บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 

ชีวิตจริง(7)...คุณเหมียว กับสมการความสุข







คุณเหมียว วรัตดา ภัทธโรดม มาเป็นแขกรับเชิญนั้น เรียกว่า กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ดิฉันต้องกลับมาย้อนมองตัวเองเช่นกันว่า เงิน+หน้าที่การงาน+ การประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย มีบ้าน มีรถ มีเงินซื้อของ มันทำให้เรามีความสุขจริงหรือ

เพราะผู้หญิงคนนี้ ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีเงินเดือนสามแสนห้าหมื่นบาทเมื่ออายุเพียง 29 ทุกคนชื่นชมว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่ง ฉลาด ทำให้ชีวิตเธอสมบูรณ์เพียบพร้อม เงินทอง และการงานที่ประสบความสำเร็จ มีบริษัทของตัวเอง มีลูกน้องถึงสองร้อยคน

แต่เธอฉุนเฉียว หงุดหงิด อารมณ์ร้าย เคยเอากรวยกลางถนนขว้างรถอีกคนขณะที่คนคันนั้นปาดหน้าเธอ เอาเรื่องคนที่ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญบารมีในโรงหนังจนขาดสติ เกรี้ยวกราดกับลูกน้อง คนในครอบครัว และเพื่อนฝูง จนวันหนึ่งเธอรับไม่ได้กับความร้ายกาจของตัวเอง จนต้องหาวิธีที่จะทำให้สมการของชีวิตสมบูรณ์ เมื่อมีเงินทอง ประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตก็ควรมีความสุข ไม่ใช่มีทุกอย่างแต่นิสัยแย่ลง เป็นนางเหมียวจอมวายร้าย

เชื่อว่าดูรายการคืนนั้นทำให้ดิฉันเริ่มถามตัวเองบ่อยขึ้นว่าชีวิตต้องการอะไร ดิฉันกำลังเข้าสู่วังวนแบบนั้นอยู่มั้ย? คือ งาน งาน งาน เงิน เงิน เงิน แล้วความสุขล่ะ? มีมั้ย?

ดิฉันเชื่อว่า การเป็นนางมารร้าย อาจเริ่มก่อตัวในชีวิตคุณก็ได้ แล้วมาลองหาคำตอบสมการความสุข ของผู้หญิงที่ชื่อ วรัตดา ภัทธโรดม แล้วคุณจะรู้ว่าใช่คำตอบที่คุณต้องการมั้ย? ...สุธนียา ok nation




















ชีวิตเกิดใหม่ หลังพาใจเข้าโรงเรียน วรัตดา ภัทโรดม

ชีวิตนี้ไม่อยากเกิดอีกแล้ว อยากหลุดพ้นจากความทุกข์ ระหว่างทางที่ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ก็ทำงานทำธุรกิจเป็นสัมมาอาชีพไป ไม่ต้องใหญ่โต ไม่ได้คิดว่าต้องมีเงินเยอะๆ คนเราจะกินข้าววันละกี่บาทกันเชียว เศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ มันคือความพอที่ใจ ทุกวันนี้เงินทองมีพอใช้ มีรถขับ มีคอนโดฯ อยู่ ชีวิตไม่ลำบาก มีเหลือก็ช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากกว่าค่ะ"

ใครจะเชื่อว่านี่จะเป็นเป้าหมายชีวิตของคนที่เคยมีเงินเดือนครึ่งล้าน คนที่มีการช็อปปิ้งและดื่มเหล้าเป็นวิธีหาความสุขใส่ชีวิต คนที่ทำงานในแวดวงการตลาดซึ่งต้องใช้สารพัดกลยุทธ์ เพื่อแข่งขันให้สินค้าและธุรกิจเติบโต โดยมีตัวเลขการเติบโตเป็นหนึ่งในปัจจัยวัดความสำเร็จ คนที่เคยปฏิเสธการนุ่งขาวห่มขาววิปัสสนาด้วยเหตุผลว่า ถ้าบอกไม่ได้ว่าสีของเสื้อสัมพันธ์อย่างไรกับผลของการประสบความสำเร็จในการปฎิบัติก็อย่ามาบอกว่าต้องใส่สีอะไร

วรัตดา ภัทโรดม-เหมียว CEO บริษัท Amity Consulting Co.,Ltd. และเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดให้กับบริษัทและองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ย้อนหลังไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เธอเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่จบมาทางด้าน Direct Marketing ทันทีที่จบปริญญาโทด้านนี้จากอเมริกา เธอก็เริ่มต้นทำงานด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โลกธุรกิจในเมืองไทยกำลังต้องการคนที่มีความรู้ด้านนี้ นั่นทำให้ความสำเร็จ ชื่อเสียง การเป็นที่ยอมรับและรายได้มหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตเธออย่างท่วมท้นในเวลาอันรวดเร็ว

เริ่มต้นการทำงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการแผนก 4 ปีเศษเงินเดือนขยับจากหมื่นสองเป็น เกือบ 5 หมื่นและเป็น 3.5 แสนเมื่ออายุ 29 ถูกทาบทามให้ไปตั้งบริษัท เป็นผู้ถือหุ้น ที่ปรึกษา อาจารย์และผู้บรรยายทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 สื่อรุมล้อมให้ความสนใจ จนชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั้วในวงการธุรกิจ เอเจนซี่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมๆ กับความสำเร็จที่กำลังพุ่งทะยาน อัตตาในตัวเธอก็ค่อยๆ สะสมพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และต่อมามันได้กลายเป็นเหตุที่นำเธอเข้าสู่การปฏิบัติธรรมจนได้พบกับ 'ชีวิตเกิดใหม่' เช่นทุกวันนี้

เหมียวเมื่อก่อนเป็นคน aggressive มากเวลาทำงาน จะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อารมณ์ร้ายโดยเฉพาะเวลาที่คนทำอะไรไม่ได้อย่างใจ ก็จะพูดจาแรงๆ ทำร้ายคนอื่น พูดเสียงดังมากกกก คิดดูออฟฟิศพันตารางเมตรได้ยินเสียงเหมียวทั้งฟลอร์ ค่อนข้างดูถูกคนที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจเรา มองเขาแบบ look down ว่าทำไมแค่นี้ทำไม่ได้ ทำไมช้า วันๆ หนึ่งมีเรื่องให้ฉุนจนโมโหไม่รู้กี่ครั้ง โมโหจนมือสั่น คอตีบเดือนนึงต้องมี 2-3 ครั้ง แม่บ้านทำสีตกใส่เสื้อผ้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นนานวันเข้าดีกรีมันเริ่มมากขึ้นๆ ขนาดใครขับรถปาดหน้าเราก็ขับปาดคืน กระทั่งจอดรถลงไปหยิบกรวยส้มที่วางกั้นบนถนนขว้างใส่คนอื่นก็ทำมาแล้ว ของมันขึ้นความไม่กลัวไม่มีเลย

ตอนนั้นรู้สึกแต่ว่าชีวิตมันเครียด พอเครียดทำอะไรล่ะ ผู้หญิงก็ช้อปปิ้งซื้อกระเป๋า นาฬิกา ซื้ออะไรเลอะเทอะ ที่คาดผมอันละ 5-6 พันก็ซื้อ ไม่ใช่เพราะอยากได้นะ แต่มีความสุขไง พอหงุดหงิดเครียดก็ดื่มเหล้า ทุกวันศุกร์ เสาร์ ต้องไปเมา รู้สึกดื่มแล้วอารมณ์ดี ก็ดื่มตลอดเพราะอยากได้อารมณ์แบบนั้น ติดกับอารมณ์แบบนั้น ท่านโกเอ็นก้าเรียกว่า Emotional Addiction เป็นอย่างนี้ 4-5 ปี ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าการกระทำแบบนี้มันสะท้อนว่าเราไม่มีความสุข"

กระทั่งวันหนึ่งเสียงที่เธอตะเบ็งด่าใส่คนอื่นด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังสะท้อนกลับมาให้เธอได้ยิน นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมจึงไม่มีความสุข และเป็นจุดเริ่มต้นที่พาให้เธอเดินไปพบกับหนทางแห่งความสุขที่แท้จริงของชีวิต

คนรอบๆ ตัวพ่อแม่ เพื่อนก็บอกนะว่าเราทำไมขี้หงุดหงิดจัง ทำไมโมโหง่ายจัง แต่เราไม่เคยคิดอย่างนั้น คิดแต่ว่าฉันปกติ จนวันที่ไปช็อปปิ้ง เหมียวบอกขอดูนาฬิกาสีฟ้ากับพนักงานไป แต่เขาไม่สนใจ เราบอกย้ำไปอีก ทุกครั้งที่บอกเสียงเหมียวก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาหยิบมาให้แต่เป็นสีเขียว คราวนี้โกรธมากเลย บอก 3 ครั้งไม่ฟังแล้วยังหยิบผิดอีก เลยพูดกับพนักงานไปว่า 'ตาบอดสีหรือไง บอกสีฟ้าหยิบสีเขียว' แต่โชคดีมากที่พอทำไปอย่างนั้นแล้วมันรู้สึกได้ยินเสียงตัวเอง รู้สึกว่าทำไมต้องโกรธเขาขนาดนั้น คิดได้ก็ขอโทษเขา พอขึ้นรถร้องไห้เลย มองหน้าตัวเองในกระจกก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร นี่ไม่ใช่เหมียวคนเดิมนี่ แล้วคำพูดของคนที่รักเราก็ค่อยๆ วิ่งเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ

กลับบ้านก็เขียนเลย เหมียวแต่ก่อนนิสัยยังไง เหมียวปัจจุบันนิสัยแย่ยังไง ก็คิดว่าทำไมคนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นอีนี่ อะไรทำให้เหมียวคนนี้กลายเป็น Meow 'the bitch' ก็เจอคำตอบว่าเพราะความสำเร็จ เงิน หน้าที่การงาน ชื่อเสียง ตอนนั้นรู้สึกเหมือนคนอกหักกับสิ่งที่เราได้ยินมาตลอดชีวิต เรียนจบสูงๆ มีเงิน มีงานดีๆ มีชื่อเสียง เราได้ทุกอย่างที่ใครบอกว่าทำแล้วจะมีความสุข แต่ทำไมเราถึงไม่มีความสุข คิดในใจว่าเกิดมาทำไม ทำงานหนักไปทำไม ตายไปผมเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้ ทีนี้มันเริ่มไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน แล้วเราจะทำไปทำไม

จากการทบทวนตัวเองในวันนั้นทำให้เธอตัดสินใจปิดบริษัท หันหลังให้กับชีวิตแบบเดิมๆ เพื่อตัดเอาสิ่งที่เคยเชื่อว่าเป็นปัจจัยสร้างสุขออกไป โดยที่ยังไม่รู้สาเหตุหลักของความทุกข์ เธอออกเดินทางท่ องเที่ยว ดำน้ำอยู่ปีเศษๆ แม้ผลที่ออกมาจะทำให้มีความสุขเข้ามาในชีวิต คนรอบข้างรู้สึกว่าพฤติกรรมเธอดีขึ้น แต่เธอก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนกับตัวเอง จนเมื่อได้เข้าไปปฏิบัติธรรม คำถามต่างๆ นานาในใจก็ถูกคลี่คลาย


มีหมอดูบอกว่าให้ไปวิปัสสนาแต่ก็ยังไม่ไป จนพี่ปิ๋มมาทักว่าไม่คิดจะไปวิปัสสนาบ้างเหรอ ก็โอเคไป ไปวิปัสสนาของท่านโกเอ็นก้าไปอยู่ 10 วันๆ นี้ห้ามพูดเลย 3 วันแรกนี่ทรมานมาก เขาให้เฝ้าดูลมหายใจ แต่เรา 1 2 3 ใจมันก็ไปไหนต่อไหนแล้ว นั่งนี่ก็เจ็บ แล้วเป็นคนทำอะไรต้องสำเร็จก็พยายามจะเอาชนะ แต่ยิ่งสู้มันยิ่งเจ็บ วันที่ 4 เริ่มอยากกลับบ้าน คิดในใจว่ากูมาทำอะไรที่นี่ เก็บของเตรียมกลับบ้าน พอเดินออกมาเห็นเลข 5 ติดบนบอร์ดก็คิดว่ามาตั้งครึ่งทางแล้ว เอาวะ ทนอีกหน่อย

การนั่งวิปัสสนาครั้งแรกนี้มีความเจ็บปวดมากค่ะ ปวดทั้งตัว พอวันที่ 6 ก็ยังไม่หายเจ็บเราก็ทน ทน มาทุกวัน เพราะอุเบกขาทำยังไงยังทำไม่เป็น นึกขึ้นได้ว่าก่อนมาปฏิบัติ มีพระอาจารย์บอกว่า เวลาที่เราภาวนาเจ้ากรรมนายเวรจะขัดขวางไม่ให้เราทำสำเร็จ จะทำให้เราเจ็บบ้าง ทำอย่างอื่นบ้างแล้วแต่คน ของเหมียวนี่เจ็บร้าวอย่างเดียวคะ ถึงวันที่ 6 ตอนบ่ายนี่เหมียวประกาศในใจว่า 'มึงกระทืบกูอย่างนี้มึงฆ่ากูดีกว่า ชั่วโมงนี้อยากกระทืบก็กระทืบไปแต่กูจะไม่เจ็บกับมึงแล้ว' เป็นการเรียนภาวนาแบบนักเลงมาก

ทีนี้เวลาเราเจ็บเนี่ย ร่างกายเจ็บแล้วเราก็ทำให้ความเจ็บปวดมันมากขึ้น โดยปล่อยให้ใจของเรามันไปไม่ชอบ ไปเกลียดความเจ็บด้วย เลยยิ่งทนไม่ไหวใหญ่เลย (Multiple physical pain by making it a mental pain) ดังนั้นถ้าเราเอาใจเราไปตั้งไว้กับความเจ็บทางกายและปล่อยให้มันปรุงแต่งความไม่ชอบตามสบาย เราก็ยิ่งเจ็บ ท่านอาจารย์ โกเอ็นก้าพูดในเทปตอนก่อนเริ่มนั่งพอดีว่า ให้เราหัดยอมรับ ยิ้มรับความเจ็บปวดให้เป็น พอเริ่มเจ็บมากก็จำได้ว่าเราเพิ่งประกาศว่าเราจะไม่เจ็บด้วยแล้ว เหมียวเลยสูดลมหายใจเต็มปอด ยอมรับว่าเราเจ็บและยิ้มเลยค่ะ นาทีนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เริ่มเข้าใจว่า อุเบกขาทำยังไง ปล่อยอะไรวางอะไร อยู่จนครบ 10 วัน พอเขาให้พูดคำแรกเลยว่า 'เกิดใหม่แล้ว' น้ำตาไหล ปิติมาก

หลังจากปฏิบัติธรรมมาหลายคนก็บอกว่าเหมียวเปลี่ยนไป หลังจากปฏิบัติครั้งแรกประมาณ 3 เดือน ตอนนั่งทานข้าวอยู่ คุณแม่ถามว่า 'เหมียวไปทำอะไรมาลูกหน้าตาใจดีขึ้น หน้าลูกก็เปลี่ยน แววตาก็เปลี่ยน' เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนโกรธน้อยลงมากๆ เหลือแค่ประมาณ 1% เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เรียกได้ว่าไม่เป็นบ้าแล้ว ถ้าเกิดการหงุดหงิดก็ประมาณไม่กี่นาทีหรือไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง

ในการทำงานเมื่อก่อน ชอบว่าลูกน้องว่าฟังไม่รู้เรื่อง ทำไมพูดแค่นี้ไม่เข้าใจหรือ เป็นคนที่มี listening skill ต่ำ ฟังน้อยพูดมาก เดี๋ยวนี้เมื่อเกิดปัญหาหรือลูกน้องทำงานพลาด จะถามเขาก่อนว่าเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น โดยไม่หงุดหงิดหรือโกรธเลย จะคุยแบบขำๆ ซะมากกว่า เราเองก็ถามตัวเองก่อนเสมอว่า เหมียวสามารถคิดหาวิธีการทำงาน หรือเปลี่ยนวิธีการอธิบายอย่างไรเพื่อให้เขาเข้าใจได้มากกว่านี้ เรานั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เขาฟังไม่รู้เรื่อง การทำงานดุได้ ติเตียนได้ค่ะ แต่ต้องทำด้วยใจที่มีแต่ความหวังดี ไม่โกรธ

ประมาณ 5 ปีที่แล้ว มีน้องคนหนึ่งทำงานมาไม่โอเค เหมียวก็บอกเขาว่า งานออกมาอย่างนี้แสดงว่ายังเตรียมตัวมาไม่ดีพอ ครั้งนี้พี่จะเขียนให้ก่อน แต่ครั้งหน้าต้องเตรียมให้พร้อมกว่านี้ ระหว่างคุยๆ อยู่ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้าแล้วเขาก็รับโทรศัพท์ค่ะ เราก็หยุด รอจนเขาพูดโทรศัพท์จบก่อนแล้วก็คุยต่อ เขาพูดโทรศัพท์สัก 3 ครั้งได้ระหว่างที่เรากำลังคุยกับเขา พอเขาลุกไป น้องอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยซึ่ง เขาทำงานกับเหมียวมา 10 ปีตั้งแต่อยู่กันที่อีกบริษัทหนึ่ง อ้าปากค้างเลยแล้วบอกว่า 'พี่เหมียวถ้าเป็นเมื่อก่อนใครทำแบบนี้ต้องโดนว่าอย่างหนักหรือไม่ก็โดนไล่ออกเลยนะ' 'ทำไมพี่ไม่โกรธเลยล่ะ' ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเหมียวอาจจะให้เด็กคนนี้เก็บของออกไปจากบริษัทเลย พรุ่งนี้อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธอนะ

หลังจากใจเราสะอาดขึ้น ใจเราได้เข้าโรงเรียน ใจของเราๆ สามารถสั่งได้ ใจไม่ดื้อ ไม่เป็นบ้า ใจหายป่วยและแข็งแรงกว่าเก่ามากค่ะ เวลาที่เจอลูกค้าโวยวายไม่น่ารัก ก็คิดในใจ โถ...เขาสาดไฟใส่เราเรื่องอะไรเราจะไปสาดเบนซินใส่ เขาอีก จริงๆ เขาไม่ได้ทำร้ายเราแต่เขากำลังทำร้ายตัวเองอยู่ เราเองก็เคยเป็นอย่างนั้น ดังนั้น โถ… ในใจและส่งความรัก ความปารถนาดีให้ ไม่มีหน้าหงิกหน้างอ หรือมีคำพูดเปรี้ยวๆ ใส่เขากลับไปอีกต่อไป เมื่อใจของเราสว่างแล้ว ใจของเรามีความเมตตามากขึ้น อะไรๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ตั้งแต่ประมาณ 1 ปีหลังจากส่งใจไปโรงเรียน เวลาเหมียวเจอคนขับรถปาดหน้า ใจของเหมียวไม่เห็นด้วยซ้ำไปว่าเขาปาดหน้าค่ะ ใครรีบให้เขาไป คิดว่า โถ… เขาคงรีบ คิดว่าเวล าเรารีบเราก็อาจจะปาดหน้าใครแบบนี้ก็ได้ แบบนี้ใจมันสบาย ไม่มีเรื่องบ้าๆ บนถนนอีก หรือเมื่อหลายเดือนก่อนเพิ่งเจอเรื่องใหญ่ในชีวิต เป็นพายุ Tornado ลูกโตวัดเราเต็มๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงร้องไห้ คงดื่มเหล้าให้เมาจะได้ลืม คงทุกข์มาก แต่นี่ใช้ธรรมะที่ฝึกมา พอมีปัญหารีบกลับบ้านนั่งสมาธิ วิปัสสนา พอใจนิ่งก็พิจารณาดูได้ว่าทุกข์ใจเพราะอะไร เหตุมาจากไหน ทางแก้ไขมีอะไรบ้าง พายุลูกโตนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงล้มตายไปนานหลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปี นี่ใช้เวลา 3 วันในการนั่งพิจารณา แล้วก็เด่งดึ๋งกลับมาใหม่ ตอนนี้พายุก็ยังโจ มตีอยู่นะคะ แต่ใจเราไม่ล้มไม่เอนแล้ว ความสุขแบบนี้หาจากที่อื่นไม่ได้ค่ะ ได้จากธรรมะและการปฏิบัติจริงเท่านั้น

ส่วนเรื่องหรือคนที่ทำให้เราทุกข์ เหมียวกราบขอบคุณทุกวัน เป็นอาจารย์ใหญ่ของเหมียว เพราะเหมียวได้ความก้าวหน้าและปัญญามากมายจากพายุลูกนี้

ชีวิตของเราไม่ใช่จะไม่เจอเรื่องหรือคนที่ทำให้เราทุกข์นะคะ ความก้าวหน้าของการปฏิบัติวัดได้จากความเร็วของเราว่าล้มแล้วลุกได้เร็วแค่ไหน หรือที่เคยล้มแต่คราวนี้ไม่ล้ม ความจริงอีกอย่างที่เหมียวได้พิสูจน์แล้วคือ มนุษย์คนเดียวที่จะทำให้เหมียวโกรธได้ ทำให้เหมียวทุกข์ได้คือตัวเหมียวเองเท่านั้น

ประสบการณ์เหล่านี้ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ 100% จากการใช้ภาษานะคะ เพราะภาษาก็เป็นสิ่งสมมุติ ต้องลองเองค่ะ เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเราเองโดยตรงเท่านั้น การฝึกจิตก็เหมือนกับการเ รียนว่ายน้ำ เราจะไม่มีทางว่ายน้ำเป็นได้เลย ถ้าเราไม่กระโดดลงไปในน้ำ ต่อให้เราเรียนรู้ทฤษฎี อ่านหนังสือหรือฟังใครพูดมามากมายแค่ไหนก็ตาม

เหมียวระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทุกนาที พระคุณของพระธรรมคำสอน พระคุณของพระสงฆ์และครูบาอาจารย์ที่ได้เก็บรักษาธรรมะและวิธีการปฏิบัติที่บริสุทธ์ จนเราได้รับในวันนี้ ขอบคุณบรรพบุรุษ พ่อกับแม่ ญาติๆทุกคน กัลยาณมิตรทุกคน เพื่อนและทุกคนที่ทำให้เรามีความสุข และที่สำคัญทุกคนที่ทำให้เราทุกข์ เพราะทุกข์นี่แหละที่ทำให้เหมียวอยากหาวิธีออกจากทุกข์ในวันนี้ค่ะ

ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราได้ฝึกฝน เหมือนได้ดึงอาวุธออกมาใช้ และได้ดูว่าอาวุธที่เรามีอยู่มันยังคมอยู่มั้ย"

ปัจจุบันเธอยังคงใช้ชีวิตตามแบบฆราวาสที่นำหลักธรรมมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน และการทำงาน ยังคงทำงานอยู่ในแวดวงธุรกิจการตลาด โดยมีบริษัทเล็กๆ ที่มีเป้าหมายอยู่ที่คนทำงานมีสุข การพออยู่ได้ของธุรกิจ โดยที่ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ยุยงให้ลูกค้าไปเบียดเบียนผู้อื่น ที่สำคัญเธอมีความสุขกับการปฏิบัติธรรมและได้ชักชวนคนให้รู้จักธรรมะ

>>>เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน (สนพ. More of Life) หนังสือที่รวบรวมความคิด ชีวิต ประสบการณ์จริง ของวรัตดา ภัทโรดม ในคราบ 'Meow the bitch' ขณะที่อยู่ในช่วงชีวิตรุ่งโรจน์และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2553
1 comments
Last Update : 6 มกราคม 2554 18:34:07 น.
Counter : 18128 Pageviews.

 

เธอป่วยจริงๆป่วยจิต คนแบบนี้หาความสุขไม่ได้หรอกจนตายนั่นแหละ

 

โดย: Tal IP: 136.243.138.66 18 ตุลาคม 2563 0:22:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.