เกาหลี..ไปเองง่ายๆ

อยู่ๆ ก็นึกอยากไปเกาหลีขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะว่า เคยไปมาแล้ว ไม่เคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับที่นี่ และอยากลองไปต่างประเทศเอง ก็เลยเริ่มจากประเทศที่เคยไปก่อนละกัน ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย และไม่อยากเป็นผู้นำทริปให้ใคร (เพราะตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด) เลยตัดสินใจไปคนเดียว เริ่มหาข้อมูลตั้งแต่เดือน เม.ย. 52 เพื่อเดินทางช่วง ต.ค. 52 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มของฤดูใบไม้ร่วง จะไปชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสีซะหน่อย


ข้อมูลการเดินทาง ที่พัก ที่เที่ยว ที่กิน หาจากทั้ง website ที่รีวิวการท่องเที่ยวประเทศเกาหลี ใน Pantip นี่ก็มีอยู่เยอะแยะ ภาพก็สวยๆ ทั้งนั้น และอีก website นึงที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะ Backpack คือ wutkate.com มีข้อมูลเยอะมาก ก่อนที่จะหาเส้นทางการเดินทาง ควรจะต้องลองอ่านรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวก่อน และถามตัวเองว่า เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจกับรีวิว และภาพเหล่านั้นหรือเปล่า ถ้าอ่านแล้วเกิดอาการอยากๆๆๆ ก็เริ่มเตรียมตัวกันได้เลย


...แต่จะไปตอนไหนดีล่ะ หาข้อมูลสภาพอากาศก่อนว่า อยากไปสัมผัสอากาศหนาว หิมะตก หรือไปชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสี ส่วนช่วงใบไม้ผลิกับฤดูร้อน คงไม่ค่อยมีใครอยากไป เพราะสภาพอากาศใกล้เคียงกับบ้านเรา


ประเทศเกาหลีใต้มี 4 ฤดูกาล ฤดูหนาว ช่วงเดือนธันวาคม-ต้นเดือนมีนาคม อากาศหนาวเย็น หิมะตก เป็นช่วงของเทศกาลการเล่นสกี ต้นไม้จะผลัดใบจนหมดตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง เหลือให้เห็นแต่กิ่งก้าน สถานที่ท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวส่วนใหญ่จะปิดเร็วขึ้นกว่าปกติประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากจะมืดเร็ว  ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ช่วงนี้ดอกไม้จะบานสะพรั่ง อากาศเย็นสบาย  ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน อากาศค่อนข้างร้อนสลับฝนตก เนื่องจากเป็นช่วงมรสุม ต้นไม้ใบไม้จะมีสีเขียวขจี  ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน และช่วงพีคประมาณกลางเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง แดง ส้ม เหลือง อย่างเต็มที่ และจะเริ่มผลัดใบจนหมด อากาศช่วงนี้จะเย็นสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป



หลังจากเลือกช่วงเวลาที่จะไปได้แล้ว เริ่มอ่านรีวิวประเทศเกาหลีจาก website ต่างๆ แล้วจดชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่สนใจออกมา ส่วนใหญ่ในรีวิวต่างๆ จะเล่าถึงตารางการท่องเที่ยวในแต่ละวันของตัวเองเอาไว้ ลอกออกมาได้เลย เพื่อที่จะพอนึกภาพออกได้ว่าสถานที่ใดอยู่ใกล้กัน จะได้ไม่ย้อนไปมาให้เสียเวลา ยิ่งถ้ามีแผนที่ของเมืองเช่น Seoul ก็จะช่วยให้วางแผนตารางการเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น ข้อมูลพื้นฐานที่เป็นตัวช่วยได้ดีคือ ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี //www.kto.or.th/home.php หรือจะไปติดต่อขอรับเอกสารมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษได้ที่ ชั้น G ศูนย์การค้า Esplanade ถนนรัชดาภิเษก ข้อมูลอาจจะไม่ละเอียดมาก แต่มีแผนที่ให้พอเข้าใจภาพรวมได้ หลังจากได้สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการแล้ว ลองวางแผนตารางการเดินทางว่าในแต่ละวันจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ใช้เวลาทั้งหมดกี่วัน รับรองได้ว่า ไม่มีใครที่วางแผนแล้วใช้ได้เลยในครั้งเดียว ยิ่งอ่านรีวิวไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งปรับตารางไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งเดินทางไปถึงแล้ว ก็ยังมีการปรับเปลี่ยนกันวันต่อวัน แต่เราจะเกิดความมั่นใจได้เองว่า นี่แหล่ะ! แผนนี้ต้องสำเร็จ อาจจะเหนื่อยที่ต้องอ่านข้อมูลมากมาย แต่เชื่อว่าถ้าเราอยากจะไปให้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ..เราต้องทำได้..

หลังจากกำหนดวันเดินทางทั้งไปและกลับได้แล้ว ก็เริ่มหาที่พัก อ่านจากรีวิวเหมือนเดิม พักที่ไหนดี โรงแรมหรือเกสเฮ้าส์ ราคาไม่แพง ปลอดภัย รีบหา link ที่พักนั้นเลย เพื่อดูแบบห้อง ราคา สิ่งอำนวยความสะดวก เส้นทางการเดินทางจากสนามบินไปที่พัก และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีไหนบ้าง ส่วนใหญ่แล้วการเดินทางใน Seoul ค่อนข้างสะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินกระจายอยู่ทั่วไป ถึงแม้ว่าจะเจอที่พักที่ถูกใจแล้ว แต่ก็อาจจะมีข้อสงสัย คาใจอยู่บ้าง แนะนำให้ใช้วิธีส่งอีเมลไปสอบถามกับเจ้าของที่พักโดยตรง (จะได้มีเวลาเปิด Dic. แต่งประโยคสวยๆ ได้ด้วย) แต่สำหรับคนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ก็อาจจะใช้วิธีโทรไปสอบถามที่พักได้ ก็จะช่วยให้ได้คำตอบที่เร็วขึ้น แต่สำหรับเรา ปกติก็ฟังไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว คุยกันทางโทรศัพท์ ก็จะไปกันใหญ่ เลยเลือกวิธีส่ง mail โต้ตอบกันดีกว่า


ราคาที่พัก ถ้าเป็นเกสเฮ้าส์และต้องการความเป็นส่วนตัว ห้องพักแบบ Single bed room ราคาประมาณ 20,000-40,000 won หรือประมาณ 850-1,200 บาท/คืน หรือเป็นห้องที่พักรวมเฉพาะผู้หญิง หรือเฉพาะผู้ชาย แบบ 4 เตียง ซึ่งเป็นเตียง 2 ชั้น เรียกว่า ห้องแบบ Dormitory มีห้องน้ำในตัว เหมาะสำหรับคนที่เดินทางคนเดียว ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และสามารถจะใช้ชีวิตนอนรวมกับคนอื่นได้ ซึ่งจริงๆ แล้วที่เคยสัมผัสมา การนอนห้องแบบนี้ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ แถมตอนนี้ก็ได้เพื่อนใหม่เป็นชาวไต้หวันมาด้วย ห้องแบบนี้ราคาจะถูกกว่า ราคาประมาณ 20,000 won หรือประมาณ 600 บาท/คืน ส่วนใหญ่จะเอาไว้นอนไม่กี่ชั่วโมงและเก็บสัมภาระ ยกเว้นของมีค่าต้องเอาติดตัวไปด้วย ส่วนคนที่ต้องการนอนแบบเกาหลีดั้งเดิม ก็มีที่พักทั้งเกสเฮ้าส์และโรงแรม ที่ให้บริการ เรียกว่า แบบอนดล (Ondol) ใช้ผ้าหนาปูนอนกับพื้น โดยที่ใต้พื้นจะมีระบบความร้อนไหลเวียน ช่วยให้อบอุ่นเวลานอน ซึ่งจะเหมาะมากในฤดูหนาว แต่ราคาก็จะสูงกว่าเกสเฮ้าส์ที่เป็นเตียงปกติเล็กน้อย เกสเฮ้าส์บางแห่งจะมีโปรโมชั่นสำหรับคนที่พัก 5 คืนขึ้นไป จะมีส่วนลดให้ 5-10% อาจจะต้องลองใช้ความสามารถเฉพาะตัวต่อรองกันเอง



สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักที่มีให้บริการ คือ โทรทัศน์, ไดร์เป่าผม, โทรศัพท์ (เฉพาะห้องพักแบบ Private), เครื่องทำน้ำอุ่น, แชมพูสระผมและสบู่, เครื่องทำน้ำอุ่น, ตู้เย็น  เกสเฮ้าส์ส่วนใหญ่จะมี lobby มีโต๊ะกลางไว้สำหรับรับประทานอาหาร ซึ่งจะมีเครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องชงกาแฟ ตู้น้ำดื่มร้อน-เย็น คอมพิวเตอร์ ฟรี wifi ไว้ให้บริการ รวมถึงยังเป็นห้องพักผ่อนดูทีวีด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้เพื่อนใหม่จากห้องนี้นี่ล่ะ ส่วนใหญ่เกสเฮ้าส์จะมีเครื่องซักผ้าไว้บริการ อาจจะฟรีหรือเสียเงิน และบางแห่งต้องหาผงซักฟอกมาเอง



สำหรับเราเลือกจองเกสเฮ้าส์ เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และส่วนใหญ่ก็เพื่อไว้เก็บกระเป๋าสัมภาระ ได้นอนอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องออกเที่ยวต่อ การสอบถามข้อมูลทางอีเมล นับว่าสะดวกมาก บางครั้งก็สอบถามหรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไม่แน่ใจว่า จะน่าสนใจจริงหรือเปล่า เราสามารถขอจองห้องพักทางอีเมลได้ โดยแจ้งชื่อ-นามสกุล, เพศ, เลขที่หนังสือเดินทาง, จำนวนคนที่จะพัก, วันที่ check-in และ check-out, เที่ยวบินและเวลาที่เราไปถึง เพื่อเป็นการยืนยันให้เจ้าของที่พักแน่ใจว่า เราจะเดินทางไปและต้องการที่พักแน่นอน ส่วนค่าที่พัก เราสามารถขอไปชำระได้เมื่อ check-in เห็นมั้ยล่ะว่า คนเกาหลีใจดีสุดๆ ทั้งหมดนี้คุยกันทางอีเมล เป็นภาษาอังกฤษ ใช้คำง่ายๆ ที่เน้นให้ความเคารพและสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน


สิ่งสำคัญหลังจากตกลงจองที่พักได้แล้ว ควรจะ print อีเมลสรุปสุดท้ายที่ได้ confirm กับเจ้าของที่พัก พร้อมกับที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และแผนที่การเดินทางของที่พัก ซึ่งจะมีอยู่ใน website อยู่แล้ว เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้แก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับแผนการเดินทางในแต่ละวันแบบคร่าวๆ ในกรณีที่ถูกเรียกตัว ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ ตม. เกิดความมั่นใจขึ้นว่า เรามาเที่ยว มีการวางแผนมาอย่างชัดเจน








หลังจากได้ที่พักแล้ว เริ่มวางแผนการเดินทาง ตั้งแต่ไปจนกลับ สายการบินที่บินลงที่สนามบินอินชอน (Incheon) หรือสนามบิน Gimhae (สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวที่ Pusan) มีทั้งการบินไทย, Korean Air, Jeju Air, Asiana Airlines เลือกได้ตามชอบใจ หรือจะติดต่อซื้อตั๋วผ่านบริษัททัวร์ก็ได้


การบินไทย //www.thaiairways.com


Korean Air //www.koreanair.com


Jeju Air //www.jejuair-gsa.com


Asiana Airlines //ea.flyasiana.com/Global/EA/en/index


การเดินทางจากสนามบินไปที่พัก และเที่ยวกลับจากที่พักไปสนามบิน ถ้าเดินทางโดยสนามบินอินชอน ก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากมีรถ Limousine Airport Bus วิ่งกระจายทุกเส้นทาง ตรงเวลา สะดวกสบาย เพราะพนักงานขับรถจะช่วยเหลือเราดีมาก ช่วยยกกระเป๋า แต่งตัวสุภาพ สะอาด เรียบร้อย ประทับใจจริงๆ การเดินทางจากสนามบินอินชอนไปยังโซลใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง สำหรับเที่ยวกลับ ก็แค่ไปยืนที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามกับเที่ยวที่มา มีป้ายบอกเวลาที่รถสายนั้นจะมาถึง แล้วก็ขึ้นรถหลับไปถึงสนามบินได้เลย หรือถ้าต้องการความรวดเร็ว ก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (Subway) จากสนามบินไปยังสถานีปลายทางที่เราต้องการได้เลย แต่อาจจะต้องทนแบกกระเป๋าขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังถนนด้านบนสถานีปลายทาง ซึ่งบันไดค่อนข้างสูงมาก การชำระเ้งินค่าเดินทางทั้ง Limousine Airport Bus และ Subway ก็สามารถใช้ T-money ได้เช่นกัน

Incheon International Airport //www.airport.kr/eng/


Limousine Airport Bus //www.airport.kr/airport/traffic/bus/busList.iia?flag=E&fake=1306823313914


Airport Express (Airport Railroad) //www.airport.kr/iiacms/pageWork.iia?_scode=C1203020000


Taxi //www.airport.kr/iiacms/pageWork.iia?_scode=C1203030000



ส่วนการเดินทางใน Seoul หรือจะเป็นเมืองอื่นๆ เช่น Pusan ก็จะมีทั้งรถเมล์ และรถไฟฟ้าใต้ดินที่สะดวก รวดเร็ว ตรงเวลา การใช้บริการก็แสนง่าย โดยเฉพาะรถไฟฟ้าใต้ดิน แค่มีบัตร T-Money ใบเดียว จะเดินทางไปไหนก็ได้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ แถมยังได้ส่วนลดอีก แต่ว่าต้องมีเงินในบัตรก่อนล่ะ ถึงจะใช้ได้ สำหรับการเดินทางโดยรถเมล์ ก็อาจจะติดปัญหาอยู่นิดหน่อยคือ สื่อสารกับคนขับไม่เข้าใจกัน เนื่องจากคนขับรถส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ การขึ้นรถเมล์จึงเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้ารถไฟฟ้าใต้ดินไม่สามารถให้บริการเราให้ถึงจุดหมายได้ อาจจะเลือกใช้บริการรถแท๊กซี่ที่มีวิ่งอยู่ทั่วไป ยิ่งถ้าเรามีแผนที่อยู่ในมือแล้ว ก็ยิ่งสะดวกมากขึ้น เพราะแท๊กซี่ทุกคันจะติดตั้งระบบนำทางเอาไว้ ไม่ว่าจะอยู่ในซอกหลืบลึกขนาดไหน แท๊กซี่ก็จะสามารถพาเราไปได้



T-Money เป็นบัตรเติมเงินที่สามารถใช้ชำระค่าการเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน, รถเมล์, Limousine Airport Bus สามารถหาซื้อและเติมเงินได้ที่ร้านสะดวกซื้อตั้งแต่ในสนามบิน ราคาบัตร 2,500 won หรือประมาณ 75 บาทเท่านั้น หากต้องการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือก็สามารถไปตรวจสอบที่ร้านสะดวกซื้อหรือเครื่องตรวจสอบในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน วิธีใช้ก็แสนง่ายดาย เพียงแค่ทาบบัตรครั้งแรกที่ช่องทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหรือเครื่องบันทึกด้านข้างคนขับรถเมล์เมื่อขึ้นรถเมล์ เครื่องจะตัดเงินขั้นต่ำในการเดินทางและแสดงยอดเงินคงเหลือ เช่น ยอดขั้นต่ำในการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินสำหรับบัตร T-Money คือ 900 won (ปกติ 1,000 won) เมื่อจะออกจากสถานีหรือลงจากรถเมล์ ก็จะต้องทาบบัตรที่เครื่องตรงทางออกหรือทางลงรถอีกครั้ง เครื่องจะแสดงยอดเงินที่ได้ตัดไปจากบัตร ซึ่งคิดตามระยะทาง และจะแสดงยอดเงินคงเหลือในบัตร ถ้าหากถึงวันเดินทางกลับ แล้วยังมีเงินในบัตรอยู่มาก ก็สามารถนำบัตรไปแลกคืนเงินกลับมาได้ แต่เราไม่คืนดีกว่า เพราะยอดเงินก็เหลือไม่มาก และอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก สุดท้ายก็ได้เอากลับมาใช้อีกครั้ง เมื่อการเดินทางครั้งต่อไปได้เริ่มขึ้น...


ข้อมูลเรื่องอาหารการกิน ต้องยอมรับว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารน้อยมาก เพราะเป็นคนทานง่ายและน้อย เลยไม่กล้าไปนั่งร้านใหญ่ๆ กลัวจะทานไม่หมด จึงหาทานตาม Food center ในห้าง, มินิมาร์ท หรือร้านรถเข็นข้างทาง ทำให้ได้เลือกทานได้หลายอย่าง บางมือก็ทานขนมแทนข้าว ส่วนใหญ่มื้อเช้าต้องพึ่งมินิมาร์ท เนื่องจากออกเดินทางแต่เช้า ร้านค้ายังไม่เปิด ช่วงหัวค่ำจะเห็นคนยืนทานอาหารรอบร้านรถเข็นเลย แปลกตาดีเหมือนกัน





ค่าเข้าชมสถานที่  สถานที่ที่มีการจัดเก็บค่าเข้าชมส่วนใหญ่จะเป็น พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ วัดบางแห่ง ศาลเจ้า สวนสนุก ซึ่งพระราชวัง พิพิธภัณฑ์ วัด ส่วนใหญ่เก็บค่าเข้าชมประมาณ 3,000 won  นับว่าไม่แพงจนเกินไป เนื่องจากสิ่งที่ได้ชมนั้น สวยงาม และมีคุณค่าอย่างมาก 



การเตรียมตัวก่อนเดินทาง


1.หนังสือเดินทาง (Passport) และวีซ่า (Visa) หนังสือเดินทางต้องมีอายุอย่างน้อย 6 เดือน ส่วนวีซ่า ถ้าเป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวไม่เกิน 90 วัน ไม่จำเป็นต้องใช้


2.เงินวอน (won) ค่าเิงินเกาหลีจะถูกมากในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากเป็นช่วง low season อยู่ที่ประมาณ 25-29 บาทต่อ 1,000 วอน หรือ 0.025-0.029 บาทต่อ 1 วอน ในช่วง high season ค่าเงินจะแพงขึ้น ประมาณ 30-40 บาทต่อ 1,000 วอน วิธีการคำนวณเงินเมื่อเราจะซื้อของ คิดได้ง่ายๆ นิดเดียว สมมติว่าช่วงที่เราแลกเงินนั้น แลกที่อัตรา 25 บาท ราคาของที่ติดไว้ 3,000 วอน เมื่อคิดเป็นเงินไทยก็เท่ากับ 75 บาท (ราคาเงินวอน คูณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนต่อ 1 วอน นั่นคือ 3,000x0.025 = 75) การแลกเงิน แนะนำให้แลกจากประเทศไทย แลกได้ที่ร้านรับแลกเงิน เช่น Super Rich, MR.Bank อัตราแลกเปลี่ยนไม่ต่างกันมาก สำหรับการแลกจากธนาคารพาณิชย์ ก็อาจจะมีอัตราที่สูงกว่าเล็กน้อย ถ้าหากว่าเงินที่แลกไปไม่พอ ร้านรับแลกเงินที่แหล่งช๊อปปิ้งที่เมียงดง ก็ยินดีรับเงินไทย แต่อัตราแลกเปลี่ยนก็จะสูงกว่าเล็กน้อย



3.เอกสารยืนยันตัวตน เช่น หนังสือรับรองการทำงานและอัตราเงินเดือน สามารถขอได้จากสถานที่ทำงานของเราเอง อาจจะจำเป็นต้องใช้หากเกิดปัญหาที่ตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินที่เกาหลี เพื่อเป็นการยืนยันตัวเราเองว่าเรามีการงานทำแน่นอนและต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว ไม่ใช่เข้ามาเพื่อประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย เดินทางทีไรก็อุ่นใจทุกที รอดตัวได้สบายๆ


4.ข้อมูลเกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญที่อาจจะต้องใช้ในยามฉุกเฉิน

1330 ใช้สำหรับการติดต่อขอข้อมูลการท่องเที่ยวหรือขอความช่วยเหลือ สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ วิธีการโทร ต้องกดรหัสโทรศัพท์ของเมืองนั้นๆ แล้วตามด้วยหมายเลข 1330 รหัสเมืองมีดังนี้ โซล 02, คยองกีโด 031, อินชอน 032, คังวอนโด 033, ชุงชองนัมโด 041, แทจอน 042, ชุงชองบกโด 043, ปูซาน 051, อูลซาน 052, แทกู 053, คยองซางบกโด 054, คยองซางนัมโด 055, ชอลลานัมโด 061, กวังจู 062, ชอลลาบกโด 063 และ เกาะเชจู 064 (ข้อมูลจากหนังสือ เอะอะก็เที่ยว...เกาหลี โดย Maeil)

บัตร BBB 1588-5644 Volunteer Service for Translation ยื่นบัตรนี้ให้คนเกาหลีแล้วบอกว่า BBB แล้วเค้าจะช่วยโทรเบอร์นี้ให้ด้วยมือถือที่เค้ามี หรือจะหยอดเหรียญหรือเสียบบัตรโทรจากตู้สาธารณะก็ได้ ให้เลือกภาษาที่ต้องการ ถ้าเป็นภาษาไทย กดเบอร์ 14 สายจะถูกโอนไปยังอาสาสมัครในโครงการที่พูดภาษาไทยได้


5.แผนการท่องเที่ยวและอีเมลรายละเอียดการจองที่พัก


6.ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม การใช้ชีวิต รวมทั้งคำพูดบางคำ บางประโยค ที่จำเป็น เช่น การกล่าวทักทายสวัสดี คำขอบคุณ คำขอโทษ ประเทศเกาหลีผู้คนค่อนข้างมีวินัย ไม่ทิ้งขยะลงพื้น ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องขโมย มีวินัยในการข้ามถนน จะเดินข้ามที่ทางม้าลายและจะรอจนกว่าสัญญาณไฟสีเขียวรูปคนปรากฎเท่านั้น ซึ่งรถทุกคันจะหยุดทันที แต่วัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างขัดแย้งกับวัฒนธรรมไทย คือ เมื่อเดินชนใครก็มักจะไม่ขอโทษ และทำเป็นไม่สนใจ คนไทยที่จะไปเที่ยวก็คงต้องทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมของเค้า จะได้ไม่อารมณ์เสียกับคนเกาหลี

7.วิธีการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะปลั๊กไฟ ประเทศเกาหลีใช้ไฟแบบ 220 โวลต์ และใช้หัวปลั๊กแบบขากลม 2 ขา ไม่ต้องต่อสายดิน





หลังจากหาที่พัก กำหนดการเดินทาง ข้อมูล ทุกอย่างพร้อม เริ่มตื่นเต้นที่จะได้เดินทางแล้ว เตรียมตัวมาตั้งแต่เดือนเม.ย. การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวเป็นครั้งแรก แต่เป็นการเดินทางไปประเทศเกาหลีเป็นครั้งที่ 2 ตื่นเต้นพอสมควร


เหมือนจะเอาเงินไปสู่ขอผู้ชายเกาหลีเลย


การเดินทางครั้งนี้ ไป 2 เมือง คือ เคียงจู (Gyeongju) อยู่ในปูซาน (Busan) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลี และไปที่โซล (Seoul) ซึ่งเป็นเมืองหลวง


ปูซาน เป็นเมืองท่า และมีอุตสาหกรรม หลายคนนิยมไปเที่ยวทะเลที่ปูซาน แต่สำหรับเรา ขอเที่ยวทะเลเมืองไทย สวยที่สุดแล้ว

การเดินทางเริ่มจากออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปที่สนามบินกิมเฮ (Gimhae)ซึ่งเป็นสนามบินที่อยู่ในเมืองปูซาน ผ่าน ตม. ได้อย่างสบาย ไม่ถามอะไรเลย ที่บริเวณ ตม. ควรจะยืนเข้าแถวให้เรียบร้อย ถ้าแถวไหนยาว จะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดแถว ถ้าเค้าชี้มือให้ตัดแถวไปยืนแถวอื่น ต้องรีบทำตามเค้าแต่โดยดี ทำตัวสบายๆ ส่งสายตาที่เป็นมิตร จะได้ไม่เกิดปัญหา หลังจากผ่าน ตม. ก็ไปรอรับกระเป๋า เตรียมออกไปรอรถ Airport Bus เพื่อเดินทางไปเคียงจู ก่อนออกไปจะพบกับเคาน์เตอร์ Information แวะถามสายรถเพื่อความแน่ใจ พร้อมกับขอรับแผนที่และโบชัวร์ เจ้าหน้าที่ใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใสมาก อธิบายข้อมูลได้ดี




ติดกับ Information เป็นประตูทางออกไปรอรถ ไปเคียงจู รอที่ Intercity bus stop 1 รถออกทุกๆ 1 ชม. เริ่มตั้งแต่ 07.30-21.40 น. ราคา 9,000 วอน เป็นรถบัสสีเขียวเหลือง รถไปส่งที่ Gyeongju Express Bus Terminal ในเคียงจู และรถจะวิ่งต่อไปสุดสายที่ Pohang ก่อนขึ้นรถ ก็บอกกับพนักงานขับรถว่า จะไปที่เคียงจู พนักงานขับรถให้บริการดีมาก ช่วยยกกระเป๋าใส่ใต้ท้องรถ และช่วยยกลงให้ด้วย







เที่ยวบินที่เดินทางไป ไปถึงเกือบ 7 โมงครึ่ง เลยไม่ทันรถเที่ยวแรก รอรถเที่ยว 08.30 น. ระหว่างที่รอก็มีคนเกาหลีที่มาจากเมืองอื่น และจะไปที่เคียงจูเหมือนกัน มาเป็นคู่ๆ ใส่เสื้อเหมือนกันด้วย




ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ จำไม่ได้แล้ว แต่ประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะมีแอบงีบไปด้วย ระหว่างทางจะเริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสีบ้างแล้ว แต่ยังดูไม่สวยเท่าไหร่ สองข้างทางมีทั้งพื้นที่โรงงาน พื้นที่เกษตรกรรม ปลูกพืชในโรงพลาสติก




ไปถึง Gyeongju Express Bus Terminal (ด้านหลังใกล้ๆ กันเป็น Intercity Bus) ในสถานีมีที่ขายตั๋ว ร้านขายของชำ ห้องน้ำ ที่นั่งรอรถ สะอาดและปลอดโปร่งมาก




ก่อนจะไปที่พัก แวะที่ Intercity Bus เพื่อซื้อตั๋วรถล่วงหน้าเดินทางเข้าโซลในวันพรุ่งนี้ก่อน ราคาตั๋ว 19,500 วอน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง


เอาของไปเก็บที่พักก่อน แล้วค่อยออกเที่ยว จาก Intercity Bus เดินออกมาที่ด้านหน้า i สอบถามสถานที่ท่องเที่ยวและวิธีการเดินทางกับเจ้าหน้าที่เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แล้วออกเดินทางไปตามแผนที่ที่ทาง Sa Rang Chae ให้ไว้







จาก i เดินตรงไปตามทางจนสุดถนนเป็นสี่แยก ที่หัวมุมถนนซ้ายมือ มีธนาคาร และ Big Mart ตั้งอยู่ ใน Big Mart มีของทุกอย่าง ทั้งของสดของแห้ง แช่แข็ง จากหัวมุมถนน ข้ามถนนแล้วเดินตรงไป




เดินตรงไป ซ้ายมือจะผ่านปั๊มน้ำมัน 2 ปั๊ม คือ S-Oil และ SK




เลยจากปั๊มไป จะเห็นสี่แยก ฝั่งตรงข้ามซ้ายมือเป็น Tumuli Park สามารถมองเห็นเนินดินเหมือนภูเขาได้อย่างชัดเจน ข้ามถนนไปฝั่ง Tumuli แล้วเดินตรงเลาะริมรั้วเข้าไปเรื่อยๆ




สังเกตุป้ายร้าน Tomato PC ด้านขวามือ แล้วเลี้ยวซ้ายตรงแยกร้าน Tomato PC




เดินตรงไปเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นไม่แน่ใจ พอดีเจอคุณป้า 2 คน กำลังเดินเก็บขยะกันอยู่ เลยบอกชื่อที่พักกับคุณป้า คุณป้าก็พาเดินตรงไปส่งที่ประตูทางเข้า Sa Rang Chae เลย ใจดีมากๆ













































































Create Date : 28 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 6 มกราคม 2555 16:53:25 น. 10 comments
Counter : 25373 Pageviews.

 
ชอบๆ อ่ะ เขียนต่อไปนะ

ปล.ถ้าอยากให้เขียนแล้วมีคนมาอ่านแยะๆ ลองแยกเป็นแบบทีละวัน เขียนเริ่มจากขึ้นเครื่องบิน ราคาตั๋วที่เราไป ผ่านตม. กิจกรรมในแต่ละวันของเรา และสรุปรายจ่ายแต่ละวัน รับรองมีคนเข้ามาอ่านเพียบอ่ะ

และพอมีเวลาเอาไปโพสที่หัวข้อ review ใน pantip รับรองเริ่ดอ่ะ


โดย: kobeb IP: 10.0.1.112, 112.121.134.52 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:15:31:55 น.  

 
ขอบใจมากนะ จะพยายามแยกเป็นวันๆ แต่บางวันก็เดินทางมั่วอยู่เหมือนกัน ไปคนเดียวก็ดีแบบนี้ ไม่ต้องอายใคร ไม่มีใครรู้จักเรา 555

แล้วตอนนี้ยังตกแต่งหน้า blog ไม่เป็น เปลี่ยนสีตัวอักษรไม่ได้ ดูไม่น่าอ่านเอาซะเลย


โดย: scorpiovy (scorpiovy ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:15:41:35 น.  

 
ข้อมูลดีจังค่ะ แต่ตัวหนังสืออ่านแล้วมันติดพรืดๆ น่าจะมีภาพประกอบหน่อย
หรือไม่ก็หาไอค่อนน่ารักๆ ให้เข้ากับข้อความที่เขียนมาแต่งตรงเริ่มประโยคก็ได้ จะได้ชวนติดตามอ่าน


เ็ป็นกำลังใจกับการเขียนบล๊อกนะคะ ตกแต่งบล๊อกมีเพื่อนเก่งๆ หลายคนแนะนำใส่โค้ดให้
ของป้ามดก็สอนง่ายค่ะ ถ้าอยากเปลี่ยนสีตัวอักษร ก็ใส่โค๊ด <*font color='#666666'>
ไว้ข้างหน้าประโยคที่ต้องการเปลี่ยนสี (อย่างลืมเอา *หน้าคำว่า font ออกก่อนเน้อ)

ส่วนเรื่องย่อรูปใน photoscape ย่อขนาด pixel ถึงจะย่อออกมาให้ขนาดความกว้างของรูปให้เ่ท่ากันแล้วก็ตาม
แต่ขนาดของ kb ที่ทางพันทิปกำหนดให้ไม่เกิน 150 kb ยังไงแต่ละรูปก็ไม่เท่ากันค่ะ
เพราะขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของรูปที่เราถ่าย โดยส่วนใหญ่ถ้าจัดความกว้างรูปให้มีขนาดเดียวกันแล้ว
จะเอารูปไปฝากไว้ที่ photobucket หรือเวปฝากรูปและเอา url มาแปะค่ะในบล๊อก วิธีนี้จะเอารูปใหญ่แค่ไหนก็ได้
หรือไม่ก็ต้องหาโปรแกรมบีบไฟล์รูปให้เล็กลง (บีบความจุแต่ขนาดความกว้างรูปยังเท่าเดิม)

แต่บล๊อกไม่เก่งเพราะชอบแต่งแบบเรียบๆ แต่ถ้ามีคำถามอะไรก็ยินดีนะคะ


โดย: narellan วันที่: 30 พฤศจิกายน 2554 เวลา:5:32:45 น.  

 
ดูวิธีเปลี่ยนสีที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ เข้าใจง่าย
เปลี่ยนสีตัวอักษรของคุณ maew kk



โดย: narellan วันที่: 30 พฤศจิกายน 2554 เวลา:5:40:01 น.  

 
ต้องตามรอยสักครั้งแล้วค่ะ แพลนๆไว้เหมือนกันค่ะ
ปอลอ ให้ข้อมูลได้ละเอียดมากค่า


โดย: คุณหนูคั่วกลิ้ง วันที่: 4 ธันวาคม 2554 เวลา:18:27:49 น.  

 
ขอบคุณค่ะ
ข้อมูลอาจจะไม่ถูกต้องและครบถ้วน 100% นะคะ เพราะส่วนใหญ่จะเล่าจากที่ได้พบเจอมาเอง แต่จะพยายามหาข้อมูลที่ถูกต้องและมีแหล่งอ้างอิงให้ได้มากที่สุดค่ะ


โดย: scorpiovy (scorpiovy ) วันที่: 10 ธันวาคม 2554 เวลา:17:10:51 น.  

 
ไปปูซาน + โซล มาค่ะ แต่ไปกับทัวร์ อยู่แต่บนรถบัส (ไปถึงเกาหลีแล้ว ยังเหมือนมีกระจกกั้นอยู่อีก) คิดไว้เหมือนกันค่ะว่า จะแก้ตัวไปเองคนเดียว ไม่ต้องมีใครมาคอยบังคับ อยากไปแบบเรื่อยๆ เข้าทุกซอกทุกมุมของบ้านเรือน


โดย: ไปกับทัวร์ IP: 202.28.118.122 วันที่: 19 ตุลาคม 2555 เวลา:11:13:06 น.  

 
ชอบมากค่ะสำหรับรีวิลนี้เพราะมีแพลนกำลังจะไปเหมือนกันแต่อยู่ในช่วงศีกษาหาข้อมูลอยู่จะไปกับน้องๆที่บ้านไปครั้งแรกด้วยแต่ไม่อยากไปกับทัวร์ค่ะว่าจะไปโซลค่ะเที่ยวแบบกวนมึนโฮเลย5555แต่อยากให้พี่ช่วยทำสรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริปถ้าไปเองต่อคนอ่ะค่ะว่าต้องใช้เงินเท่าไรแล้วอ่านเจอพาสปอร์ตขาว..มันแปลว่าอะไรค่ะ..รบกวนด้วยนะคะ


โดย: ตุ้มเม้ง IP: 49.0.76.127 วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:17:16:18 น.  

 
พาสปอร์ตขาว คือ คนที่ไม่เคยไปต่างประเทศเลยอ่าค่ะ(อย่างเช่นเรา555+) เราก็จะไปเกาหลีเหมือนกันเเต่ขอเป็นปีหน้า เก็บตังก่อน555+ เราก็จะไปคนเดียวเหมือนกันตอนนี้กำลังหาเพื่อนถ่ายรูปอยู่5555+


โดย: ชมพู่ IP: 125.27.72.252 วันที่: 20 เมษายน 2556 เวลา:10:45:29 น.  

 
ขอบคุณมากมายค่า แล้วจะติดตามอีกนะค่ะ


โดย: ืนวพรรณ IP: 115.87.211.26 วันที่: 12 พฤษภาคม 2558 เวลา:10:33:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scorpiovy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
28 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add scorpiovy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.