับที่บวชให้หลวงแม่ ดร.ฉัตรสุมาลย์ กับภิกษุณีและสามเณรีชาวไทยท่านอื่นๆ โดยได้จำพรรษาอยู่ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณีภิกษุณีอารามจนกระทั้งมรณภาพ
อิสรภาพใน "เรือนจำ(ใจ)
"อิสรภาพในเรือนจำ(ใจ) เป็นบทความบทสุดท้ายที่หลวงพี่ป๊อป ส่งมาลงในหน้าพระเครื่อง "คม ชัด ลึก" เมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่หลวงพี่ป๊อป ได้มีโอกาสติดตามหลวงแม่ธัมมนันทา เข้าไปในเรือนจำนครปฐม เพื่อร่วมด้วยช่วยกันแสดงธรรมแก่ผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่วิเศษมากในชีวิตพระภิกษุณีรูปหนึ่งที่พอจะทำประโยชน์ให้คนที่ทำผิดพลาดในชีวิตได้
การเข้าไปหยอดเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะในเรือนจำจังหวัดนครปฐมยังคงดำเนินต่อไป มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากที่พระภิกษุณีนำเข้าไปบอกสอนเหล่าผู้เคยผิดพลาดในชีวิตก็คือ การให้อภัย เราพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า การให้อภัยนี้ถือเป็นการปลดปล่อยจิตวิญญาณของผู้ให้อภัยเอง การให้อภัยด้วยการไม่ผูกโกรธ การวางลงเสียซึ่งความอาฆาตพยาบาท คนที่ได้รับประโยชน์คนแรกก็คือใจของผู้ให้อภัยนี้เอง เรื่องราวต่างๆ บนโลกในช่วงชีวิตพวกเรามันสั้นนัก ประโยชน์อะไรที่ต้องเอาจิตวิญญาณไปผูกติดไว้กับเรื่องราวที่ไม่เป็นแก่นสารสาระ ดังนั้น... แม้ว่าเราจะอภัยผู้อื่นก็ตาม แต่นั่นคือการที่เราปลดปล่อยจิตวิญญาณของเราเองจริงๆ
เมื่อพูดถึงการให้อภัย คนส่วนมากมักคิดว่าหมายถึงเพียงการอภัยแก่ผู้อื่นเท่านั้น หลวงพี่จึงบอกกับพวกเขาว่าการให้อภัยนี้หมายรวมถึงการให้อภัยตนเองด้วย และนี้ก็คือการปลดปล่อยจิตวิญญาณตนเองเช่นกัน พวกเราบางคนให้อภัยคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง กลับกักขังจิตวิญญาณตนเองไว้ใน กรงขังแห่งความรู้สึกผิด ชนิดที่ไม่รู้กำหนดวันพ้นโทษได้เลย
การสำนึกผิดเป็นเรื่องที่ดี แต่การไปจมอยู่ในความสำนึกผิดยาวนานเกินไป เป็นเรื่องไม่ดี ... กรณีนี้หลวงพี่จึงยกตัวอย่าง องคุลีมาล เป็นตัวอย่าง ถึงความผิดพลาดที่ร้ายแรงขนาดที่อาจกล่าวได้ว่าต้องลงนรกกันไม่รู้ยาวนานเท่าไหร่ ฆ่าคนตายมามากมาย แต่เมื่อมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าได้ฟังพระธรรม จึงละทิ้งการกระทำเดิมๆ ไม่มัวพะวักพะวนจ่มจ่อมอยู่ในบาปกรรมที่เคยทำแต่หนหลัง พลิกผันชีวิตตนเอง หันมาตั้งหน้าศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง มหาโจร ๙๙๙ ศพอย่างท่านองคุลีมาลก็สามารถบรรลุธรรมได้
การอภัยให้กับความผิดพลาดของตนเองได้ ไม่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเลวร้ายในอดีต แล้วพิจารณาว่าวันนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง แล้วทำไปตามนั้น นี่ต่างหากชีวิตจึงจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ ไม่ติดแหง็กอยู่กับคุกในใจที่เราสร้างขึ้นมาเองและนี้คือ อิสรภาพในเรือนจำ...ใจ
ขอบคุณ
คม ชัด ลึกออนไลน์
คุณไตรเทพ ไกรงู
สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ