Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 

ดื่มด่ำธรรมชาติ สัมผัสประวัติศาสตร์ที่ ไทรโยค เมืองกาญจน์

ปราสาทเมืองสิงห์
       หน้าฝนมาเยือนแล้ว ทำให้ธรรมชาติรอบๆ ตัวดูเขียวขจี ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนอันเย็นฉ่ำ เสียจริงเชียว
       
       “ตะลอนเที่ยว” ชื่นชอบหน้าฝนอยู่ไม่น้อย เพราะว่าเวลาฝนตกแล้วทำให้อากาศเย็นดี จะนอนอยู่บ้านก็สบาย แต่คนชอบเที่ยวอย่างเรา จะมัวแต่มานอนอยู่บ้านก็กระไรอยู่ ต้องหาเหตุออกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันดีกว่า
       
       และในทริปนี้เราได้ออกเดินทางมายังจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้ามายัง “เมืองชายแดน แคว้นประวัติศาสตร์ ธรรมชาติงดงาม นามไทรโยค” ซึ่งนี่คือคำขวัญประจำอำเภอ “ไทรโยค” ที่เราเลือกที่จะมาเที่ยว เพราะที่อ.ไทรโยคแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ชวนเที่ยวมากหลายตามคำขวัญประจำอำเภอเลย

อาคารจัดแสดงโบราณวัตถุของอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
       เราเปิดฉากเที่ยวกันที่ “อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์” ที่เห็นชื่อแล้วหลายคนชอบเข้าใจผิดว่าตั้งอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี แต่ว่าไม่ใช่ เพราะอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ หรือ “ปราสาทเมืองสิงห์” เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อย ต.เมืองสิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นโบราณสถานที่มีศิลปะการก่อสร้างอยู่ในยุคลพบุรีตอนปลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-18 มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีเนื้อที่ประมาณ 800 กว่าไร่ มีกำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลงขนาดกว้าง 880 ม. ตัวปราสาทล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง คูน้ำ และแนวคันดิน สร้างตามรูปแบบศิลปะขอมแบบบายน ตรงกับสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของประเทศกัมพูชา

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
       เมื่อมาชมปราสาทเมืองสิงห์ จะได้เห็นถึงร่องรอยประวัติศาสตร์อันงดงาม แต่ก่อนที่จะไปชมตัวปราสาทฯ เราเข้าไปชมอาคารจัดแสดงวัตถุโบราณกันก่อน ภายในจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้และของมีค่าที่ขุดค้นพบ มีพระพุทธรูปปางต่างๆ จำลองไว้
       
       จากนั้นจึงค่อยเดินไปยังตัวปราสาทเมืองสิงห์ที่อยู่ด้านใน ที่เมื่อเห็นแล้วก็ต้องบอกว่าตัวปราสาทมีความงดงามเป็นอย่างยิ่งตามแบบศิลปะขอม มีโคปุระ (ซุ้มประตู) และระเบียงคดอยู่ล้อมรอบปรางค์ประธานทั้งสี่ทิศ มีบรรณาลัย หรือหอไตรที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บคัมภีร์ทางศาสนา และที่ปรางค์ประธานด้านในมีรูปเคารพของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ในภาคที่เรียกว่าเปล่งรัศมีประดิษฐานอยู่ และด้านหลังยังมีรูปเคารพของนางปรัชญาปารมิตาประดิษฐานอยู่ อีกทั้งภายในอุทยานฯ ยังมีหลุมขุดค้นโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ที่มีอายุราว 2,000 ปีให้ได้ชมกันอีกด้วย

น้ำตกไทรโยคน้อย
       เราได้เดินชมปราสาทเมืองสิงห์กันจนทั่ว ได้เก็บภาพประทับใจและซึมซัมเรื่องราวความรู้มากมายแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังที่เที่ยวต่อไป โดยเราจะไปหาความสดชื่นเย็นฉ่ำกับสายน้ำตกกันที่ “น้ำตกไทรโยคน้อย” หรือ “น้ำตกเขาพัง” เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ถ.สายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) กิโลเมตรที่ 46
       
       น้ำตกไทรโยคน้อย เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ตัวน้ำตกเกิดจากหน้าผาหินปูนที่พังทลายลงมา จนเกิดโขดหินปูนลดหลั่นกันอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา มีต้นกำเนิดเป็นน้ำผุดจากภูเขาแล้วไหลมาตามลำธารเล็กๆ ไหลตกลงที่ผาหินปูนที่มีความสูง ประมาณ 15 ม. แล้วแผ่กระจายไปตามพื้นเขาลาดเอียง รอบข้างร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์

เส้นทางรถไฟและรถจักรไอน้ำจัดแสดงใกล้กับน้ำตกไทรโยคน้อย
       ปัจจุบันน้ำตกไทรโยคจะมีสายน้ำ(มาก)ไหลชุ่มฉ่ำสวยงามเฉพาะหน้าฝนเท่านั้น ส่วนยามหน้าแล้งเดี๋ยวนี้สายน้ำได้เหือดแห้งหายไปมากแบบหนังคนละเรื่องเลย
       
       จากน้ำตกไทรโยคเดินไปไม่ไกลจะพบกับร่อยรอยของเส้นทางรถไฟสายมรณะ และรถจักรไอน้ำ ซี 56 หมายเลข 702 ผลิตในประเทศญี่ปุ่น นำมาใช้ปี พ.ศ. 2489-2519 การรถไฟแห่งประเทศไทยมอบให้ จ.กาญจนบุรี ไว้ ณ น้ำตกไทรโยคน้อย เพื่อเป็นอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์และส่งเสริมการท่องเที่ยว

หินงอกหินย้อยในถ้ำละว้า
       พอได้สดชื่นใจกับสายน้ำตกสวยๆ แล้ว เราก็ออกเที่ยวกันต่อดีกว่า ซึ่งที่หมายต่อไปคือการไปเที่ยวถ้ำกันที่ “ถ้ำละว้า” หรือเรียกกันอีกชื่อว่า “ถ้ำลาวา” เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบโดยนายเผิน ดอกเข็ม เมื่อปี พ.ศ. 2496 และเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งบริเวณปากทางเข้าถ้ำไม่กว้างมากนัก แต่เมื่อเข้าไปภายในถ้ำแล้วจะพบกับถ้ำที่มีความกว้างใหญ่ ภายในถ้ำละว้าไม่น่ากลัว เพราะว่ามีแสงไฟส่องสว่าง และมีทางเดินที่สบายไม่ลำบาก

หินรูปหัวใจภายในถ้ำละว้า
       ภายในถ้ำละว้าแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องท้องพระโรง ห้องดนตรี ห้องม่านบรรทม ให้เดินชม เราจะได้พบกับความงดงามของหินงอกหินย้อยที่มีรูปร่างแปลกตามากมาย และมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น หินบางก้อนเป็นรูปหัวใจ เป็นรูปจระเข้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการจินตนาการร่วมไปด้วย และหินบางก้อนถ้าเคาะแล้วก็จะมีเสียงคล้ายเครื่องดนตรี แถมภายในถ้ำยังมีค้างคาวอาศัยอยู่อีกด้วย

หินที่เมื่อเคาะแล้วมีเสียงเหมือนเครื่องดนตรี
       “ตะลอนเที่ยว” เดินเที่ยวภายในถ้ำละว้าจนสุดทางแล้วก็ต้องเดินออกมาทางเดิม เพราะถ้ำแห่งนี้มีทางเข้าออกทางเดียว จากนั้นเราก็รีบตรงดิ่งไปยังที่เที่ยวต่อไปที่รออยู่ นั่นคือที่ “ช่องเขาขาด” มาเที่ยวที่นี่เหมือนเราได้มาร่วมรำลึกเส้นทางประวัติศาสตร์อันสำคัญ นั่นคือการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ (ไทย-พม่า)ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ภายในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด
       เมื่อมาถึงที่ช่องเขาขาด เราเข้าไปชม “พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ” กันก่อน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ และชวนชมเป็นอย่างมาก ภายในจัดแสดงมินิเธียเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงการก่อสร้างทางรถไฟ มีข้อมูลและภาพถ่าย รวมถึงจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ระหว่างการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ได้ชมกัน ซึ่งดูแล้วทำให้ได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบาก และชีวิตของเหล่าเชลยศึกที่น่าสงสารมาก ที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะนี้

ช่องเขาขาดที่ยังเห็นร่องรอยของเส้นทางรถไฟสายมรณะ
       และหลังจากที่ซึมซับข้อมูลจากตัวพิพิธภัณฑ์กันแล้ว เราก็เดินไปชมเส้นทางรถไฟสายมรณะของจริงกันเลย ที่อยู่ตรงช่องเขาขาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ (ไทย-พม่า) ซึ่งระหว่างทางก่อนที่เดินไปถึงยังช่องเขาขาด ก็มีร่องรอยของไม้หมอนรถไฟเป็นเส้นทางรถไฟให้เห็นอยู่ รวมถึงยังมีข้อมูลต่างๆ ให้อ่านเป็นระยะๆ จนกระทั่งมาถึงยังช่องเขาขาด ก็จะได้เห็นภูเขาที่ถูกตัดเป็นช่อง และเห็นร่องรอยรางรถไฟ ซึ่งภูเขาตรงช่องเขาขาดนี้ เป็นฝีมือการตัดเจาะภูเขาหินอันแข็งแกร่งด้วยน้ำมือของเหล่าเชลยศึกทั้งหลาย ไม่มีเครื่องมืออันทันสมัยใดๆ ต้องทำงานด้วยความยากลำบาก ทุกข์ทรมานแสนสาหัส และทำงานท่ามกลางกองไฟอันร้อนราวกับไฟนรกที่ถูกจุดไว้ตลอดวันตลอดคืน ทำให้ช่องเขาขาดแห่งนี้มีอีกชื่อที่เรียกว่า “Hell Fire Pass” หรือ"ช่องไฟนรก"

สิ่งของร่วมไว้อาลัยถึงการสร้างรถไฟสายมรณะที่ช่องเขาขาด
       เราได้เดินชมร่องรอยของเส้นทางรถไฟสายมรณะที่ช่องเขาขาดแล้ว ก็รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อยเลย และก็ภาวนาขออย่าให้เกิดสงครามโลกอีกเลยเถอะ จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปเที่ยวให้หายหดหู่ใจกันดีกว่า ไปเที่ยวผ่อนคลายกับสายน้ำตกอันฉ่ำเย็นกันดีกว่า มากันที่ “น้ำตกไทรโยคใหญ่” หรือเรียกอีกชื่อว่า “น้ำตกเขาโจน” ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติไทรโยค รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาส ณ น้ำตกแห่งนี้ด้วยเมื่อครั้งอดีต จัดว่าเป็นน้ำตกที่สวยงาม โดยตัวน้ำตกไหลจากหน้าผาลงสู่แม่น้ำแควน้อย และแยกเป็น 2 ทาง ส่วนที่อยู่ทางตอนเหนือเป็นน้ำตกขนาดกลางชั้นเดียว รองรับด้วยชั้นหินสลับกันเป็นชั้นๆ มีความสูงประมาณ 8 ม. ส่วนทางด้านใต้เป็นน้ำตกที่มีความสูงมากกว่า และสายน้ำพุ่งตกลงมาสู่แม่น้ำแควน้อย
       
       เราสามารถเที่ยวชมทัศนียภาพของน้ำตกไทรโยคใหญ่ ได้โดยการเดินข้ามสะพานแขวนไปยังฝั่งตรงข้าม หรือจะนั่งเรือชมความงามของสายน้ำตกที่กระโจนจากหน้าผาสู่แม่น้ำแควน้อยอย่างงดงาม ดูแล้วสร้างความสดชื่นใจเป็นอย่างมาก
       
       ทริปนี้ “ตะลอนเที่ยว” ปิดฉากเที่ยวเมืองกาญจน์แต่เพียงแค่นี้ แต่ทว่าที่อ.ไทรโยค ก็ยังมีสถสานที่ท่องเที่ยวที่อื่นๆ ที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวกันอีก ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำกระแซ เป็นถ้ำที่เคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งสร้างทางรถไฟสายมรณะ วัดป่าหลวงตาบัวฯ ที่มีเสือและสัตว์นานาชนิดให้ได้ชม ถ้ำวังบาดาล, ถ้ำแก้ว, ถ้ำดาวดึงส์ ที่ล้วนแล้วแต่มีหินงอกหินย้อยที่งดงาม หรือถ้าอยากจะเที่ยวแบบผจญภัยก็มีช้างให้ขี่ มีแพให้ล่อง เรียกว่า อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกเที่ยวแบบหลากหลาย ตามไลฟ์สไตล์ของนักเที่ยวกันไป




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2555
1 comments
Last Update : 23 สิงหาคม 2555 7:00:22 น.
Counter : 1230 Pageviews.

 

 

โดย: Kavanich96 24 สิงหาคม 2555 7:22:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.