ลู่หมินซีรีส์ The Writer 4 / AI Tale 4.6 (นิทานจักรกล)







.............................
......................







ดวงตากลมโตโหลลึกมองชื่อตัวเองที่อยู่บรรทัดสุดท้าย ตรงใต้ประโยค "ลงชื่อผู้ส่งสาร" มันถูกเขียนขึ้นจากพู่กันปลายเรียวเล็กจุ่มน้ำหมึกสีดำจากภาชนะที่ดูคล้ายกะโหลกของมนุษย์ 









แม้จะถูกป้ายด้วยเลือดของตัวเองเพื่อเป็นการย้ำคำสัญญาเหมือนประทับตราสัญลักษณ์ประจำตัว แต่ก็ยังคนเห็นตัวอักษรสีดำได้ชัดเจน เขาสะกดชื่อตัวเองทีละตัวในใจซ้ำไปซ้ำมา 











ภาพวันที่ตัดสินใจเดินทางไปยังกระท่อมท้ายป่าไผ่ห่างจากห้องทดลองลับไม่มากนัก หลังฟังเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อจากปากคุณตา และรับช่วงต่อสมุดลงอาคมที่ในตอนนั้นเขาไม่สามารถเปิดมันออกได้ ค่อยๆชัดเจนขึ้นในห้วงความคิด












ความฝันอันแปลกประหลาดของคุณป้าและกระท่อมของหญิงชราผู้แก่กล้ามนต์ดำ 












หญิงชราหลังโค้งค่อมที่นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นตรงกึ่งกลางของลวดลายคล้ายยันต์ลงอาคม แบบที่คยองซูเคยเห็นในหนัง ส่งเสียงสวดพึมพัมอยู่ตลอดเวลา 




แสงสว่างจากเทียนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองนิ้วที่วางไว้ตามพื้นตรงมุมของภาพรูปทรงแบบดาวซ้อนกัน และแท่นบูชาเล็กๆที่ด้านหลัง สว่างพอที่จะเห็นเส้นลายมือตัวเอง แต่กลับไม่เพียงพอที่จะทำให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมสีดำที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงเมตร 





แม้ว่าคยองซูจะพยายามเพ่งมองกลับยิ่งเหมือนการพยายามก้มลงไปในบ่อน้ำลึกยามคืนจันทร์อับแสง






เมื่อเสียงสวดร่ายมนต์เงียบลงหญิงชราก็ใช้ไม้เท้าสีดำยาวแต่งอหงิกเหมือนเถาวัลย์เขี่ยสมุดที่เด็กหนุ่มเพิ่งเขียนชื่อลงไปให้มาอยู่ตรงหน้าเขา






"เจ้าคือผู้ส่งสารจงจำไว้ เมื่อถึงเวลากำหนด เหล่าอีกาที่เป็นตัวแทนของอำนาจอันลี้ลับจะร้องตั้งแต่ท้ายป่าไผ่ตรงนี้เป็นทอดๆไปถึงหูเจ้า และจะไม่หยุดร้องจนกว่าสมุดลงอาคมเล่มนี้จะถูกเผาเป็นจุลที่กลางแจ้งใต้แสงจันทร์ สารในสมุดและพลังแห่งอาคมจะเข้าสู่พลังรับรู้ของข้า  

หลังจากนั้นเจ้านับเวลารอความตายไม่เกินสามวัน เมื่อวิญญาณเป็นอิสระจากร่างหมายถึงครบถ้วนกระบวนการแห่งพิธีกรรม

อาคมของข้าและจิตวิญญาณของพวกเจ้าที่ยอมสละตามคำสัญญาจะแสดงพลังอำนาจเหนือกว่าที่ธรรมชาติกำหนด 

หลังจากนั้นอีกเจ็ดวันชีวิตใหม่จะตื่นเต็มตา ดวงวิญญาณของเจ้าเด็กน้อยจะยุติการเร่ร่อนอยู่ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับร่างกายประดิษฐ์  ใช้ชิวิตอยู่ในโลกมิติเดียวกับมนุษย์และเดรัจฉานทั้งหลาย ด้วยอายุขัยที่ผู้เสียสละซึ่งมีความสัมพันธ์ทาสายเลือดทั้งสองมอบให้"






คยองซูจำได้ว่าในตอนนั้นเขามีคำถามมากมาย แต่กลับไม่สามารถเปิดปากถามได้เหมือนริมฝีปากบนและล่างถูกเย็บติดกันสนิท






"เจ้ากลับไปได้แล้ว จงเดินตรงไปอย่าหันกลับมา มิเช่นนั้นเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ความทรงจำจากความฝัน อาคมจะเสื่อมถอยและชีวิตของผู้เสียสละจะไร้ความหมาย"





แม้ในวันนั้นเขาจะรีบเดินออกจากถ้ำกอดสมุดไว้แนบอกแน่นโดยไม่หันกลับไปมอง แต่คยองซูก็รู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างมันช่างคล้ายกับความฝัน 




เป็นฝันที่ทำให้สะดุ้งตื่นกลางดึกด้วยร่างกายที่ชุ่มเหงื่อและสามารถจดจำเรื่องราวในฝันได้ราวกับเพิ่งพบเจอมากับตัว






วันรุ่งขึ้นเขาลองเดินไปตรงที่คิดว่าเป็นจุดเดิมที่เป็นที่ตั้งของกระท่อม แต่ก็ไม่มีร่องรอยใดให้สามารถเชื่อมโยงได้เลยว่าเคยมี หรือถูกรื้อถอนไปแล้ว พื้นหญ้าเขียวขจีต้นไม้ดอกไม้พันธ์ุเล็กขึ้นเรียงกันถี่ยิบระหว่างช่องว่างของต้นไผ่ เหมือนไม่เคยมีคนผ่านมาแถวนี้ด้วยซ้ำ







หลักฐานเดียวที่ทำให้มั่นใจว่าเรื่องทุกอย่างเป็นความจริงคือสมุดที่เขาครอบครองพร้อมความรับผิดชอบที่เป็นดั่งจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายในการสร้างชีวิตใหม่












.......................................................................











ก่อนหน้าอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดกับคุณป้าไม่ถึงสองเดือน คยองซูบังเอิญได้ยินคุณป้ากับคุณตามีปากเสียงกันรุนแรง ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่พอจับใจความได้คร่าวๆว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่ชื่อมินซอก จากที่กำลังจะเคาะประตู เขาก็ยั้งมือแล้วเดินมาแอบฟังตรงใกล้หน้าต่างครัวที่คุณป้ากับคุณตายืนทะเลาะกันอยู่






เขายืนนิ่งแทบลืมหายใจเพราะเรื่องเล่าจากความฝันที่ยากจะเชื่อได้ที่ออกมาจากปากคุณป้า จนเสียงในบ้านเงียบลงเขาจึงเดินกลับไปที่จักรยานที่พิงไว้ริมรั้ว หอบส้มในตระกร้าที่ตั้งใจเอามาให้คุณป้ากับคุณตากลับไปด้วย









หลังงานศพคุณป้าจบลงและลู่หานกลับโซลแล้ว คยองซูจึงตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องราวที่คาใจกับคุณตา แต่คุณตาไม่ยอมบอกอะไร อ้างว่าเป็นเรื่องที่ครอบครัวต้องจัดการกันเอง 






คยองซูเก็บความสงสัยไว้หลายเดือนจึงตัดสินใจไปหาลู่หาน หวังว่าลู่หานจะให้ตอบได้ และเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองในเรื่องที่ยังไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง ว่าคนเราจะคิดถึงใครคนหนึ่งเป็นบ้าเป็นหลังได้ยังไง จากการพบกันครั้งเดียวและคุยกันแค่ไม่กี่คำ






แต่มันก็ล้มเหลวทั้งหมด เมื่อเดินทางไปจนถึงแถวๆคอนโดของลู่หานตามที่สอบถามเส้นทางมาจากคุณตา ตอนที่เขาแวะเข้าร้านฟาสต์ฟู้ดแถวนั้นเพื่อหาอะไรกินและกะว่าจะโทรหาลู่หานก่อน เขาบังเอิญเจอลู่หานกับหญิงสาวกำลังยืนสั่งอาหารอยู่ ท่าทีแบบที่แค่ปรายตามองก็รู้ว่าเป็นแฟนกันทำให้คยองซูตัดสินใจกลับบ้านมาเงียบๆ 







เด็กหนุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบ ทั้งมองว่ามันไรสาระด้วยซ้ำ บทประพันธ์อย่างโรมิโอ แอนด์ จูเลียตทำให้เขาขบขัน หนังแบบไททานิกเขาไม่ได้ประทับใจความรักของแจ็คกับโรสแม้แต่น้อย แค่ชอบงานโปรดักชั่นที่ยิ่งใหญ่สมจริงเท่านั้น แต่พอตัวเองได้ลองมีความรู้สึกไม่ต่างจากตัวละครที่เคยคิดว่าช่างฉาบฉวย คนแบบเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากหัวเราะเยาะตัวเอง 

















คยองซูแทบจะเหมือนหลานแท้ๆของคุณตาเพราะความเป็นห่วงที่คุณตาต้องอยู่คนเดียว และยังมาช่วยดูแลหุ่นยนต์ที่ต้องพามาอยู่บ้านด้วยเพราะทางการเริ่มสงสัยและส่งคนมาตรวจตราลงพื้นที่บ่อยๆ















จนกระทั้งเกือบสี่ปีให้หลัง คยองซูตรวจเจอเนื้อร้ายแล้วอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว เขากับคุณตาก็ยิ่งสนิทสนมคุยเปิดใจกันมากขึ้น 






และในที่สุด คุณตาก็ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง 







มันเริ่มต้นจากความฝันของคุณป้าที่ฝันเห็นกระท่อมท้ายป่าไผ่ได้ยินเสียงสวดในท่วงทำนองแปลกประหลาดดังแว่วมาและเห็นเงาลางๆที่คล้ายหุ่นยนต์ทีตัวเองรักดั่งลูก จึงรีบเดินเข้าไปหาก็พบว่าร่างนั้นนั่งอยู่ที่พื้นกลางกระท่อมคับแคบกับใครอีกคนที่ห่มคลุมร่างด้วยชุดดำ พอจะเดินเข้าหาใกล้ๆก็หายวับไปกับตาเสียทั้งคู่ คุณป้าพยายามร้องเรียกชื่อมินซอก แต่ฝูงอีกาที่ไม่รู้มาจากไหนก็บินพุ่งเข้าหาจนคุณป้าตกใจตื่น 






รุ่งเช้าคุณป้าตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในป่าไฝ่มากกว่าที่เคย แล้วก็เจอกระท่อมแบบในฝันจริงๆ





และมันก็นำไปสู่เรื่องราวการลงชื่อในสมุดลงอาคม กับการแลกบางสิ่งเพื่อให้ได้บางสิ่งและการใช้มนต์ดำเอาชนะกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ














........................................................................












"ตาไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องรึเปล่า" ชายชราพูดพลางส่งสมุดคืนให้คยองซู






"ผมเองก็ไม่รู้ครับ...แต่บางทีอะไรถูกอะไรผิดมันก็ยากที่จะตัดสินแบบเรื่องการแพ้ชนะในเกมกีฬาที่มีกติกาชัดเจน ผมคิดว่าแค่มันเป็นเรื่องที่เราเต็มใจจะทำและไม่เดือดร้อนคนอื่น มันก็น่าจะพอแล้ว "เขาตอบพลางลูบปกสมุดไปมา






 "แต่เจ้าจะเดือดร้อนทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองนะ"






"ผมเป็นแค่ผู้ส่งสารไม่ใช่ผู้เสียสละอายุขัยแบบคุณป้ากับคุณตา ถ้าการที่ผมจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้วเป็นสาเหตุให้เทวดาประจำตัวจะไม่คุ้มครองผมอีกต่อไป มันก็คงไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนอะไรหรอกครับ 
คำวินิจฉัยของหมอตัดสินชีวิตของผมไปแล้ว อีกอย่างปีหน้าพี่ชายผมที่เป็นหลานแท้ๆของคุณปู่ก็จะเรียนจบด้านเกษตรและจะมาอยู่กับคุณปู่แล้ว ผมไม่มีอะไรต้องห่วงหรือต้องเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้เลยครับ"






"ชาติหน้าเรามาเจอกันอีกนะ ขอให้เจ้ามีอายุที่ยืนยาวและอยู่อย่างมีความสุข" มือที่กร้านจากงานไม้งานสวนและความแก่ชราลูบศรีษะเด็กหนุ่มที่นับวันยิ่งรักไม่ต่างจากหลานตัวเอง






คยองซูยิ้ม มองแววตาของอีกฝ่ายแล้วน้ำตาก็ไหลทั้งที่ยังมีรอยยิ้ม 












..................................................













พอเดินพ้นผนังห้องหนังสือ ลู่หานก็หันไปทางหน้าทีวีเหมือนที่ทำเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ไม่มีร่างเล็กๆนั่งจดจ่ออยู่กับรายการโปรดแบบทุกวัน มีแค่เจ้าตุ๊กตาหมีตัวโตนั่งคอตกอยู่







ชายหนุ่มเดินลากเท้าช้าๆไปที่หน้าต่างเพราะยังตื่นไม่เต็มตาดี เขาจับรวบผมที่ลงมาปรกหน้าค้างไว้ที่กลางศรีษะ แล้วพยายามเพ่งมองผ่านกระจกหน้าต่างทะลุผ่านแดดอ่อนๆอีกชั้นไปตรงร่างที่ยืนอยู่ข้างแนวแปลงดอกไม้ ลู่หานเอามืออีกข้างขยี้ตาแล้วคิ้วก็ขมวดตามมา






มินซอกยืนยืดตัวตรง เงยหน้ารับแสงแดดเช้าและเหมือนจะยิ้มอยู่ด้วย ร่างเล็กไม่ไหวติงและบรรยาศรอบตัวก็แทบจะเหมือนภาพวาดถ้าไม่เห็นว่าเส้นผมสีน้ำตาลเข้มพริ้วน้อยๆไปตามแรงลม





ลู่หานค่อยๆไล่สายตามองไปทั่วร่างนั้นราวกับเป็นสิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน 







ความรู้สึกบางอย่างๆค่อยๆขยายพื้นที่ในอกด้านซ้าย หายใจไม่ค่อยสะดวกนัก และรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักแต่ก็ละสายตาไม่ได้ ประสาทสัมผัสรู้สึกถึงโลกรอบตัวน้อยลงทุกที เพราะภาพที่อยู่ในกรอบสายตาดึงความสนใจไปจนหมด






จนกระทั่งสิ่งที่จดจ่อจนลืมตัวมีความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเหมือนมีคนมาตบบ่าแรงๆตอนกำลังเผลอ






มินซอกเดินตรงมาทีประตูบ้าน ลู่หานลุกลี้ลุกลนเดินเข้าครัว หมุนไปหมุนมาอยู่แถวซิ้งค์แล้วนึกขึ้นได้ว่าควรชงกาแฟ จึงรีบคว้าแก้วมัคที่คว่ำอยู่บนชั้นตะแกรงสแตนเลสมาถือไว้






พอได้ยินเสียงปิดประตูถึงหันไปมอง มีรอยยิ้มรออยู่ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบแบบที่ต้องปั้นหน้าอยู่ไม่น้อย







"ไปไหนมา"




"ตากผ้าแล้วก็รดน้ำต้นไม้ครับ...พี่ลู่หานหิวรึยังครับ"





"อืม...ไม่เป็นไร ฉันขอกินกาแฟก่อนยังไม่อยากกินอะไรหนักๆเท่าไหร่"



มินซอกพยักหน้า เดินมานั่งที่โต๊ะอาหารมองด้านหลังของพี่ชายที่เคลื่อนไหวไปมาช้าๆจากการหยิบจับสิ่งต่างๆที่จะทำให้เกิดเป็นกาแฟร้อนหนึ่งแก้ว






พี่ชายหันมาแล้วยกคิ้ว สิ่งประดิษฐ์ที่ที่มองอยู่ก็ยกคิ้วบ้าง ลู่หานเอียงหน้าด้วยความสงสัย มินซอกก็ทำบ้าง ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมาเบาๆแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกัน



"เรียนรู้พฤติกรรมแบบคนอยู่เหรอ"




มินซอกพยักหน้า




"ไม่ต้องหรอก นายน่ะดูมีชีวิตมากกว่าคยองซูอีก"




"แต่...คุณคยองซูยังไม่ตายนะครับ"




ลู่หานหัวเราะออกมาอีกครั้ง วางแก้วมัคแล้วยื่นมือไปยีผมนุ่มมือที่ชี้ไม่ค่อยเป็นทรงดูคล้ายเป็นหูแมวโผล่ขึ้นมา




"ฉันหมายถึง นายน่ะท่าทางเหมือนคนมากๆ แต่คยองซูไม่ค่อยแสดงอารมณ์ หน้านิ่งคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้"




"คิดหลายอย่างครับ"




"นายรู้ได้ยังไง อ่านความคิดคนได้ด้วยเหรอ"




"คุณคยองซูบอกน้องมินซอกครับ"




"ไหนลองบอกฉันมาซักเรื่องซิ"




"บอกไม่ได้ครับ สัญญากันไว้แล้ว"




"แต่...ฉันเป็นพี่นายนะ"




มินซอกทำหน้าลำบากใจ ปากที่เม้มแน่นยื่นออกมา หลุบตามองพื้นโต๊ะ




"ฉันล้อเล่น การรักษาสัญญาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ"




"น้องมินซอกเป็นเด็กดีใช่มั๊ยครับ"




ลู่หานพยักหน้า ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ก่อนพึมพัมด้วยน้ำเสียงกังวล




"เด็กนั่น...หวังว่าวันหนึ่งคงจะยอมบอกอะไรฉันบ้าง เห็นหน้าก็รู้ว่าไม่ได้มีความสุขนักหรอก"














..................................................












ลู่หานทุบโต๊ะรัวๆ ตะโกนคำหยาบออกมาหลายคำ หลังจากอ่านอีเมลที่มีเนื้อความเพียงสามบรรทัด หัวใจที่เต้นแรงยังไม่สงบลงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินวนเป็นก้าวสั้นๆหมุนไปมาเหมือนคนปวดท้องธุระหนักแต่ห้องน้ำไม่ว่าง






บทสนทนาไม่ต่างจากข้อความในอีเมลนัก และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าคำตอบรับว่า ครับ ซ้ำๆ








ร่างที่มีเพียงกางเกงขาสั้นปกปิดท่อนล่างเดินจ้ำออกมาจากห้อง หันซ้ายหันขวาไม่เห็นใคร กำลังจะเดินไปที่ประตูแต่คนที่อยู่ข้างนอกก็เปิดเข้ามาพอดี ชายหนุ่มถลาเข้าไปหา 







มินซอกตาโตตกใจเพราะโดนพี่ชายอุ้มยกตัวขึ้นจนลอยเท้าจากพื้น ตระกร้าผ้าหลุดมือ รีบกอดคอพี่ชายไว้แน่น






"ฉัน....ฉันจะได้เป็นนักเขียนจริงๆแล้ว" ลู่หานละล่ำละลัก






มินซอกเปลี่ยนจากสีหน้าตกใจเป็นดีใจ กดคางลงกับไหล่พี่ชายยิ้มจนตาหยี






แต่อ้อมแขนของคนพี่ก็ค่อยๆคลายออก เพราะความรู้สึกบางอย่างที่แทรกผ่านความตื่นเต้นดีใจเข้ามา.....ความรู้สึกที่ต้นคอที่เหมือนเพิ่งได้สัมผัสลมหายใจอุ่นๆทำให้เขาตีสีหน้าไม่ถูก






"น้องมินซอกดีใจจัง" มินซอกพูดด้วยน้ำเสียงสดใส หลังเท้าทั้งสองสัมผัสพื้น เขาซอยเท้าอยู่กับที่เหมือนเด็กๆ






ลู่หานอยากจะยิ้มแต่ก็กลายเป็นแค่การแค่นยิ้ม เขายกมือลูบต้นคอไล่ความรู้สึกแปลกๆออกไป....แต่มันไม่หาย


..........


.... 




ชายหนุ่มก้าวเท้าไปประชิดร่างกายประดิษฐ์ ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างสัมผัสทั้งสองแก้ม ปิดเปลือกตาลงค่อยๆซึมซับความอุ่นราวกับร่างกายของคนที่มีเลือดสูบฉีด 






















"นาย...เป็นอะไรกันแน่" 





เสียงพูดนั้นสั่นไม่ต่างจากจังหวะหัวใจ
































.........................................................................................





..........................................................





สวัสดีค่ะ

น่าจะเป็นตอนที่ทิ้งไว้นานที่สุดล่ะ มันมีปมหลายอย่าง

ถ้าพลาดเดี๋ยวพาลพาเรื่องไปถึงจุดจบไม่ได้

คนเขียนจะกลายเป็นคนมีปมไปซะแทน

ชีวิตปกติก็ปมเยอะจนแก้ไม่ทันละ

ขอบคุณที่ยังสละเวลาเปิดมาอ่านนะคะ

ขอบคุณมากๆ  จริงๆ

Thank you…(´人`●)SOOOOO━━\(´∀`●)/━━MUCH!!



Create Date : 27 มิถุนายน 2561
Last Update : 3 มกราคม 2562 19:29:47 น.
Counter : 927 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2090139
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
มิถุนายน 2561

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30