ย้อนรอย...ใบไม้เปลี่ยนสีที่เกียวโต ตอนที่ 3
ทริปใบไม้เปลี่ยนสีที่เกียวโต 2 คืน 3 วัน วันที่ 30 พ.ย. - 2 ธ.ค. 2551
วันที่สาม : 2 ธ.ค. 2551 ..................................................................
และแล้วคงได้จบทริปย้อนรอยเกียวโตเสียทีหลังจากดองเค็มมาหลายวัน เพราะยังมีทริปลาสเวกัสที่ไปมาตั้งแต่ปลายเดือนกันยา จนนี่ใกล้จะสิ้นปีอยู่แล้ว เพื่อนทวงถามตั้งแต่คราวโน้น ก็รับปากไว้ว่าจะลงให้แน่นอน ถึงจะช้าไปหน่อย อย่าเพิ่งงอนน๊าเพื่อน (ปู) ....................................................................
หลังจากสองวันแรกที่พวกเราตะลุยเที่ยวกันกระจาย พอวันที่สามก็เป็นอะไรที่เริ่มแผ่วจะหมดแรงกัน และก็มีเวลาเที่ยวครึ่งวันเท่านั้น เพราะบ่ายสามต้องนั่งรถไฟกลับบ้าน
สถานที่สุดท้ายในทริปนี้ถือว่าเป็นที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโต ส่วนใหญ่ทัวร์ก็ต้องพามาเที่ยวที่นี่ แต่คิดแล้วก็ดีเหมือนกันที่เที่ยววัดนี้เป็นวันสุดท้าย เพราะกับสถานที่แห่งนี้ก็ใช้เวลาหมดได้ในครึ่งวัน (จริงๆ ถ้าจะให้ทั่วถึงคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ กันทีเดียว)
Kiyomizu-dera (วัดคิโยมิซึ) ค่าเข้าชม 300 yen
วัดคิโยมิซึ หรือวัดน้ำใส ตั้งอยู่ทางตะวันออกของจังหวัดเกียวโต ประวัติของวัดย้อนหลังไปได้ถึงปี 798
แต่อาคารต่างๆที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2176 ชื่อของวัดซึ่งมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ มีที่มาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลงมาบริเวณวัด
เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 วัดคิโยมิซึได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมพิจารณาคัดเลือกให้เป็น7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และอาคารหลักของวัดนี้ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกด้วย
อาคารหลักของวัดคิโยมิซึเป็นที่รู้จักจากระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา จากระเบียงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโต
วลีที่กล่าวว่า "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยมิซึ" มีความหมายพ้องกับคำกล่าวในภาษาอังกฤษที่ว่า "To take the plunge" ซึ่งหมายความว่า ตัดสินใจกะทันหัน หรือกล้าตัดสินใจ วลีนี้มีที่มาจากความเชื่อในสมัยเอะโดะที่ว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล


ทิวทัศน์เมืองเกียวโตะ มองจากระเบียงวัดคิโยมิซึคำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ในการรอดชีวิตจากการกระโดดระเบียงคือ ด้านล่างของระเบียงมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ซึ่งอาจจะชะลอแรงจากการตกได้บ้าง ในปัจจุบันทางวัดห้ามมิให้มีการกระโดดระเบียง แต่ในสมัยเอโดะมีการบันทึกไว้ว่า มีผู้มากระโดดถึง 234 คน และรอดชีวิตได้คิดเป็นร้อยละ 85.4 ของทั้งหมด
ข้างใต้อาคารหลักคือ น้ำตกโอตะวะ ซึ่งเป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ ผู้มาเยี่ยมชมวัดมักจะมาดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ด้วยถ้วยโลหะ ด้วยความเชื่อว่าสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และยังเชื่อกันว่าการดื่มน้ำจากสายน้ำตกทั้ง 3 นี้ มีความหมายถึงสุขภาพ อายุยืนยาว และความสำเร็จในการศึกษา

ภายในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอื่นๆจำนวนมาก ที่เป็นที่รู้จักดีคือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพโอะคุนินุชิโนะ มิโกะโตะ (Okuninushino Mikoto) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ ภายในศาลเจ้ามี"ก้อนหินแห่งความรัก" 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร เชื่อกันว่า หากสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้ จะสมปรารถนาในความรัก
ปล. ข้อความรายละเอียดเกี่ยวกับวัดมาจากเวปนี้ค่ะ //www.ilovetogo.com/Article.aspx?mid=46&articleid=472

..........................
พอเดินเที่ยวในวัดเสร็จ ก่อนกลับก็แวะเดินเล่นร้านที่อยู่ข้างทางกัน มีขนมของฝากน่าสนใจเยอะเหมือนกัน และแล้วก็ได้เสียตังค์สมใจ ^^


อาหารมื้อสุดท้ายในเกียวโต........ราเมง (เซตนี้ประมาณพันเยน)


ตบท้ายด้วยของหวาน ที่เค้าว่าขึ้นชื่อของที่นี่....

ลาก่อนเกียวโต.......ถ้ามีโอกาสคงได้ไปเยือนอีก

Create Date : 12 ธันวาคม 2552 |
|
38 comments |
Last Update : 12 ธันวาคม 2552 14:01:09 น. |
Counter : 1856 Pageviews. |
|
 |
|
เพลินกับวัด
อร่อยด้วยราเม็ง
สุดยอดเลยค่ะคุณแจน