From the bottom of my memory
ผมจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ผมอยากได้กล้องถ่ายรูปมาก รู้สึกว่า คนถือกล้องนี่ มันเท่ห์ดีจังพยายามเก็บหอมรอมริบ จนตอนอยู่ป.5 ซื้อกล้องมาตัวนึง ของ Kodak ราคา สักเกือบๆพันมั๊ง จริงๆ มันก็กล้อง(คนถ่าย)ปัญญาอ่อนน่ะแหล่ะ ไม่ต้องทำอะไรมาก กดๆอย่างเดียว แต่ ถือกล้องแล้วรู้สึกดีชะมัด ที่สำคัญ เวลาที่เอารูปไปให้คนที่ถูกเราถ่าย เขาดูแล้วเขาชอบ เขาดีใจที่เราถ่ายภาพให้เขา มันเป็นความรู้สึกภูมิใจลึกๆเหมือนกันจนทุกวันนี้ ไปไหนมาไหน ผมมักจะมีกล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วยเสมอ ถ่ายบ้าง ไม่ได้ถ่ายบ้าง ถือคติว่า "มีไว้แล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าอยากจะใช้แต่ไม่มี"ถ่ายมาจนทุกวันนี้ ยังโมโหตัวเอง ถ่ายยังไงก็ไม่ได้ดี เอาน่า สักวันคงจะดีเลยอยากจะเอา blog เป็นที่เก็บภาพความทรงจำ เอาไว้คอยดูว่า รูปที่ถ่ายในวันนี้ กับวันข้างหน้า มันมีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตผมบ้างภาพทุกภาพ มันจะมีเรื่องเล่าของมันเอง ภาพที่ดูไร้สาระสำหรับบางคน แต่เบื้องหลังของมัน คือความทรงจำของคนที่กดชัตเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่สุขหรือเศร้าก็ตามในขณะที่ภาพบางภาพ แม้ผู้ถ่ายจะไม่มีความทรงจำกับมันมากนัก แต่มันกลับกระตุ้นความทรงจำของผู้อื่น ประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น มันก็จะมีเรื่องเล่าที่หลากหลายกันไปมีภาพหลายภาพที่ผมถ่าย แล้วก็หลงลืม ทำมันหายไป นึกๆแล้วใจหาย วันเวลานั้น มันไม่กลับมาอีกแล้ว ผมหมดโอกาสที่จะกลับไปเก็บภาพเหล่านั้นอีกแล้วภาพถ่าย มันก็เหมือนกับบันทึกการเดินทางของเวลา ชั่วเสี้ยววินาที ที่เรากดนิ้วลงไป นั่นคือการบันทึกประวัติศาสตร์ ให้มีการจดจำไปอีกนานแสนนานลองนึกเล่นๆ ว่า วันนี้ ที่คุณกดชัตเตอร์ บันทึกภาพที่คุณมองเห็นอยู่ตรงหน้า อีก 10 ปีจากวันนี้ คุณหยิบภาพมาดู คุณนึกถึงอะไรอีก 30 ปี คุณนึกถึงอะไรอีก 100 ปีข้างหน้า ลูกหลานคุณดูภาพ เขาจะคิดถึงอะไรอีก 200 ปีข้างหน้า มันอาจจะอยู่ในพิพิฑธภัณท์ก็ได้ภาพถ่าย ไม่มีใครจะมาบัญญัติได้ว่า สวย หรือ ไม่สวย มันเป็นที่ความพอใจของแต่ละคน ว่าเขาดูแล้ว พอใจ หรือ ไม่พอใจ ต่างคน ต่างมุมมอง แต่ผมเชื่อว่า ภาพถ่ายแต่ละภาพ มันมีคุณค่าของมันเองblog นี้ เป็นบันทึกความทรงจำ บันทึกการเดินทางของผม วันนี้ มันอาจจะน้อย แต่ตราบที่สองเท้าผมยังก้าว เข็มสั้นยาวของนาฬิกายังหมุน ผมจะยังคงบันทึกมันต่อไปแล้วคุณล่ะ อยากจะหยิบกล้องขึ้นมาลองกดดูบ้างมั๊ย