Group Blog
 
 
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
31 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 

เอ๊ะ! นี่อะไร...กลองก้ามปู

จากบล็อกที่แล้วที่เอาภาพ Panorama ที่วัดสุทัศน์เทพวราราม มาให้ชมกัน วันนี้ก็อยากจะเอาอะไรแปลกๆ ตาจากวัดสุทัศน์ฯ มาให้ชมกันอีก ซึ่งบางคนอาจจะรู้จักแล้วก็ได้ แต่ผมขอบอกตรงๆ ว่า ผมไม่เคยเห็น



นั่นคือ

กลองก้ามปู



ตอนเห็นครั้งแรกผมก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าไอ้ที่ยื่นออกมานั่นมันจะเป็นก้ามปู นึกว่าหางไดโนเสาร์ซะอีก ..ก็แหม ภาพสลักหินที่ปราสาทเขมรยังมีรูปเหมือนไดโนเสาร์ที่มีครีบที่หลังเลยอะครับ... คิดน้อยไปหน่อย


เดินไปเดินมาอยู่ในวิหารนั่น ไม่รู้จะหันไปถามใคร พอดีมีหลวงลุงรูปหนึ่งนั่งอยู่หลังพระประธานก็เลยเข้าไปถามท่านว่ากลองใบนั้นทำไมถึงมีหางยื่นออกมาครับ

(นั่น ! ยังมั่นใจว่าเป็นหางอีกแหน่ะ)


หลวงลุงท่านก็ตอบว่า "นั่นกลองก้ามปู" ... ตอนนี้ผมก็ร้องอ๋อ.... ก็ไอ้หางที่เห็นนั่นคือก้ามปูนี่เอง ผมก็ถามต่อว่า "แล้วมันหมายถึงอะไรครับ ทำไมถึงต้องทำเป็นก้ามปู" ... ท่านก็บอกว่า "เป็นสัญลักษณ์ของ ร.2" ... คำตอบนี้พาเอาอึ้งอยู่เหมือนกัน พาลทำให้นึกคำถามต่อไปไม่ออก



นึกๆ เข้าไป ตั้งแต่เรียนมา ร.2 กับปู เกี่ยวอะไรกันน้า... นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก กลับมาถึงบ้านก็เลย search หาจาก google .. ทำให้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับกลองก้ามปูขึ้นมา 2 เรื่อง ซึ่งทั้งสองเรื่องเป็นชาดกทางพุทธศาสนา ลองอ่านดูละกันนะครับ




สุวรรณกักกฏกชาดก
ว่าด้วยปูทอง
คัดลองจาก เว็บไซต์ประตูสู่ธรรม


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ หญิงคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ดังนี้

ได้ยินว่า ในเมืองสาวัตถี มีกฎุมพีคนหนึ่งพาภรรยาของตนไปยังชนบท เพื่อต้องการชำระหนี้สินให้หมดไป ครั้นชำระหนี้สินหมดแล้วก็เดินทางมา ถูกพวกโจรจับในระหว่างทาง ภรรยาของกฎุมพี นั้นเป็นผู้มีรูปสวยงามน่าเลื่อมใสยินดี หัวหน้าโจรปรารภจะฆ่ากฎุมพีเสีย เพราะความเสน่หาในนาง แต่นางเป็นสตรีมีศีล สมบูรณ์ด้วย อาจารมารยาท เคารพสามีดุจเทวดา นางจึงหมอบลงแทบเท้าของหัวหน้าโจรอ้อนวอนว่า ข้าแต่นายโจรผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านมีความเสน่หาดิฉัน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันเลย ถ้าท่านจักฆ่า ดิฉันจักกินยาพิษ หรือกลั้นลมหายใจตาย ก็ดิฉันจักไม่ไปกับท่าน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันโดยใช่เหตุเลย แล้วขอให้ปล่อยสามีนั้นไป พวกโจรก็ใจอ่อนยินยอมปล่อยสามีภรรยาคู่นั้นไป

ฝ่ายสามีภรรยา ทั้งสองนั้นถึงเมืองสาวัตถีโดยปลอดภัย เดินทางมาทางด้านหลังวิหารพระเชตวัน เข้าไปยังพระวิหารดื่มน้ำแล้วหารือกันว่าจักถวายบังคมพระศาสดา จึงเข้าไปยังบริเวณพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามสามีภรรยาทั้งสองนั้นว่า ไปไหนมา เขาทั้งสองจึงกราบทูลว่า ไปชำระหนี้สินมา พระเจ้าข้า เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ก็ในระหว่างทาง พวกท่านมากันโดยไม่มีความป่วยไข้หรือ ? กฎุมพีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในระหว่างทาง พวกโจรจับข้าพระองค์ทั้งสอง ในตอนนั้น ภรรยา ของข้าพระองค์คนนี้ได้อ้อนวอนนายโจรผู้จะฆ่าข้าพระองค์ ให้ปล่อยตัวมา เพราะอาศัยภรรยาผู้นี้ ข้าพระองค์ได้รอดชีวิตมา พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่บัดนี้เท่านั้น ที่สตรีผู้นี้ได้ให้ชีวิตแก่ท่าน ถึงในกาลก่อน ก็ได้ให้แม้แก่บัณฑิตทั้งหลายอัน ครั้นกฎุมพีนั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :


ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในเมืองพาราณสี มีห้วงน้ำใหญ่อยู่ใกล้หิมวันตประเทศ ในห้วงน้ำใหญ่นั้น ได้มีปูทองตัวใหญ่อาศัยอยู่ในห้วงน้ำใหญ่นั้น ปรากฏชื่อว่า กุฬีรรหทะ แปลว่า หนองปู เพราะเป็นที่อยู่ของปูทองตัวนั้น ปูทองนั้นใหญ่โต ขนาดเท่าลานนวดข้าว จับช้างกิน ช้างทั้งหลายไม่อาจลงห้วงน้ำนั้นหาอาหารกินเพราะกลัวปูทองนั้น

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์นางช้างพัง เพราะอาศัยช้างจ่าฝูงในฝูงช้างที่อาศัย กุฬีรรหทะสระอยู่ ลำดับนั้น มารดาของพระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า จักรักษาครรภ์จึงไปยังถิ่นภูเขาอื่นรักษาครรภ์อยู่ จนคลอดบุตร พระโพธิสัตว์นั้นรู้เดียงสาขึ้นโดยลำดับ มีบริวารมาก สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม เป็นคล้ายกับภูเขาอันชัน พระโพธิสัตว์นั้นอยู่ร่วมกับนางช้างพังเชือกหนึ่ง คิดว่าจักจับปู จึงพาภรรยาและมารดาของตนเข้าฝูงช้างนั้นพบกับบิดาจึงกล่าวว่า พ่อ ฉันจักจับปู

ลำดับนั้นบิดาได้ห้ามเขาว่า เจ้าจักไม่สามารถนะลูก พระโพธิสัตว์พูดกะบิดาผู้กล่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า ท่านจักรู้กำลังของข้าพเจ้า พระโพธิสัตว์นั้นจึงให้ประชุมช้างทั้งหมดที่เข้าไปอาศัยห้วงน้ำกุฬีระอยู่ เดินไปใกล้ห้วงน้ำพร้อมกับช้างทั้งปวงแล้วถามว่า ปูนั้นจับช้างในเวลาลง ในเวลาหาอาหาร หรือในเวลาขึ้น ได้ฟังว่า ในเวลาขึ้น จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น แม้พวกท่านจงลงห้วงน้ำกุฬีระ หาอาหาร กินจนเพียงพอแล้วขึ้นมาก่อน เราจักอยู่ข้างหลัง

ช้างทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้น ปูจึงเอาก้ามทั้งคู่หนีบสองเท้าพระโพธิสัตว์ซึ่งขึ้นภายหลังไว้แน่น เหมือนช่างทองเอาคีมใหญ่หนีบซี่เหล็กฉะนั้น นางช้างไม่ละทิ้งพระโพธิสัตว์ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้ๆ นั่นแหละ พระ โพธิสัตว์ดึงก็ไม่สามารถทำให้ปูเขยื้อน ส่วนปูลากพระโพธิสัตว์มาให้ตรงกับปากตน พระโพธิสัตว์ถูกมรณภัยคุกคาม จึงร้องว่าติดก้ามปู ช้างทั้งปวงกลัวมรณภัย ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท ขี้เยี่ยวราดหนีไป ฝ่ายนางช้างก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้เริ่มจะหนีไป ลำดับนั้น พระ โพธิสัตว์ได้ทำให้นางเข้าใจว่าตนถูกหนีบไว้ เพื่อจะไม่ให้นางหนีไป จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :

ปูทอง มีนัยน์ตาอันยาว มีหนังเป็นกระดูก เป็นสัตว์อยู่ในน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิตเสียเลย

ลำดับนั้น ช้างพังนั้นจึงหันกลับ เมื่อจะปลอบโยนพระโพธิสัตว์ นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :

ข้าแต่ท่านผู้เป็นลูกเจ้า ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปีเลย ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉัน ยิ่งกว่าแผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครสี่เป็นขอบเขต

ครั้นนางช้างทำพระโพธิสัตว์นั้นให้เข้มแข็ง แล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ดิฉันเมื่อได้สนทนาปราศรัยกับปูทอง สักหน่อย จักให้ปล่อยท่าน เมื่อจะอ้อนวอนปูทองจึงกล่าวคาถา ที่ ๓ ว่า :

ปูเหล่าใด อยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดีท่านเกิดอยู่ในน้ำ ย่อมประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด

เมื่อนางช้างนั้นกำลังพูดอยู่ ปูได้ยินเสียงหญิง ก็ใจอ่อน จึงอ้าก้ามจากเท้าช้าง โดยหาได้รู้ไม่ว่า ช้างนี้เมื่อเราปล่อยแล้วจักกระทำอย่างนี้ เมื่อปูปล่อยช้างแล้ว ช้างจึงยกเท้าเหยียบหลังปูนั้น กระดองพังทลายไปในทันทีนั่นเอง ช้างนั้นจึงร้องขึ้นด้วยความยินดี

ช้างทั้งปวงจึงประชุมกันนำเอาปูไปวางบนบก กระทืบให้ละเอียดเป็นจุรณวิจุรณไป ก้ามทั้งสองปูนั้นแตกออกจากร่างกระเด็นตกไปข้างหนึ่งของห้วงน้ำ ก็ห้วงน้ำที่มีปูอยู่นั้นต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันกับแม่น้ำคงคา ในเวลาที่แม่น้ำคงคาเต็ม ก็เต็มไปด้วยน้ำในแม่น้ำคงคา เมื่อน้ำในแม่น้ำคงคาน้อย น้ำในห้วงก็ไหลลงสู่แม่น้ำคงคา ครั้งนั้น ก้ามปูทั้งสองก้ามนั้นก็ลอยไปในแม่น้ำคงคา ในก้ามปูสองก้ามนั้น ก้ามหนึ่งลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พระราชาพี่น้อง ๑๐ องค์ เล่นน้ำอยู่ ได้ไปก้ามหนึ่งกระทำตระโพนชื่อว่าอณิกมุทิงคะ ส่วนอีกก้าม ที่ลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พวกอสูรถือเอาไปแล้วให้กระทำเป็นกลอง ชื่ออฬัมพรเภรี ในกาลต่อมา พวกอสูรเหล่านั้นพ่ายแพ้ในสงครามกับท้าวสักกะ จึงทิ้งอฬัมพรเภรีนั้นหลบหนีไป ท้าวสักกะจึงให้ยึดเอาอฬัมพรเภรีนั้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พระองค์ อาจารย์บางพวกหมายเอากลองนั้นกล่าวว่า กลองอฬัมพระ ดังกระหึ่ม ดุจเมฆคำรามฉะนั้น

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประ กาศสัจจะในเวลาจบสัจจะ สามีภรรยาแม้ ทั้งสองก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า ช้างพังในกาลนั้น ได้เป็นอุบาสิกาผู้นี้ ส่วนช้าง คือเราตถาคต ฉะนี้แล





อรรถกถาอาณีสูตรที่ 7
คัดลองจาก วิกิซอร์ซ


ในอาณีสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทสารหานํ ได้แก่เหล่ากษัตริย์ผู้มีชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า
กษัตริย์เหล่านั้น ถือเอาสิบส่วนจากข้าวกล้า ฉะนั้นจึงปรากฏชื่อว่า ทสารหา

บทว่า อานโก ได้แก่ กลองมีชื่ออย่างนี้.

ได้ยินว่า ในป่าหิมวันต์ มีสระปูใหญ่. ปูใหญ่กินข้างที่ลงไปในสระนั้น ครั้งนั้น พวกช้างถูกปูเบียดเบียน มีความเห็นร่วมกันว่าเพราะอาศัยลูกของนางช้างนี้ พวกเราจึงจักมีความสวัสดีได้ จึงได้พากันสักการะนางช้างเชือกหนึ่ง แม้นางช้างนั้นก็ได้ตกลูกเป็นช้างมเหศักดิ์ ช้างทั้งหลายพากันสักการะแม้ลูกช้างนั้น ลูกช้างเจริญวัยแล้วถามแม่ว่า เหตุไรช้างเหล่านี้จึงสักการะเรา นางช้างจึงเล่าเรื่องให้ฟัง ลูกช้างกล่าวว่า ก็ปูเป็นอะไรกะฉัน พวกเราไปที่นั่นกันเถิด แวดล้อมไปด้วยช้างเป็นอันมาก ไปที่นั้นแล้วลงสระก่อนทีเดียว ปูมาหนีบลูกช้างไว้เพราะเสียงน้ำนั่นเอง

ปูมีก้ามใหญ่ ลูกช้างไม่อาจทำปูให้เคลื่อนไปข้างโน้นข้างนี้ได้ จึงสอดงวงเข้าปากร้องลั่น ช้างทั้งหลายกล่าวว่า ลูกช้างที่พวกเราเข้าใจว่า ได้อาศัยแล้วจักมีความสวัสดีนั้น ถูกหนีบเสียก่อนเลย จึงพากันหนีกระจัดกระจายไป

ลำดับนั้น แม่ของลูกช้างยืนอยู่ไม่ไกล กล่าวกะปูด้วยคำที่น่ารักว่า

พวกเราชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐบนบก พวกท่านชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐในน้ำ ผู้ประเสริฐไม่ควรเบียดเบียนผู้ประเสริฐ ดังนี้แล้วกล่าวคาถานี้ว่า

เย กุฬีรา สมุทฺทสฺมึ คงฺคาย ยมุนาย จ เตสํ ตฺวํ วาริโช เสฏฺโฐ มุญฺจ โรทนฺติยา ปชํ
บรรดาปูทั้งหลาย ในทะเล ในแม่น้ำคงคา และแม่น้ำยมุนาเหล่านั้น ท่านเป็นสัตว์น้ำที่ประเสริฐที่สุด ขอท่านจงปล่อยลูกของเราผู้ร้องไห้อยู่

ธรรมดาเสียงมาตุคาม ย่อมทำให้บุรุษปั่นป่วน ฉะนั้น ปูจึงได้คลายหนีบ ลูกช้างรีบยกเท้าทั้งสองขึ้นเหยียบหลังปู พอถูกเหยียบ หลังปูแตกเหมือนภาชนะดิน

ลำดับนั้น ลูกช้างเอางาทั้งสองแทงปู ยกขึ้นทิ้งไปบนนก แล้วส่งเสียงร้องแสดงความยินดี ช้างทั้งหลายมาจากที่ต่างๆ เหยียบปูนั้น ก้ามปูก้ามหนึ่งหักกระเด็น ท้าวสักกเทวราชทรงถือเอาก้ามปูนั้นไป ส่วนก้ามปูอีกก้ามหนึ่งถูกลมและแดดเผาจนสุก มีสีเหมือนน้ำครั่งเคี่ยว เมื่อฝนตก ก้ามปูนั้นถูกระแสน้ำพัดลมลอยมาติดข่ายของพระราชาสิบพี่น้องผู้ขึงข่ายไว้เหนือน้ำ เล่นน้ำอยู่ที่แม่น้ำคงคา เมื่อเล่นน้ำแล้ว
ยกข่ายขึ้น พระราชาเหล่านั้นทรงเห็นก้ามปูนั้น ตรัสถามว่า นั่นอะไร

ก้ามปู พะย่ะค่ะ พระราชาทั้งหลายตรัสว่า ก้ามปูนี้ ไม่อาจนำไปเป็นเครื่องประดับได้ พวกเราจักให้หุ้มก้ามปูนี้ทำกลอง รับสั่งให้หุ้มแล้วทรงตี เสียง (กลอง) ดังไปทั่วพระนคร ๑๒ โยชน์ ต่อแต่นั้นพระราชาทั้งหลายตรัสว่า ไม่อาจประโคมกลองนี้ประจำวัน จงเป็นมงคลเภรีสำหรับวันมหรสพเถิด จึงให้ทำเป็นมงคลเภรี เมื่อประโคมกลองนั้น ประชาชนไม่ทันอาบน้ำ ไม่ทันแต่งตัว รีบขึ้นยานช้างเป็นต้นไปประชุม

กลองนั้นได้ชื่อว่า อานกะ เพราะเหมือนเรียกประชาชนมา ด้วยประการฉะนี้...





เท่าที่หาเรื่องราวเกี่ยวกับกลองก้ามปูดังกล่าวก็มีเท่านี้ แต่สำหรับใครที่เข้ามาอ่าน แล้วมีข้อคิดเห็นหรือมีความรู้อะไรเพิ่มเติม ผมรบกวนใช้พื้นที่คอมเม้นท์ให้เป็นประโยชน์ด้วยนะครับ ...ผมใคร่รู้




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2550
17 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 17:22:10 น.
Counter : 1679 Pageviews.

 

เหมือนหางตะเข้

ป้อม ๆ สั้น ๆ ดี เอามาอบวุ้นเส้นท่าจะอาหย่อย

ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
ขอบคุณที่เอามาให้ดูนะจ๊ะ

ปล.
เท่าที่หาเรื่องราวเกี่ยวกับกลองก้ามปูดังกล่าวก็มีเท่านี้ แต่สำหรับใครที่เข้ามาอ่าน แล้วมีข้อคิดเห็นหรือมีความรู้อะไรเพิ่มเติม ผมรบกวนใช้พื้นที่คอมเม้นท์ให้เป็นประโยชน์ด้วยนะครับ ...ผมใคร่รู้

อันนี้พรุ่งนี้ตื่นมาอ่านแล้วเม้นท์อีกทีละกานนะ

เห็นตัวหนังสือเยอะ ๆ แล้วมึนส์จ้ะ

 

โดย: Nagano 31 สิงหาคม 2550 1:36:17 น.  

 

คิดเหมือนพี่กัง เหมือนหางจระเข้มากกว่าเนอะ

แต่ไม่ได้คิดเรื่องก้ามปูอบวุ้นเส้นนะคะ

อ่านไปเรื่องเดียวเองค่ะพี่ ยาวจัด สงสารปูเหมือนกันนะเนี่ย - -;

 

โดย: Namtarn IP: 71.206.220.37 31 สิงหาคม 2550 2:33:26 น.  

 


แหะ แหะ มาติดไว้ก่อน้หมือนกัน

ตอนนี้ดึกมากมาย หมดแรงอ่านอ่ะ

แต่ขอบคุณนะคะที่มีเนื่องราวดีดีมาให้รู้จักกัน คือกลองเนี่ยก็ไม่เคยเห็น
ชื่อยิ่งไม่รู้จักเลยยยยย

 

โดย: อ้วนกลม 31 สิงหาคม 2550 3:23:00 น.  

 

นอนม่ายหลับ เลยแวะมาคับเฮีย ผมไม่ได้แวะมาหลายวันล่ะ

 

โดย: mantis (yokee_playman ) 1 กันยายน 2550 3:21:41 น.  

 

สมกะเปงนักโบราณคดีตัวจริง ข้อมูลปึ๊ก

เออ พี่ กรมศิลปากร เปิดรับสมัครนักโบราณคดี พี่ไม่สนใจเหรอคะ

รูปแรกเนี้ย กลองก้ามปู เห้นแล้วนึกถึงปูนึ่งขึ้นมาทันที ท่าจะหิวมาก

 

โดย: fairy_tells 1 กันยายน 2550 12:56:45 น.  

 

หือ...เรื่องมันยาว

ได้ความรู้ใหม่ใส่หัวหลังข้าวเที่ยง...

 

โดย: ทายาทตระกูล"หมี" (ผู้ชายชื่อต้น ผู้หญิงชื่อพิม ) 1 กันยายน 2550 13:41:52 น.  

 



ก้ามปูอวบจัง
ท่าทางเนื้อจะเยอะ

 

โดย: ดาวทะเล 4 กันยายน 2550 10:32:26 น.  

 

เห็นกลองอันนี้เหมือนกันค่ะ
แต่ไม่ได้ไถ่ถามว่ามีที่มาอย่างไร
ขอบคุณๆ ต๋องด้วยนะที่ไขให้กระจ่าง
แจ่มค่ะ

 

โดย: อุ้มสี 5 กันยายน 2550 15:24:37 น.  

 

นี่ละค่ะ สมกับเป็นนักโบราณคดีที่ยอดเยี่ยม
อ่านอย่างสนุกเลยค่ะ เป็นความรู้ที่ดีมากๆ

ขอบคุณค่ะสำหรับข้อคิดดี ๆ ที่มอบให้
ถูกใจมาก จะส่งของที่ระลึกฝีมือตัวเองไปให้นะคะ

 

โดย: ซออู้ 5 กันยายน 2550 20:37:00 น.  

 

เอ๊....นี่อาร้ายยยยยยยยยย

 

โดย: Nagano 7 กันยายน 2550 8:59:12 น.  

 

ขอบคุณนะครับ...สำหรับสิ่งดีๆๆ

เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งไปไหว้พระที่นี่เหมือนกัน..

 

โดย: pooktoon 7 กันยายน 2550 13:48:39 น.  

 

ว้าว เพิ่งจะเคยเห็นเหมือนกันค่ะเนี่ยคุณต๋อง

ขอบคุณที่เอามาฝากค่ะ

ฝนแวะมาบอกข่าวดีด้วยล่ะ มีน้องให้น้องกรานต์แล้วค่ะ

 

โดย: Malee30 7 กันยายน 2550 15:00:09 น.  

 

 

โดย: Nagano 9 กันยายน 2550 13:37:25 น.  

 

ได้ความรู้วิถีไทยดีจังเลยครับ

 

โดย: DJ BrYaN IP: 125.24.40.155 10 กันยายน 2550 0:41:26 น.  

 

หายไปเลยเน้อ ฝนแวะมาเยี่ยมและมาส่งข่าวดีค่ะ ตอนนี้กำลังมีน้องให้น้องกรานต์แล้วน๊า

จะกลับไปเที่ยวไทยสองเดือนด้วยล่ะค่ะ ไปวันที่ ๑๓ นี้ค่ะ

รักษาสุขภาพนะคะ

 

โดย: Malee30 11 กันยายน 2550 2:14:55 น.  

 

ของส่งไปแล้วค่ะ เชื่อว่าพรุ่งนี้ถึง ทำสุดฝีมือเลย
ชอบ ไม่ชอบ ส่งข่าวด้วยละกัน

 

โดย: ซออู้ 11 กันยายน 2550 14:21:32 น.  

 

เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างงี้

 

โดย: เอ๊กกี่ 12 กันยายน 2550 10:11:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทายาทตระกูลหยี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




10 Blogs ล่าสุดสุริยุปราคาบางส่วน จากเมืองจันทบุรี แกลเลอรี่ภาพถ่าย
แค่อยากจะร้อง : Superman ร้องเพลง
แค่อยากจะร้อง : Listen ร้องเพลง
นับถอยหลังรอวันสูญของบาตรบุแห่งชุมชนบ้านบาตร จิปาถะ
เห็ดแชมเปญที่น้ำตกคลองนารายณ์ จันทบุรี แกลเลอรี่ภาพถ่าย
เมืองน่านจากวัดพระธาตุเขาน้อยตอนกลางคืน แกลเลอรี่ภาพถ่าย
แค่อยากจะร้อง : Out of reach ร้องเพลง
สิมวัดเชียงทอง หลวงพระบาง แกลเลอรี่ถาพถ่าย
ซ้อมใหญ่ริ้วกระบวนพระอิสริยยศฯ 2 พ.ย. 2551 แกลเลอรี่ภาพถ่าย
เพราะอะไร : piano by tutu pianist ร้องเพลง





free website stats
Friends' blogs
[Add ทายาทตระกูลหยี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.