มิถุนายน 2552

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
 
 
Hedwig and the Angry Inch - การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ประทับใจซ้า.. เลยต้องขอเม้าท์
สำหรับคนติ๊ดดๆ แต่ยังไม่ติ๊ดแตก จะดูจะฟังอะไรที ต้องขอเลือก นานๆ ที จะมีอะไรโดนใจให้อยากบอกต่อซักที เริ่มกันที่

Hedwig and the Angry Inch

หนังออกมาตั้งแต่ปี 2001 แต่เพิ่งมีโอกาสดู ขอบอกว่า so COOL!!

หนังโคตรเท่ห์ ที่เป็นละครบรอดเวย์ก่อนจะมาเป็นฟิล์ม เรื่องของกระเทยแนวๆ นักร้องเพลงฟังก์ร็อค ชื่อ Hedwig ที่ความสามารถมากล้น ที่เปิดคอนเสิร์ตไล่ตามนักร้องเพลงร็อค Tommy Gnosis ที่ขโมยผลงานของชีไปเป็นของตัวเองจนโด่งดังเป็นพลุแตก

หนังเล่าเรื่องราวของ Hedwig ผ่านทางเพลงที่เธอแต่ง ที่ได้รับแรงบัลดาลใจจากเรื่องราวชีวิตของเธอ ที่เป็นลูกสาว GI ชาว American กับ Single mom ชาวเยอรมัน ที่แยกทางกัน เธอถูกเลี้ยงดูขึ้นมาในเยอรมันตะวันออก ยุคที่ยังมีกำแพงเบอร์ลินขวางกันดินแดนฝั่งตะวันออก และตะวันตก ความดิ้นรนหนีออกจากชีวิตแร้นแค้น ทำให้เธอต้องผ่าตัดแปลงเพศ เพื่ออพยพไปอมริกา แต่การผ่าตัดผิดพลาด ทำให้เจ้าจูบุของเธอยังเหลือตอ 1 นิ้ว ไว้ทิ่มแทงใจเธอ และเป็นที่มาของชื่อวง

สิ่งที่เจ๋งที่สุดในหนังคือ เพลง การตัดต่อ ภาพอนิเมชั่นประกอบ และนักแสดงนำที่เล่นเป็น Hedwig..

เพลงเพราะและเนื้อเพลงเจ๋งมากจนหนังจบ วันต่อมาถึงกับไปหาซื้อแผ่นของวงนี้ แต่ไม่เจอ จนได้รู้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้น ที่ไม่ใช่อัตชีวประวัติของใครทั้งนั้น ที่สำคัญนักแสดงในเรื่องที่เล่นเป็น Hedwig ที่ชื่อ John Cameron Mitchell ยังเป็นผู้เขียน(ทั้งที่เป็นละครเวที และหนัง) ผู้กำกับ แสดงนำ และ ร่วมแต่งเพลงประกอบที่แสนไพเราะนี้กับ Stephen Trask ซึ่งขอบอกว่าเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ เพราะราวกับบทกวี ลึกซึ้ง และสละสลวย เข้ากับชีวิตของ Hedwig เป็นอย่างมาก

เรื่องนี้ชนะรางวัลทั้งตอนที่เป็นละครเพลง และหนังมามากมายย และถึงจะเป็นหนังเพลง แต่ขอรับรองว่าไม่น่าเบื่อ และดูเพลินๆได้สบาย (ไม่เหมือน Mama Mia ที่มีเพลงของ Abba นำอย่างเดียว ทำมาจากละครเวทีเหมือนกัน แต่น่าเบื่อไปนิด)

เห็น John Cameron Mitchell แล้วได้แต่ถอนใจ ว่าคนอะไร เกิดมาความสามารถอะไรจะล้นเหลือขนาดนั้น ทำได้สารพัด ทั้งเขียนบท แต่งเพลง แสดงกำกับ เสียอย่างเดียว เขาเป็นเกย์ซะได้ นี่แหละน้า พรสวรรค์แบบล้นๆ..

ลองๆไปดูกันนะ

คราวหน้าจะมาพูดถึงหนังสือของ Nicholas Sparks เรื่อง Dear John...ที่ขอแนะนำให้อ่าน แต่ขอบอกว่า จะไม่อ่านหนังสือที่พี่ท่านแต่งอีกแล้วววโว้ยยย เพราะอะไร คราวหน้าจะมาบอก พร้อมกับอัลบั้มดีเด่นแห่งปี มาแนะให้ฟังกันด้วยนะ








ขอยกเพลงๆนึงจากหนังเรื่องนี้นะคะ ภาษาสละสลวยมากทีเดียว แปลไม่ถูกใจยังไง ก้อขออภัยด้วย

ยามที่โลกยังแบนราบ หมู่เมฆเป็นเปลวไฟ
ภูผาสูงเสียดฟ้าไกล ไกลขึ้นไปจรดสวรรค์
ผู้คนท่องโลกกว้าง ราวกับถังไม้มหึมากลิ้งเกลือกไป
พวกเขามีแขนสองคู่ ขาสองคู่
มีสองใบหน้า คู่กันบนหัวเดียวใหญ่โต
เพื่อที่พวกเขาจะมองไปรอบๆได้พร้อมกัน
ขณะพวกเขาพูด อ่าน และไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับความรัก
กาลก่อนกำเนิดแห่งความรัก

กำเนิดแห่งรัก

When the earth was still flat,
And the clouds made of fire,
And mountains stretched up to the sky,
Sometimes higher,
Folks roamed the earth
Like big rolling kegs.
They had two sets of arms.
They had two sets of legs.
They had two faces peering
Out of one giant head
So they could watch all around them
As they talked; while they read.
And they never knew nothing of love.
It was before the origin of love.

The origin of love

เขามีสามเพศ เพศหนึ่งเสมือนชายสองคน
ที่แผ่นหลังทั้งสองถูกเชื่อมติดกัน
เรียกขานว่า บุตรแห่งดวงอาทิตย์

และที่ใหญ่โตทัดเทียมกัน
คือบุตรแห่งโลก
พวกเธอดูเหมือนหญิงสาวสองคน ปั้นไว้ด้วยกัน

And there were three sexes then,
One that looked like two men
Glued up back to back,
Called the children of the sun.
And similar in shape and girth
Were the children of the earth.
They looked like two girls
Rolled up in one.

และบุตรแห่งดวงจันทร์
เป็นดั่งส้อมติดกับช้อน
ส่วนหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนหนึ่งเป็นโลก
ส่วนหนึ่งเป็นหญิง ส่วนหนึ่งเป็นชาย

กำเนิดแห่งรัก

And the children of the moon
Were like a fork shoved on a spoon.
They were part sun, part earth
Part daughter, part son.

The origin of love

ครั้นแล้วเหล่าเทพเจ้าต่างเกรงกลัว
ต่อพลังอำนาจและการแข็งขืนของเรา
และธอร์ กล่าว “ข้าจะล้างบางพวกมันด้วยฆ้อนของข้า
เหมือนที่ข้าฆ่าเหล่ายักษ์”
และซุส บอก “ อย่า!”
“ท่านควรปล่อยให้ข้าจัดการ ด้วยสายฟ้าฟาดของข้า
ตัดมันราวกับกรรไกร เหมือนที่ข้าตัดขาออกจากปลาวาฬ
ตัดไดโนเสาร์ กลายเป็น จิ้งจก”
แล้วซุสก็คว้าสายฟ้า หัวเราะกึกก้อง
กล่าวว่า “ข้าจะผ่าพวกมันตรงกลาง
ฉีกมันออกเป็นสองเสี้ยว”
และแล้วพายุก็ก่อตัว กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่

Now the gods grew quite scared
Of our strength and defiance
And Thor said,
"I'm gonna kill them all
With my hammer,
Like I killed the giants."
And Zeus said, "No,
You better let me
Use my lightening, like scissors,
Like I cut the legs off the whales
And dinosaurs into lizards."
Then he grabbed up some bolts
And he let out a laugh,
Said, "I'll split them right down the middle.
Gonna cut them right up in half."
And then storm clouds gathered above
Into great balls of fire

ลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า เป็นสายฟ้าผ่า
แปลบปลาบราวกับใบมีดดาบ
และฉีกร่างบุตรแห่งดวงอาทิตย์
บุตรแห่งดวงจันทร์
และบุตรแห่งโลก

And then fire shot down
From the sky in bolts
Like shining blades
Of a knife.
And it ripped
Right through the flesh
Of the children of the sun
And the moon
And the earth.

เหล่าเทพเจ้าชาวอินเดียน
เย็บแผลกลายเป็นรู
ร้อยเป็นวงกลางหน้าท้องเรา
ย้ำเตือนใจราคาที่เราชดใช้
และโอซิริสและพระเจ้าแห่งลำน้ำไนล์
รวมตัวเป็นพายุใหญ่
ก่อตัอเป็นเฮอร์ริเคน
พัดพาเรากระจัดกระจายไป

ท่ามกลางอุทกภัยแห่งวายุและพิรุณ
และทะเลคลื่นสูงชัน
พัดพาเราจากกัน
และถ้าเราทำตัวไม่ดี
พระเจ้าจะฉีกเราออกอีกครั้ง
แล้วเราคงต้องกระโดดไปมาด้วยขาข้างเดียว
และมองผ่านด้วยตาข้างเดียว

And some Indian god
Sewed the wound up into a hole,
Pulled it round to our belly
To remind us of the price we pay.
And Osiris and the gods of the Nile
Gathered up a big storm
To blow a hurricane,
To scatter us away,
In a flood of wind and rain,
And a sea of tidal waves,
To wash us all away,
And if we don't behave
They'll cut us down again
And we'll be hopping round on one foot
And looking through one eye.

ครั้งสุดท้ายที่ฉันพบเธอ
เราถูกผ่าแยกเป็นสอง
เธอมองมาที่ฉัน
ฉันมองไปที่เธอ
เธอมีอะไรที่ช่างคุ้นเคย
แต่ฉันไม่อาจระลึกได้
และเธอมีเลือดเลอะหน้าเธอ
ฉันมีเลือดเลอะดวงตา
แต่ฉันสาบานได้จากสีหน้าของเธอ
ว่าความเจ็บปวดหยั่งลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ
ช่างเหมือนกับที่ฉันรู้สึก
นั่นคือความรวดร้าว
ที่ผ่าตรงทะลุดวงใจ
เราเรียกมันว่า ความรัก

ดังนั้นเราจึงโอบกันและกัน
พยายามซุกตัวเรากลับเข้าไปเหมือนเดิม
เราจึงร่วมรัก


Last time I saw you
We had just split in two.
You were looking at me.
I was looking at you.
You had a way so familiar,
But I could not recognize,
Cause you had blood on your face;
I had blood in my eyes.
But I could swear by your expression
That the pain down in your soul
Was the same as the one down in mine.
That's the pain,
Cuts a straight line
Down through the heart;
We called it love.
So we wrapped our arms around each other,
Trying to shove ourselves back together.
We were making love,
Making love.

มันเป็นยามเย็นที่มืดมิด หนาวเย็น
เหมือนเช่นนานมาแล้ว
ที่ก่อโดยผ่ามืออันทรงฤทธานุภาพแห่ง โจฟ
มันเป็นเรื่องเศร้า
ที่เราได้กลายเป็น
สัตว์สองเท้าอันเดียวดาย
มันเป็นเรื่องราวของ
กำเนิดแห่งรัก
นั่นคือ กำเนิดแห่งรัก

It was a cold dark evening,
Such a long time ago,
When by the mighty hand of Jove,
It was the sad story
How we became
Lonely two-legged creatures,
It's the story of
The origin of love.
That's the origin of love.


เห็นได้ว่า เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจจากเทพนิยายกรีกโรมันมาประกอบเป็นเนื้อหาของเพลงได้ลึกซึ้งมาก

คราวหน้า ถ้ามีเวลา ไว้จะหาเรื่องราวส่วนนี้ ที่เกี่ยวกับกำเนิดของโลกและมนุษย์ตามตำนานกรีก โรมันมาเล่าให้ฟังนะจ๊ะ ตัวเองก้อลืมๆไปบ้างละ คงต้องใช้เวลาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันนิดหน่อย ขอบคุณที่เยี่ยมเยียนนะคะ และถ้าชอบใจ ช่วยฝากคอมเม้นต์กันเยอะๆนะคะ



Create Date : 23 มิถุนายน 2552
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 1:20:13 น.
Counter : 1099 Pageviews.

2 comments
  

เพลงเพราะมาก อยากดูหนังเรื่องนี้จริงๆค่ะ

ต้องหามาดูให้ได้
โดย: mantabenj IP: 58.8.163.169 วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:19:55 น.
  
ได้ดูโดยบังเอิญ เพราะซื้อมาจากกระบะลดราคา ย่านคลองถม และไม่ตั้งใจหยิบมาดูแต่เห็นว่าราคาไม่ถึงร้อยและได้รางวัลมากมาย พอดูจบแล้วบอกได้เลยว่า ถ้าราคาสัก 500 ก็จะยอมซื้อครับ
โดย: ken IP: 58.136.4.192 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:24:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend