Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
23 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
..บทเรียนตอนที่2 ...


*.:。✿*゚¨゚ตอน..คุงคูและเพื่อนๆ*.:。✿*゚¨゚



ไอ้หน้าโง่==ครูปัญญาอ่อน


จริงๆ ไม่ค่อยอยากพูดถึงคุณหน้าโง่คนขายกระเป๋าเท่าไหร่..เพราะไม่อยากถือสากับคนไม่ค่อยจะเต็มบาท...แต่เคยเล่ามาแล้วในเวปจูน .. เลยเอากลับมาเล่าใหม่ให้ไดอารี่นี้สมบูรณ์นะคะ...แต่ขอเล่าคร่าวๆ ไม่เน้นมากจะดีกว่าค่ะ ...

คนขายกระเป๋าคนนี้อยู่ข้างร้านฉันที่ถัดเข้าไปในซอย6..ตอนเปิดร้านใหม่ๆ เค้าก็คุยกับพวกเราดี แค่ภาษาเค้าเวลาคุยต้องไม่ถือสา เพราะเค้าเป็นคนปากไม่ค่อยดี ..ข้อนี้เค้ารู้ตัวเองค่ะ เพราะเค้าเคยบอกกับคนอื่นๆว่า เค้าปากไม่ค่อยดีคนเลยไม่ค่อยชอบเค้า แต่เค้าไม่สนใจ ใครจะชอบหรือไม่ชอบ.....

แรกๆเราก็ไม่ถือสาค่ะ เค้าพูดอะไรไม่เข้าหูเราก็หัวเราะแบบว่าเออออ ไปกับเค้าน่ะค่ะ ไม่คิดมาก....แต่ช่วง6เดือนผ่านไป...ช่วงที่พวกเรามีเรื่องกับแม่มดและแมวดำ..ช่วงนั้นแม่มดกับแม่มดคงจะหาพวก เค้าเข้าไปคุยกับคนขายกระเป๋าในร้านนานมากๆๆ กระซิบกันเบาๆ...ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเค้าเข้าไปคุยกัน มารู้อีกทีคือตอนที่ แม่มดโวยวายว่ากระเป๋าในร้านตัวเองหายไป โดนขโมยค่ะ..เพราะตัวเองมัวแต่เม้าท์ นินทาฉันอยู่น่ะซิคะ....ไม่ได้สนใจคนซื้อ...ผลออกมากรรมตามทัน เงินที่อยู่ในกระเป๋าหายไปหลายหมื่น..อันนี้โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองทำเองนินา...มัวแต่นินทาคนอื่น....

สรุปคนขายกระเป๋าก็หูเบา...ฟังจากแม่มดใส่ร้ายฉันจนอยู่ๆ คนขายกระเป๋าก็เกลียดฉันขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เค้าเลย...ตั้งแต่วันนั้นมาคนขายกระเป๋ามีอคติกับฉันมากๆ จากที่เคยคุยกันดีๆ เค้ากลับหน้าบึ้งไม่พูดกับฉันอีกเลย และหลังจากนั้นเค้าก็เริ่มหาเรื่องฉันมาตลอด....ขอเรียกว่า "คุณหน้าโง่"นะคะ ชื่อหน้าโง่เพราะเค้าเลี้ยงสุนัข เค้าตั้งชื่อสุนัขของเค้าว่า "ไอ้หน้าโง่" พวกเราเลยเรียกคนขายกระเป๋าว่าพ่อไอ้หน้าโง่ แต่เราย่อน่ะค่ะ ย่อเป็น "ไอ้หน้าโง่" ไว้เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงใครนะคะ....

คุณหน้าโง่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของฉันมากๆ...ไม่ว่าฉันจะขยายร้านกี่ร้าน มีลูกจ้างกี่คน ให้เงินเดือนลูกจ้างเท่าไหร่...และฉันปล่อยให้คนเช่าร้านเท่าไหร่...สรุปคือทุกเรื่องของฉันเค้าจะสอดรู้สอดเห็นไปหมด....

จนวันหนึ่ง คุณหน้าโง่ หาเรื่องเองแท้ๆ ดันปากเสียมาพูดกับลูกจ้างฉันว่า "เอาสินค้ามาเหมือนร้านโน้น กะจะแข่งกับเค้าละซิ".......มานจะบ้าเหรอคะ สินค้าที่เราเอามาขายจะไปเหมือนร้านอื่นได้ยังไง ในเมื่อพวกเราทำกันเอง ผลิตกันเอง เพียงแค่จับกลุ่มวัยรุ่นเหมือนร้านอื่นๆ...

สินค้าที่เราเอามาลงเป็นงานเพ้นท์..เราจ้างน้องที่จบจากลาดกระบังมาช่วยเพ้นท์ลงเสื้อให้.......แต่แบบเสื้อสไตล์วัยรุ่น...ร้านอื่นๆเค้ารับมาอีกที....

แต่ปากไอ้คุณหน้าโง่หาเรื่องให้ฉันทะเลาะกับชาวบ้านน่ะซิคะ....เพราะเค้าหาว่าฉันเอาสินค้ามาเหมือนร้านร้านหนึ่ง พูดต่อๆไปจะทำให้ฉันกับอีกร้านไม่ถูกกันซะป่าวๆ....

จนฉันไปถามน้องคนนั้นว่า พี่แนนเอาสินค้ามาเหมือนน้องรึป่าวคะ น้องเค้าตอบว่า "ไม่นิคะ ร้านหนูไม่มีงานเพ้นท์ซักหน่อย"......โอเคค่ะคำตอบที่ได้มาจากร้านที่ไอ้หน้าโง่พูดถึงนั้นบอกว่าของเราไม่เหมือนกัน....

ฉันเลยอาละวาดเลยค่ะ....วันนั้นมีเรื่องกับไอ้หน้าโง่...ทะเลาะกันเสียงดังมากๆ แต่โชคดีที่ดึกมากแล้วหลายร้านปิดกันแล้ว เลยไม่มีไทยมุง...

ไอ้หน้าโง่มานบอกว่า "ผมจะยุ่งเรื่องร้านทุกร้านใครจะทำไม"...ดูมานซิคะ แล้วทำไมมานต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านด้วยเล่า........มานบอกว่า มานพอใจจะถามใครก็ได้....ฉันเลยพูดกลับไปว่า "อยากรู้เรื่องร้านคนอื่นก็รู้ไป แต่ต่อไปนี้อย่ามายุ่งเรื่องร้านของฉันอีก...ยิ่งคุณพูดมากยิ่งทำให้คนอื่นเค้าทะเลาะกัน ของไม่เหมือนกัน ดันไปพูดว่าเหมือนกันเอามาแข่งกันทำไม"......แล้วฉันกับไอ้หน้าโง่ก็เถียงกันดังมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ฉันมองดูแล้วอนาจไอ้หน้าโง่มากๆ...เค้าเป็นผู้ชายนะคะ แต่เค้าไม่ยอมแพ้ เค้าเถียงฉันหัวชนฝา เถียงข้างๆคูๆ หลับตาเถียงน่ะค่ะ....ตอนนั้นฉันก็ดันไปโมโหเค้า...มานึกแล้วถ้าเป็นตอนนี้ ฉันคงไม่โกรธเค้าเหมือนเมื่อก่อน...ไปๆมาๆตอนนี้ฉันกลับคิดว่า เรื่องเล็กจะตายจะไปทะเลาะกันทำไม..แค่ถ้าวันนั้นฉันไม่สนใจคำพูดเค้าก็คงไม่มีเรื่อง.....มันผ่านมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ..จริงๆทะเลาะกันค่อนข้างจะใหญ่ ฉันโทรมาพี่เนกับน้องน้อทมาด่วน..เพราะดูท่าจะเถียงกันไม่จบ...

ไปๆมาๆ ไอ้หน้าโง่เบนจากฉันเป็นไปหาเรื่องน้องน้อทแท้ .. ไอ้หน้าโง่ก็แปลกนะคะ....อยู่ๆก็โมโหอะไรขึ้นมาไม่รู้ มาตะโกนใส่น้อทเหมือนจะมาต่อยน้อท หน้าตาเค้าแดงก่ำมากๆ ตัวก็สั่น ปากก็สั่น ... ไอ้เราเห็นท่าไม่ดี เลยเข้าไปขวางตรงกลางระหว่างไอ้หน้าโง่กับน้องน้อทแล้วฉันก็พูดใส่มานว่า "อยากต่อยมาต่อยฉันนี่ อย่ามาถูกตัวน้องชายฉันแม้แต่ปลายเล็บไม่งั้นฉันเอาแก่ตายแน่...ฉันเป็นเจ้าของร้านนี้ ถ้าอยากหาเรื่องร้านก็มาหาที่ฉันนี่ อย่าเอาน้องฉันเข้าไปเกี่ยว".....แต่ตอนนั้นเป้าสายตาไอ้หน้าโง่มันไปอยู่ที่น้องน้อทอ่ะค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ฉันไปว่าเค้าว่า "มาหาเรื่องกับผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายนิหว่า...ไปเอากระโปรงมาใส่ซะดีกว่า ผู้ชายอะไร "...มานเลยเบนเข็มไปทางน้องชายฉัน...แบบว่าผู้ชายด้วยมั๊งคะ....

อย่าเชียวนะ อย่ามาทำร้ายน้องชายสุดที่รักของฉันเด็ดขาด ...ฉันแลกด้วยชีวิตเลยละ ตอนนั้นฉันกะว่า ถ้ามานต่อยน้องชายฉันเมื่อไหร่ ฉันถือเหล็กที่ดึงประตูร้านน่ะค่ะ กะจะแทงมันทันที ส่วนพี่เนคว้าเก้าอี้กะจะทุ่มใส่หลังมันเต็มที่....พอดีฉันไปยืนขวางตรงกลาง มานดันหาว่าน้องชายฉันไม่ใช่ลูกผู้ชายไปแอบหลังผู้หญิง...ฉันเลยว่ามานกลับไปว่า "ตาบอดเหรอไง...ฉันเป็นคนมายืนตรงนี้เอง น้องฉันไม่ได้แอบไปยืนหลังฉันซักหน่อย...จะต่อยมาต่อยฉันนี่ มาเลย แต่ถ้าทำร้ายน้องฉันเมื่อไหร่ฉันเอาแกตายแน่".....สรุปวันนั้นผลออกมาคือ ไอ้หน้าโง่มานขอโทษฉันที่มายุ่งวุ่นวายกับร้านของฉัน และฉันก็บอกมานไปว่า อย่ามายุ่งกับร้านฉันอีก .....

สรุปตั้งแต่ปีแรกจนวันนี้ ฉันกับไอ้คุณหน้าโง่ไม่พูดกันมาจนป่านนี้ค่ะ......

ฉันยกให้ไอ้คุณหน้าโง่เป็นครูฉันคนหนึ่งนะคะ...เพราะฉันได้เรียนรู้จากเค้าในเรื่องของการมีสติ.....ตอนนั้นฉันโกรธจนขาดสติ.....ดันไปทะเลาะเสียงดังกับเค้า ทั้งๆที่ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้...และเค้าก็สอนให้ฉันรู้ว่า...การที่หูเบาโดยไม่มีเหตุผลสามารถสร้างศัตรูกับตัวเองได้ทั้งๆที่ไม่ได้รู้อะไรจริงหรือเท็จ...ถ้าเค้าไม่ฟังคำพูดของแม่มดกับแมวดำมากเกินไป เค้าคงไม่มีอคติกับฉันจนป่านนี้....ฉันให้อภัยเค้าแล้วค่ะ...ให้อภัยตั้งนานแล้ว เพราะเค้าก็เปรียบเสมือนครูที่สอนให้ฉันรู้จักว่า ไม่ควรหูเบาและสร้างศัตรู..เพราะถ้าฉันหูเบาเหมือนไอ้คุณหน้าโง่ ฉันอาจจะทะเลาะกับคนอื่นๆหลายๆร้านได้......ส่วนสตินี่สำคัญค่ะ วันนั้นเป็นการทะเลาะที่รุนแรงมาก ฉันจะไม่เป็นแบบนั้นอีก ฉันรู้ตัวว่าวันนั้นฉันขาดสติ ...

วันนั้นจนวันนี้เหตุการณ์แบบนั้นไม่มีอีกแล้วค่ะ...ฉันไม่โกรธไม่โมโหใครง่ายๆแบบนั้นอีกแล้ว...ใครจะว่าฉัน ใครจะนินทา ใครจะใส่ร้าย ใครจะเข้าใจผิด ฉันไม่สนใจอีกแล้ว เมื่อก่อนฉันแคร์คนมากๆ ไม่อยากให้คนเกลียด ไม่อยากให้คนโกรธ...แต่เดี๋ยวนี้ จะเกลียดจะโกรธ ก็ช่างเค้าค่ะ คนอื่นๆไม่ได้มีอิทธิพลกับชีวิตฉันเลยจริงๆจะไปแคร์เค้าแล้วทำให้ตัวเองทุกข์ใจไปทำไม....

เค้าสอนให้ฉันรู้ว่าคนที่ฉันควรแคร์คือคนที่รักฉันตังหาก ...ตั้งแต่นั้นมาฉันพัฒนาตัวเองขึ้นเยอะในเรื่องของสติจริงๆค่ะ........ต้องขอบคุณไอ้คุณหน้าโง่ที่สอนบทเรียนให้ฉันอีกบทสำหรับการเข้ามาเรียนรู้โลกของการค้าตรงนี้...ทำให้ฉันรู้ว่า โลกของการค้าคือ...การหาพวกค่ะ...ตั้งแต่วันนั้นมาไอ้คุณหน้าโง่เป็นพวกเดียวกับแม่มดและแมวดำมาตลอดจนทุกวันนี้.....เค้าไม่มองหน้าฉันเลยยยยยยย......เฮ้อ!!ไม่สมกับการได้เกิดมาเป็นลูกผู้ชายเล๊ยยยย...ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่รู้จักการมีน้ำใจ...ฉันให้อภัยคุณนานแล้วนะคะ..อโหสิกรรมให้แล้วเพราะความหูเบาของคุณทำให้คุณสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว..........นี่ละค่ะชีวิตพ่อค้าแม่ค้า วันๆเอาแต่นินทา เฮ้อออ ปลง.....


align=center>
คนขายนาฬิกา==ครูบ้านนอกที่น่ารัก


สองสามีภรรยาที่ขายนาฬิกาอยู่ร้านฝั่งขวามือถ้าเดินเข้าซอย6 ..ร้านใกล้ๆกับร้านฉันน่ะค่ะ....

จริงๆแล้วพวกเค้าน่ารักนะคะ..มีลูกเล็กๆชื่อน้องพลอย..น่ารักมากๆเลยค่ะ....เพราะพี่เค้าเป็นคนต่างจังหวัด แต่เข้ามาขายของในกรุงเทพ ก่อนหน้านี้เค้าขายเพชรพลอยที่มาบุญครองค่ะ...และตอนหลังโดนโกงเลยต้องขายร้านที่มาบุญครองและมาเปิดร้านใหม่ที่สวนลุมไนท์นี้...

พี่เค้าเล่าว่า ตอนอยู่ที่มาบุญครอง เค้าไม่มีเพื่อนเลย ต่างคนต่างอยู่ในร้านของตัวเอง แถมมีเรื่องกับร้านข้างๆกันด้วย..ขนาดจะยิงกันเลยนะคะ เพราะดันขายของเหมือนกันนั่นแหละ..แถมทำร้านสีเดียวกันอีก..ก็เฮียคุณสามีไปทำสีตามข้างร้านทำไมละคะ...เน๊อะ..อันนี้คุณภรรยาเล่าให้อิฉันฟังนะคะ.....

พี่เค้าบอกว่าตอนอยู่ที่มาบุญครอง..ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีมิตรมีแต่ศัตรู แต่มาที่นี่ เค้าได้รู้จักฉัน รู้จักครอบครัวฉัน รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆแถวร้าน ..ซึ่งคนแถวนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยขายของเพิ่งมาหัดขายครั้งแรกกันทั้งนั้นเลยค่ะ...พวกเราเลยสนิทกันตามประสาคนเล่นขายของ ไม่ได้เน้นเงินซักเท่าไหร่.....ทำให้พี่กับเฮียคนขายนาฬิกาเค้างงมาก ว่าทำไมคนที่นี่สนิทกันเป็นเพื่อนกันดีจังเลย....

พี่เค้าบอกว่า เค้าได้เรียนรู้ถึงการมีเพื่อนในสังคมการค้าก็ตรงนี้นี่แหละ...ดีค่ะ พวกเราก็ได้สอนให้เค้ารู้ว่า การอยู่ในสังคมเราควรจะมีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน....

แต่เนื่องจากอยู่ๆปอยู่มา นาฬิกาดันขายไม่ค่อยดี...พี่แกคิดไม่ออกว่าจะเปลี่ยนสินค้าอะไรดี...เนื่องจากเค้านั่งมองร้านฉันทุกวันๆๆๆ ..ก็ช่วงนั้นฉันขายของดีมากนิคะ ไม่งั้นแม่มดจะเปลี่ยนสินค้าเหมือนฉันเหรอ.....

พี่กับเฉียขายนาฬิกาฉันขายของทุกวันๆๆๆ จนเค้าคิดไม่ออกว่าจะเปลี่ยนสินค้าอะไรดี เลยไปเอาเสื้อผ้าเหมือนฉันมาลงน่ะซิคะ.....

แหม!!นะ เสื้อผ้ามีตั้งหลายแบบหลายสไตล์ ทำไมต้องเอาแบบมาเหมือนฉันด้วยละคะเนี่ย.....

คราวนี้พวกเราเริ่มเครียดหนักขึ้น เราโดนร้าน2ร้านขนาบข้างเอาสินค้ามาเหมือนฉันหมด...ตอนนั้นฉันเครียดนะคะ...โกรธด้วย ทำไมต้องเอามาเหมือนกันอีกแล้ว...ช่วงหนึ่งฉันทำใจไม่ได้ ไม่พูดกับคนขายนาฬิการ้านนี้ไปเลยค่ะ ไม่พูดด้วยเป็นอาทิตย์ เพราะทำใจไม่ได้จริงๆ...

พอกลับบ้านทีไร ก็จะนั่งคิดว่า การค้าเป็นแบบนี้เหรอ..ถ้าขายไม่ดีต้องเอาสินค้ามาเหมือนกับร้านที่ขายดีอย่างนั้นเหรอ...นี่เค้าจะสอนอะไรฉันรึป่าวว่า..การค้าเป็นแบบนี้จริงๆ....เพราะทั้งแม่มดและคนขายนาฬิกา เค้าก็เคยมีร้านอยู่ที่มาบุญครองทั้งคู่...ดันเอาวิธีการค้าขายที่มาบุญครองมาใช้ที่นี่...ไม่นึกถึงจิตใจเพื่อนบ้านกันเลยเหรอคะ...

ฉันทบทวนอยู่หลายวัน...จนฉันคิดได้ค่ะ...หายโกรธเฮียกับพี่ที่ขายนาฬิกา..เพราะอยู่ๆฉันก็คิดว่า "ไม่เป็นไร การค้าคือการแข่งขัน ต่างคนต่างเอาตัวรอด..เค้าขายไม่ดี เค้าก็มีสิทธิเปลี่ยนสินค้า..เราจะไปโกรธเค้าทำไมกัน...นี่เป็นเรื่องของการค้ามั๊ง...ส่วนความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่เปิดร้านจนครบ1ปี เราเป็นเพื่อนที่ดีกันมาตลอด...แล้วทำไมฉันต้องไปโกรธพวกเค้าด้วยถ้าเค้าจะเอาอะไรมาขายก็ไม่บังคับเค้าไม่ได้...ฉะนั้น เลิกโกรธดีกว่า...ไม่โกรธแล้วค่ะ พี่จะเอาอะไรมาขายก็เอามาเถอะ....

ตอนหลังที่ทำใจได้เลยเข้าไปช่วยพี่กับเฮียขายเสื้อผ้าในร้านเค้าอีกนะเนี้ยคนเรา...เวลาขายให้เค้าได้แล้วดีใจค่ะ...ว่างๆก็เอาลูกเค้ามาเล่นในร้าน จนเด็กเกิดติดฉันขึ้นมา..อ่ะ ก็ได้ รักน้องพลอยต่อก็ได้ค่ะ ทำใจได้แล้วนิ...

แต่ที่สำคัญ...ปีที่สองของการทำการค้า ฉันกับพี่เนคิดหาทางหนีจากคนที่เลียนแบบสิน้คาร้านของพวกเรามาตลอดจนได้ขยายร้านใหม่อีกร้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ๆกันแม่มดและพี่คนขายนาฬิกา....แต่ร้านเดิมยังมีอยู่นะคะ เพียงแต่เอาความสนใจไปใส่ไว้ที่ร้านใหม่ก่อนจะดีกว่า ไม่งั้นอยู่ตรงนี้นานๆจะเครียดกันป่าวๆ....

ไว้จะเข้ามาสรุปปีที่สองนะคะว่า...พวกเราพัฒนาการอย่างไรกันบ้าง...เพราะปีแรกมีแต่เรื่องทะเลาะกับครูๆตั้งหลายคน.....ถึงแม่ว่าครูบ้านนอกที่น่ารักจะเอาสินค้ามาคล้ายของฉัน แต่เค้าก็สอนให้ฉันได้เรียกรู้ค่ะว่า...นี่คือการเอาตัวรอดจากการค้า..มันถึงทางตันแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือ การเลียนแบบร้านที่ขายดี....เพราะแม่มดก็สอนพี่เนแบบนี้เหมือนกันว่า ถ้าเราจะอยู่รอดได้คือต้องดูว่าร้านไหนขายดีแล้วเอามาขายตาม นี่คือการค้า...ตอนแรกฉันไม่เชื่อครูใหญ่ แต่ตอนนี้ครูบ้านนอกได้สอนฉันอีกครั้ง...

ทำให้ฉันมาคิดอีกทีว่า ทำไมตอนนั้นเราไปโกรธแม่มดกับแมวดำขนากนั้นนะ...จริงๆแล้วมันควเป็นเรื่องธรรมดาของการค้าจริงๆ...ขายไม่ดีก็หาสินค้าที่ขายดีมาขายซิคะ..ถ้าไม่รู้ว่าอะไรขายดีก็มองร้านข้างๆซิคะว่าร้านไหนขายดี..ก็ไปเอามาคล้ายๆแล้วกัน เพื่อไม่ให้น่าเกลียดก็อย่าเอามาแบบเดียวกันแล้วกัน คล้ายๆก็พอ.....

นี่ไม่ได้ประชดนะคะ..ฉันคิดแบบนี้จริงๆ....

เดี๋ยวนี้ไม่โกรธแล้วค่ะ...ไม่ว่าเพื่อนคนไหนที่อยู่แถวร้าน เอาสินค้ามาคล้ายฉัน ฉันไม่โกรธเค้าอีกแล้ว แต่กลับไปช่วยเค้าขายด้วยน่ะซิคะ....อ่ะ ถ้าร้านใครอยู่ข้างในขายไม่ดีเอามาฝากร้านฉันขายได้สบายมาก ช่วยขายให้ด้วยแหละ...ถือว่าอยู่ตรงนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้วกันค่ะ...

จบเรื่องครูๆทั้งหลายนะคะ.....

ไว้จะต่อด้วยเรื่องเพื่อนในมหาลัยการค้าสวนลุมไนท์นะคะ.....


align=center>
เพื่อนมหาภัย==สองพี่น้องตระกลูทอม


เรื่องเพื่อนๆที่เข้ามาเรียนในมหาลัยนี้ด้วยกันค่ะ..

เพื่อนในที่นี่หมายถึง แม่ค้าหน้าใหม่ เพิ่งจะมาเริ่มหัดขายของกันค่ะ...ขอเริ่มเล่าเรื่องเพื่อนมหาภัยก่อนนะคะ..สองพี่น้องตระกลูทอมนี่ค่ะเค้ามีร้านอยู่ถัดไปจากร้านฉัน3ห้อง..ตอนแรกเราสนิทกันมากๆๆๆ...ถ้าฉันสนิทกับใครมากๆจะติดคนนั้นน่ะค่ะ...ช่วงนั้นติดพี่2คนนี้มากๆ เค้าชอบโทรมาหาฉันตอนกลางคืนก่อนนอน โทรมาราตรีสวัสดิ์ทุกคืน...ฉันรู้สึกดีจัง มีเพื่อนๆพี่ๆที่น่ารักแบบนี้...

ตอนกลางวันก็จะโทรนัดเจอกัน ไปทานข้าวกันบ้าง บางคืนปิดร้านก็ไปหาข้าวต้มรอบดึกทานกันจนตี2ถึงจะกลับบ้าน...ช่วงนั้นแฮบปี้มากๆเลยค่ะ..รู้สึกอบอุ่นมากๆ เพราะพวกเราไปด้วยกันหลายคน....

ด้วยความสนิท ฉันก็จะไว้ใจทุกคน...ฉันเป็นคนชอบคิด คิดจะทำโน้นทำนี่ ..คิดแล้วดันไปเล่าให้พี่ทอม2คนนี้ฟังว่า ฉันจะปรับปรุงร้านนะ จะขยายร้านนะ ..จะเช่าร้านข้างๆร้านพี่ทอม2ห้อง จะลงของแบบนั้นแบบนี้ จะแต่งห้องอย่างนั้นอย่างนี้...บอกเค้าหมดเลยค่ะ ..

ฉันโทรไปถามโครงการเรื่องเช่าห้องสองห้องนี้ และนัดวันจะไปทำสัญญา...

พอถึงวันที่ฉันจะไปทำสัญญา..ช่วงบ่ายมีโทรศัพท์มาจากพี่ทอมค่ะ เค้าถามว่า "แนนอยู่ไหน" ฉันก็บอกว่า "กำลังขับรถเข้ามาในสวนลุมค่ะ"...."เออ ..พี่อยู่ที่โครงการนะ มาจ่ายเงินค่าเช่าห้องข้างพี่"....."อ้าว ใช่ห้องที่แนนจะเช่ารึป่าวคะ"...."ใช่..พี่มาจองไว้แล้ว"......ไอ้เรางงค่ะ ก็เรากำลังจะมาเช่านินา ทำไมมาตัดหน้าเราแบบนี้ล่ะค่ะ...

สรุปคือ พี่เค้ากลัวว่าฉันจะมาลงของแข่งกับเค้า เค้าเลยจัดการเช่าตัดหน้า..และจัดร้านแบบที่ฉันบอกไปหมดเลยค่ะ .... ตอนนั้นไอ้เราก็เครียดจัด ทำไมถึงเจอแต่เรื่องร้ายๆในพื้นที่ตรงนี้..รู้สึกแย่มากๆ ทำไมโลกภายนอกมันโหดร้านแบบนี้ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว...

แต่ได้กำลังใจจากพี่เน พ่อแม่ และญาติๆว่า เราต้องทำต่อไป ถ้าเราไม่ทำแสดงว่าเราเป็นคนอ่อนแอ ทำอะไรก็จะไม่ประสบความสำเร็จนะ ถ้าเจอเรื่องร้ายๆแล้วยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้....

ฉันมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง...ไม่มีใครมากำหนดชีวิตของฉันได้...ถ้าฉันตัดสินใจเลิกทำการค้าตรงก็ก็เลิกได้ทุกเวลา.....แต่แล้วฉันเลือกที่จะเดินหน้าต่อค่ะ...ฉันยังต้องแข่งขันกับแม่มด กับแม่ดำ อยู่ ฉันไม่ยอมให้เค้ามาหัวเราะเยอะหรอกค่ะว่า ในที่สุดก็แพ้....

ฉันสู้ต่อค่ะ....ตั้งแต่วันนั้นมา คำว่า "สู้ๆ สู้ตาย" ฉันได้ยินจากคนที่รักฉันมากมาย ได้ยินมาตลอดจนปัจจุบันนี้ค่ะ..

หลังจากวันนั้นฉันรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่พูดกับพี่ทอมสองคนนั้น..ไม่โกรธแล้วดีกว่า...โกรธแล้วไม่สบายใจจริงๆ โทรไปหาพี่เค้าดีกว่าว่าดีกันนะ....คำตอบที่ได้จากพี่เค้าคือ "พี่ไม่สนใจหรอกว่าใครจะดีใครจะโกรธพี่ ตอนนี้พี่อยู่ของพี่ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างอยู่แหละดีแล้ว พี่จะบอกอะไรให้นะ ในสังคมน่ะแนนจะต้องเจออะไรอีกเยอะ นี่ยังน้อยนะที่เจอแบบนี้..."....

ทำไมเค้าถึงเป็นแบบนี้คะ..ทำไมถึงทำร้ายจิตใจฉันขนาดนี้ ตอนแรกที่ที่อยู่ในสวนลุมไนท์นี้ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องกับแม่มดและแมวดำ ฉันยังทำใจให้ไม่เครียดกับสองคนนั้น วันๆมาคลุกอยู่กับสองพี่น้องตระกลูทอมแบบนี้สนุกดี ชีวิตมีแต่เสียงหัวเราะ ทำไมไม่นานกลับกลายเป็นแบบนี้...

ฉันกลับมานั่งทบทวนอีกครั้ง..นี่เราจะใช้ชีวิตใหม่นะ ไม่ใช่ชีวิตในบ้าน ในโรงเรียน ในมหาลัยจริงๆนะ...เพราะที่นี่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนะ....เงินทองคงจะไม่เข้าใครออกใครซะแล้ว สังคมที่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องมันไม่มีความจริงใจกันเลยเหรอคะ....ต่อไปนี้เราต้องอยู่อย่างระแวง..ไม่ไว้ใจใครแล้วเหรอคะ.....

เอาเป็นว่า...ต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่ให้ความสนิทและให้ความรักเพื่อนใหม่ 100 %เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว...ต่อจากนี้ไปฉันเพียงแค่ทักทายและยิ้มให้กับเพื่อนที่รู้จักหน้าใหม่เท่านั้น จะไม่เข้าไปสุงสิงหรือคลุกอยู่กับคนอื่นหมือนเดิมที่เคยทำอีกแล้วค่ะ.........

นี่เล่าถึงเหตุการณ์ร้ายๆจากครูและเพื่อนมหาภัยทั้งหลายแหล่นะคะ ...เพื่อนที่ดีก็มีค่ะ ....มีมากด้วย...ป้าสะดุดดี..พี่ไก่ พี่หลิว พี่แจ๋ว พี่ชิน ...รวมทั้งพี่นุ้ยและเฮียขายนาฬิกาคนที่เล่าให้อ่านน่ะค่ะคนที่เป็นครูบ้านนอกน่ะค่ะ....ถึงเค้าจะเป็นครูที่สอนบทเรียนบางเรื่องให้เราได้รู้ในเรื่องการค้า แต่จิตใจเค้าดีนะคะ เค้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร เพียงแต่มองข้ามความรู้สึกคนอื่นไปนิ๊ดดด....ตั้งแต่ฉันทำใจได้ ไม่โกรธพวกเค้าอีกต่อไปแล้วค่ะ....แถมเรากับเป็นเพื่อนที่ดีกันมากจนถึงทุกวันนี้...นี่ปี2550แล้วนะคะ ...พี่นุ้ยกับเฮียเค้าเลิกขายของที่สวนลุมปีกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่พี่นุ้ยจะโทรมาคุยกับฉันเรื่อยๆ เรายังติดต่อกันอยู่ค่ะ ฉันให้พี่นุ้ยเอาเสื้อผ้าที่ขายไม่หมดมาฝากร้านฉันได้เลย ช่วยขายให้ค่ะ สินค้าเก่าๆจะได้หมดสต๊อก...การมีน้ำใจ ช่วยเหลือคนอื่น ฉันรู้สึกดีนะคะ ดีมากๆด้วย.....ขายให้เค้าได้แล้วดีใจมากด้วยค่ะ.....

เฮีย(สามีพี่นุ้ย)ก็ชอบชอบฉันเสียเหลือเกินว่า ฉันเป็นคนเก่ง นี่ขนาดไม่เคยทำการค้ายังมีความคิดทำโน้นทำนี่ตลอดเวลา และชอบจัดร้าน หาของใหม่ๆมาลง พัฒนาตัวเองได้เร็วมาก อนาคตจะรุ่งแน่ๆ เค้าชอบชมๆๆๆๆ จนฉันตัวลอยไปถึงไหนแล้วล่ะค่ะ....ก็คนมันบ้าย่อนินา ..ยิ่งชอบยิ่งจะทำให้เห็นว่า ฉันทำได้นะคะ ทำได้จริงๆ ไม่ใช่คุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นเลยอย่างที่ตอนแรกๆทุกคนที่นี่มองฉันแบบนั้น....สรุปฉันทำให้พวกเค้าเห็นว่า....อย่ามองคนที่เปลือกนอก..........ถึงแม้ว่าพ่อจะมีหน้าที่การงานที่สูงมีหน้ามีตาในสังคมก็ตาม..ลูกๆก็เป็นคุณหนูกันเสียเหลือเกิน....ใช่ว่าคนอย่างพวกเราจะทำอะไรไม่เป็นกันนะคะ.....

หลายคนอาจจะงงว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกยังไง (เพื่อนพ่อเพื่อนแม่ชอบถามพ่อกับแม่ค่ะว่า..เลี้ยงลูกยังไงลูกถึงได้เก่งแบบนี้)....ลุงป้าน้าอาชมแล้วชมอีก.......

อันนี้ต้องยกความดีให้พ่อกับแม่ค่ะ....ถึงแม่ว่าพ่อกับแม่จะตามใจลูกๆทุกคน...แต่ท่านไม่ได้เข้มงวด ไม่เคยบังคับลูกๆเลย ปล่อยให้ทุกคนเป็นอิสระ จะไปเที่ยวต่างจังหวัดหลายวัน จะไปไหนกับใครก็ได้ พ่อแม่ไม่เคยห้าม เพราะท่านรู้ดีว่าลูกๆของท่านไม่เดินทางในทางที่ผิดแน่นอน...เพราะความไว้ใจของท่าน พวกเราเลยไม่ทำอะไรนอกลู่นอกกรอบเพื่อไม่ให้พ่อแม่เสียใจ....ท่านจึงไว้ใจพวกเราทุกคนค่ะ....

การที่ท่านไม่เคยห้ามและบังคับให้พวกเราทำโน้นทำนี่...นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเรามีอิสระในทางความคิดค่ะ พวกเรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ....ไม่ว่าจะงานหนักหรือเบา เราลุยแหลกค่ะ....เพราะเราถือว่าสนุกดี ชอบผจญภัยค่ะ อะไรที่ยากลำบากยิ่งชอบ เพราะถ้าทำแล้วประสบความสำเร็จจะภูมิใจตัวเองสุดๆเลยค่ะ......

คือว่า....ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จเราก็ไม่ซีเรียส เพราะเราไม่ได้อยู่ในภาวะที่ต้องลำบากมากแต่ต้องทำให้ได้ไม่งั้นเราอาจจะต้องตายได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น...เพียงแต่เราจะสู้ให้ถึงที่สุดเท่านั้นเอง..เราต้องการชนะตัวเองค่ะ...เราต้องมีความพยายามให้มากที่สุด..เราจะต้องก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยตัวเองให้สำเร็จให้ได้...เพื่อความภูมิใจของพ่อและแม่นะคะ..ที่มีลูกสาวที่ทั้งน่ารักทั้งเก่งแบบแนนกับพี่เน เน๊อะๆๆพี่เนเน๊อะ....เราน่ารักเน๊อะ อิอิ...
b>











Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 15 มกราคม 2551 12:53:48 น. 6 comments
Counter : 563 Pageviews.

 
//www.junjan.com/wma/thai/mslover/00/20.wma


เพลง เขียนถึงคนบนฟ้า


โดย: jone500 (max_pressure ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:35:35 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แนคนสวย เจนนี่ไม่ได้แวะมาทักทายพี่แนนเสียนาน สบายดีน่ะคะ พอดีวันนี้เจนนี่มีเวลานิดหน่อย เลยแวะมาเยี่ยมเยือนค่ะ

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพด้วยน่ะคะ

ไปก่อนน่ะคะ ว่างๆเจนนี่จะแวะมาอ่านให้จบอีกรอบค่ะ พอดีเจ้าตัวเล็กตื่นแระ ไว้เจนนี่จะมาใหม่น่ะคะ บ๊าย บายค่ะ


โดย: สาวอิตาลี วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:31:29 น.  

 
ว่างๆ เอาของดีๆมาฝาก อ่านแล้วต้องคิดนะ.......

สังเกตุมานานแล้ว แนนเป็นคนขี้ใจน้อยไปหน่อย....

เป็นคนคิดมาก ใจร้อน รักเร็ว เกลียดเร็ว.................

ดังนั้น จึงสมควรเอามาให้อ่าน เพื่อเตือนใจ........

มนุษย์ทุกๆคน ย่อมมีดีเลว กันทุกๆคน นะ.............


" เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอาส่วนดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์กับโลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคนมีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยวค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่า ตายเปล่าเอย
ฝึกให้เคยมองแต่ดี มีคุณจริง "

เป็นข้อคิด ของท่าน พุทธทาส ที่พี่ยึดถือมานานแล้ว

ถ้าเข้าใจหลักธรรมข้อนี้ รักก็จะรักคนได้ทั้งโลกเลยนะ


โดย: พญายม คนเดิม IP: 125.24.59.4 วันที่: 23 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:10:35 น.  

 



จ๊ะเอ๋
แวะมาทักทายคะ ตะกี้ เห๊นแว๊บ ๆ
คอมเม้นหาย หนี่ฯ ขอโทษด้วยนะคะ

ดีจังเลย ตะกี้ เห๊นมีนิทานด้วย
เด๋วขออ่านก่อนนะคะ จุ๊บ จุ๊บ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 23 มิถุนายน 2550 เวลา:1:25:45 น.  

 
ขอสารภาพค่ะ ว่ายังอ่านไม่จบ ..... แต่แค่มาลงชื่อเป็นกำลังใจเหมือนเดิมนะคะคุณแนน


โดย: ซ่อนทรายแก้วแฟนคลับ IP: 213.64.255.26 วันที่: 27 มิถุนายน 2550 เวลา:3:12:35 น.  

 
แวะมาอ่าน ขอบคุณ คุณครูทั้งหลาย ขอบคุณเจ้าของบล๊อค ที่ถ่ายทอด


โดย: ๋ JK (ขอยืม login) IP: 58.8.133.4 วันที่: 7 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:09:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ซ่อนทรายแก้ว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
















สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา...ก้อคือชีวิตเรา
สิ่งที่ มีค่าที่สุดในหัวใจเรา...ก้อคือหัวใจเรา
อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ ใคร
อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนเดียว
อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา ไปให้ใครดูแล
เพราะไม่มีใคร...ที่จะดูแลมันได้ดีไปกว่าตัวเราเอง
อย่าปิด กั้นความรู้สึกของหัวใจ
อย่าบอกว่าเราเกิดมาเพื่อจะรักคน ๆ เดียว
คนใจ แคบเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อที่จะรักคนได้คนเดียว
เราสามารถที่จะรักใครได้มากมาย
ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก
หน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อคนที่เรารัก
รัก ต่างแบบ...ปฏิบัติในหน้าที่ต่างกัน
แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่งคนบางคนไม่แยแสกับ ความรักที่เรามีให้
เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมาย
และไม่เห็นจะต้องเจ็บเจียนตาย
ถ้าเรามั่นใจ...ว่าเราทำหน้าที่ให้กับรักนั้นสมบูรณ์และเต็มที่แล้ว
ถ้าอากาศร้อนอบอ้าว...ลองออกมายืนคุยกับแสงแดด
อากาศหนาวแทบขาดใจ...ลองออกมาหาไออุ่นลมหนาว
เราจะรู้ว่าร้อนหรือหนาวก็ต่อเมื่อเราได้ไป สัมผัสกับมัน
ก็เหมือนกับความรัก ....
ถ้าอยากรู้ว่ารสชาดเป็นอย่างไรก็ต้อง ไปสัมผัสกับมัน
แต่อย่าทรมานตัวเองโดยการออกไปยืนตากแดดนาน ๆ
หรือยืนต้านทานลมหนาว ถ้ารู้ว่าร้อนนักก็หลบหาที่ร่ม
ถ้ารู้ว่าหนาวก็ก่อเตาผิง
ความรักจะ ไม่ทำร้ายเรา ถ้าเราไม่ทำร้ายตัวเอง
...ถ้าคุณรู้จักรัก..
แสงแดดจะทำให้คุณอบอุ่น
ลมหนาวก็จะทำให้คุณหลับสบาย...















Color Codes ป้ามด



โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน


ธรรมะไทย



ผู้ชมทั้งหมด คน
Friends' blogs
[Add ซ่อนทรายแก้ว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.