ยินดีต้อนรับสู่ Blog ของโรสค่ะ ... ยินดีที่รู้จักนะคะ ...
ตะวันพรางใจ : ตอนที่ 1

ตอนที่ 1


มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีก็ได้ ถ้าหากใครรู้ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงว่าเหตุใดยัยลูกสาวคนเล็กของบ้านสวนส้มอย่าง ‘ยัยหนาว’ หรือ นางสาว น้ำหนาว เทิดพิทักษ์ นั้นถึงได้กล้าเอ่ยปากขอพ่อแม่ที่สุดแสนจะหวงลูกสาวยิ่งกว่าอะไรมาทำงานที่กรุงเทพมหานคร

แม้การที่เธอบอกกับพ่อเสือ และ แม่สาว่า
“ก็หนูอยากจะลองหาประสบการณ์ใหม่ๆดูบ้างนี่จ๊ะ ก่อนที่จะมาช่วยพ่อกับแม่ดูแลสวนส้ม นะๆ ขอหนาวไปเถอะนะคะ” จะเป็นเรื่องจริงที่น้ำหนาวมิได้โป้ปด เพราะเธอก็อยากจะออกมาใช้ชีวิตลำพังดูสักที อยู่ที่บ้านเป็นคุณหนูลูกแหง่พ่อแม่มาตั้งยี่สิบสองปีอยากจะลองดูสิว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตลำพังได้ไหม แต่อันที่จริง ... ที่จริงแสนจริง ... จริงยิ่งกว่าจริงของเหตุผลดีๆที่น้ำหนาวให้พ่อแม่ ก็ยังมีอะไรซ่อนอยู่นิดหน่อย ...



ภายในร้านคอฟฟี่ช้อปชื่อดัง ใจกลางเมืองกรุง เวลาเย็นๆ ...

“เอ้านี่ นี่ที่อยู่ของบ. พรุ่งนี้ก็ไปคุยกับเขาซะนะ พี่เบิกทางไว้ให้แล้ว” มือหนาของรุ่นพี่คนสนิทยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆมาให้ น้ำหนาวรับมา พร้อมเบิกรอยยิ้มกว้าง ดูข้อมูลบนกระดาษแล้วริมฝีปากยิ่งกว้างกว่าเก่า จนคนมองอดหมั่นไส้ไม่ได้

“เบาๆหน่อยหนาว กลัวพี่ไม่รู้หรือไงว่าเราน่ะอยากเจอผู้ชายคนนี้มากขนาดไหน!” วิทยาแซวอย่างไม่จริงจังนัก เขารู้ด้วยไม่ใช่ไม่รู้ว่ายัยรุ่นน้องที่เรียกร่วมคณะเดียวกับ สถาบันเดียวกันอย่างน้ำหนาวนั้นกำลังรู้สึกเช่นไร ไม่อย่างนั้นจะถึงขนาดอ้อนวอนขอให้เขาตามหาผู้ชายคนนี้ขนาดนี้หรือ นี่โชคดีนะที่แฟนของเขาเรียนจบจากที่เดียวกับคนที่น้ำหนาววานให้ช่วยหา รวมถึงโชคดีอีกชั้นเมื่อเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนเขาดันเป็นเจ้าของที่นี่อีกจึงฝากงานให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะทำไม่สำเร็จก็เป็นได้... แล้วยังกล้ามาอยู่กรุงเทพมหานคร ถิ่นไกลบ้านขนาดนี้คนเดียวอีก ... อะไรจะมุ่งมั่นขนาดนี้น้อ รุ่นน้องของเขา!

“แหม พี่วิทยา หนาวดีใจนี่คะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ แล้วหนาวจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะ” คนพูดยิ้มเสียนัยน์ตาวาววับสว่างไสว ยิ่งทำให้ดวงหน้ากลมสดใสรับกับผมสีอ่อนๆตามธรรมชาติยาวเคลียไหล่น่ามองยิ่งขึ้น วิทยาคลี่ริมฝีปากตามอย่างห้ามไม่อยู่ ...

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วเราอย่าทำให้พี่ขายหน้าเขาล่ะ” เขารีบกำชับกำชา โทษฐานที่ไปแนะนำกับเจ้าของบริษัทซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนเขาอีกทีให้รับพิจารณาน้ำหนาว แน่นอนว่าวิทยาอวดสรรพคุณไปเสียมากมาย ... รุ่นน้องสาวคนสนิทพยักหน้าตอบรับ

“ค่ะ น้ำหนาวจะไม่ทำให้พี่วิทยาเสียหน้าแน่นอน”

ไอ้อาการกระตือรือร้นก็ดีอยู่หรอก แต่พอเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของน้ำหนาวอย่างนี้แล้ว ทำให้คนมองนึกหวั่นใจเพราะโลกข้างนอกมันไม่ได้ตามใจดั่งเราฝันไว้เสียเท่าไหร่ กลัวว่ารุ่นน้องที่เขาเอ็นดูดั่งน้องสาวจะต้องเสียใจเมื่อไม่เป็นดั่งที่ต้องการ

“พี่เตือนไว้ก่อนนะหนาว ถึงพี่จะช่วยเรา แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถเข้าใกล้นายคนนี้ได้ดั่งใจหรอกนะ อีกอย่างอย่าคิดแค่ว่าอยากทำงานใกล้ๆเขาจนไม่มองถึงอนาคตตัวเองล่ะ”

น้ำหนาวรู้ดี ถึงแม้วิทยาจะไม่บอก เธอก็แค่อยากจะลองทำให้สุดความสามารถดู เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าผลจะออกมารูปแบบไหน จะได้ทำงานที่เดียวกับเขาหรือไม่ก็ไม่รู้ หากไม่ลองก็ไม่รู้

“ค่ะ ขอบคุณพี่วิทยามากๆเลยนะคะ หนาวจะจำคำของพี่ไว้ค่ะ ... แต่หนาวรอวันนี้มาตั้งปีครึ่งแล้ว หนาวแค่อยากจะลองดูน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงหนาวก็รู้สึกอยากจะหาประสบการณ์ใหม่ๆดูอยู่แล้ว”

อาจจะเป็นเพราะวิทยาที่รู้จักน้ำหนาวมานานจึงทำให้เขาเชื่อว่าน้ำหนาวจะต้องอยู่อย่างเข้มแข็งได้แน่ๆ แม้น้ำหนาวจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ใช่คนประมาท

“ก็ดีแล้ว พี่เอาใจช่วยให้เราพิชิตใจไอ้หนุ่มบางกอกได้ล่ะกันนะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งเรื่องงาน หรือ เรื่องความรัก น้ำหนาวก็สู้ตายอยู่แล้ว!” คนพูดโชว์นัยน์ตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น ก่อนที่จะก้มลงอ่านข้อมูลในกระดาษอีกทีหนึ่งช้าๆ ...

... วาโย ชยาธรรม บ. Aditex design and consultant …

ดวงตากลมวาววับอีกครั้งเช่นกันกับชื่อของชายหนุ่มที่เธอหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ... ลม ... ดีใจจริงๆ ในที่สุดเธอก็จะได้เจอกับเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว!




เมื่อปีครึ่งที่แล้ว น้ำหนาวยังจำได้ดีว่าครั้งแรกที่เธอสนใจวาโยนั้นเป็นเพราะเธอแพ้ผู้ชายตัวสูงๆจริงๆ

“หนาว ดูนั่นสิ ตัวสูงมากเลย!” เสียงของยัยเชอร์รี่ หรือ ชลิดาเอ่ยขึ้น ทำให้เธอละความสนใจจากภาพการแข่งฟุตบอลสานสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยภายในสนามบอลหันมองตามที่เพื่อนซี้พูดถึง เห็นชายหนุ่มตัวสูงที่เดาๆเอาน่าจะเกือบร้อยเก้าสิบกระมัง หน้าตาแปลกถิ่นคนหนึ่งกำลังเดินเนิบๆตรงเข้ามายังสนามที่พวกเธอนั่งอยู่

ผู้ชายตัวสูง ผิวขาวในเสื้อยืดติดสัญลักษณ์คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร ใบหน้าหล่อเหลา แม้จะไม่หล่อชนิดเหลียวหลัง แต่ก็ทำให้น้ำหนาวโดนมนต์สะกดนิ่งไปอยู่นาน จนชลิดาเอ่ยขึ้นอีกทีถึงได้รู้สึกตัว

“ตรงสเปคแกเลยนะนั่น สูงๆแบบนั้น”

น้ำหนาวรีบสลัดความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในหัวใจออกทันที แม้เธอจะคิดอย่างที่ชลิดาบอก แต่ก็ไม่อยากเสียฟอร์มง่ายๆ
“ก็แล้วไง สูงแล้วไง มีคนสูงๆตั้งแยะ แกไม่บอกล่ะว่าสเปคฉันหมดน่ะ” หันไปค้านเพื่อน

“มันก็ใช่อะนะ แต่ฉันว่าคนนั้นอะ สเปคแกชัวร์ๆ” ชลิดาคาดเดาอย่างมั่นใจ ทั้งๆที่ในเวลานั้นน้ำหนาวก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะถูกใจเธอขนาดที่เธอคิดอยากจะตามหาขนาดนี้ แต่เพราะกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันในงานสานสัมพันธ์เหล่าคณะสถาปัตยกรรมหรือไรกันนะ ที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกประทับใจหนุ่มกรุงเทพฯคนนี้เข้าอย่างจัง

ตอนนั้น น้ำหนาวจำอีกได้ว่า เธอถูกลอยแพอยู่คนเดียว โทษฐานที่กินเหล้าไม่ได้ แรกๆน้ำหนาวก็ยังมีชลิดาและเพื่อนๆนั่งคุยด้วย แต่พอดึกหน่อยชลิดาก็ถูกลากไปร่วมวง ก็เลยต้องอยู่คนเดียว ... ซึ่งน้ำหนาวก็ไม่ได้อะไร แต่คิดๆแล้วแบบนี้มันก็รู้สึกเหงาๆเหมือนกัน

“ทำไมนั่งคนเดียวล่ะครับ” และแล้วเขาก็เข้ามาทัก น้ำหนาหันมอง เห็นชายหนุ่มแปลกถิ่นกำลังหย่อนก้นนั่งบนสนามหญ้าข้างๆเธอ

“คะ?” น้ำหนาวไม่ค่อยเข้าใจกับคำถามของเขานัก ... ไม่สิ ไม่เข้าใจจุดประสงค์เขามากกว่า นึกระแวงด้วยซ้ำไป

“ทำไมนั่งคนเดียวล่ะ ไม่ไปสนุกกับเพื่อนๆหรือ” เขาถามอีกครั้ง ด้วยท่าทางสบายๆ ไม่มีอะไรน่าสงสัย ซึ่งน้ำหนาวเองก็มองโลกในแง่ดีอยู่แล้วด้วยซิ ในเมื่อจุดประสงค์ของการจัดงานที่ให้นักศึกษาสถาปัตยกรรมจากหลายๆสถาบันมาทำกิจกรรมร่วมกันก็คือการสานสันพันธ์ทางมิตรภาพอยู่แล้วนี่นา

“หนาวไม่ดื่มเหล้าอะค่ะ” เธอตอบตามความจริง ก่อนถามกลับบ้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปดื่ม หรือเต้นกับคนอื่นเหมือนกัน “แล้วเธอล่ะ”

“ผมชื่อลมครับ ผมก็แพ้แอลกอฮอล์น่ะ แถมเต้นไม่เป็นด้วย” เขาตอบยิ้มๆ แนะนำตัวเสร็จสรรพ

“เราชื่อหนาว ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เธอก็แนะนำตัวกลับตามมารยาท

คงเพราะว่าไม่รู้จะคุยอะไรอีก ทั้งคู่จึงอยู่ในความเงียบชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเห็นเขาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า รอบตัวค่อนข้างมืดตามปกติของต่างจังหวัดที่นอกจากไฟรอบสนามโล่งๆนี้แล้วก็ ไม่ค่อยมีตึกสูง หรือแสงสีเช่นในเมืองหลวงนัก

“ดาวเต็มเลย ผมไม่ค่อยมีโอกาสเห็นดาวเยอะๆแบบนี้หรอก” เขาเล่าขณะที่สายตายังคงกวาดมองหมู่ดาวนับพันแข่งกันส่องแสงระยิบระยับ สวยงามน่าประทับใจ

น้ำหนาวแหงนหน้าขึ้นมองตาม หัวใจสงบลงทันทีที่ปล่อยให้หัวใจล่องลอยขึ้นสู่ฟ้ากว้างใหญ่ที่ดำสนิทจนรู้สึกเหมือนว่าเธอถูกตัดออกจากสิ่งรอบกายไปอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวเหล่านั้นกับคนข้างๆแค่สองคน

หญิงสาวรู้สึกแปลกๆในหัวใจชอบกล แอบวกสายตาลอบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกาย และทันทีนั้นเองที่น้ำหนาวไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่าไอ้ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นคืออะไร
... ตกหลุมรัก! ...

และเมื่อคิดออก เธอก็คิดว่าตัวเองพลาดท่าเสียแล้วล่ะที่ดันไปหลงรักคนที่ไม่มีทางจะสานสัมพันธ์ใดๆได้แบบนี้ เมื่องานกิจกรรมจบลงในวันพรุ่งนี้ ก็ต้องแยกย้ายกันกลับจังหวัดใครจังหวัดมันแล้ว ...

“ถ้าได้เจอกันอีกทีก็ดีเนอะ เราคงได้คุยกันเยอะกว่านี้ เอ้านี่ครับอีเมล์ของผม” วาโยหยิบยื่นกระดาษที่จดอีเมล์แอดเดรสให้เธอ น้ำหนาวได้แต่ขมวดคิ้วกับความโลวเทคของตัวเอง

“หนาวไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตเลย”

เขาหัวเราะเบาๆกับคำตอบของเธอ ไม่ใช่หัวเราะเยาะความโลวเทคฯของเธอหรอก แต่เขาคงขำกับสีหน้าเธอมากกว่ากระมัง
“ไม่เป็นไร ไว้มีก็ค่อยส่งมาก็ได้” วาโยว่า ก่อนที่จะต้องล่ำลากันจริงๆ

น้ำหนาวเองก็คิดว่าจะสมัครอีเมล์แอดเดรสไว้คุยกับเขาเหมือนกัน แต่ว่า ... ด้วยความสะเพร่าของตัวเธอเองหรือไงนะ ดันลืมกระดาษจดอีเมล์ของเขาไว้ในกระเป๋ากางเกง และมันก็ถูกปั่นด้วยเครื่องซักผ้าจนยุ่ยไปหมด ...

น้ำหนาวได้แต่มองซากเปื่อยๆของกระดาษแผ่นนั้นเซ็งๆ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เศร้าไปอยู่หลายเดือนเลยเชียว ... และนั่นก็คือจุดเริ่ม และจุดจบของความรักที่เธอมี และไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกหรอก จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อนเธอได้เห็นวาโยในโทรทัศน์เนื่องจากเขาชนะรางวัลงานประกวดทางการออกแบบ ทันทีที่เห็นใบหน้าที่คุ้นตาของเขา ความรู้สึกที่เคยคุ้นใจก็กลับมาแทบจะทั้งหมด พร้อมกับความแน่ใจที่ว่า ... เธอหลงรักเขาเข้าเสียแล้ว และไม่อยากจะพลาดอย่างครั้งที่แล้วอีก

เมื่อมีโอกาส พี่วิทยาได้งานที่กรุงเทพมหานครและรู้ว่าแฟนของเขาจบมาจากสถาบันเดียวกับวาโย หญิงสาวจึงไหว้วานขอให้วิทยาช่วยตามหาวาโย รวมถึงเลือกที่จะหางานทำที่กรุงเทพมหานคร เพื่อตามความฝัน และเพื่อตามหาหัวใจ!
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเธอมีโอกาสอีกสักครั้ง เธอก็อยากจะทำมันให้ดีที่สุด และยอมรับกับผลที่จะเกิดตามมาด้วย



- - - <3



ที่ตั้งของบริษัทออกแบบบ้าน และสิ่งก่อสร้าง อาดิเทกซ์ ดีไซน์แอนด์คอนซัลแทนซ์ [Aditex and consultant] เป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ในแถบที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยสถานที่เที่ยวกลางคืนของเหล่าไฮโซ ซึ่งตามที่น้ำหนาวรู้มา ... บริษัทด้านออกแบบตั้งอยู่แถบนี้เป็นสิบยี่สิบบริษัทเลยเชียว!

ตัวบ้านสีขาว ดูก็รู้ว่าดัดแปลงมาจากบ้านเก่า รอบบ้านมีอาณาเขตเล็กน้อยพอปลูกต้นไม้ ดอกไม้ และจอดรถยนต์ได้สองสามคัน มีมุมม้าหินและชิงช้าไม้เล็กๆอยู่ใต้ต้นไม้ บรรยากาศร่มรื่นน่านั่งเล่นยิ่งนัก

น้ำหนาวลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จ้างมาจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งแม้ว่าเธอจะมาอยู่กรุงเทพฯได้ไม่กี่วัน แต่รุ่นพี่ที่แสนจะน่ารักอย่างวิทยาก็สอนการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆให้เธอเสียหมดแล้ว ประกอบกับเธอก็มีญาติอยู่กรุงเทพฯบ้าง จึงมาเที่ยวอยู่บ่อยๆ การเดินทางต่างๆจึงไม่เป็นที่ลำบากต่อหญิงสาวต่างจังหวัดคนนี้นัก

วันนี้หญิงสาวเลือกสวมเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวเข้ารูป ผูกไทด์เล็กๆสีดำเก๋ไก๋ กับกระโปรงยาวสีน้ำตาล ผมยาวถูกปล่อยตรง ดูเรียบร้อยแต่บ่งบอกแนวของตัวเอง และเธอก็ไม่รอช้า หอบเอาเอกสารสมัครงาน รวมถึงแบบตัวอย่างผลงาน ตรงเข้าไปยังส่วนต้อนรับของบริษัททันที

น้ำหนาวต้องควบคุมสติอย่างหนัก น่ากลัวจังว่าหัวใจจะโดดออกมาเต้นข้างนอก ยิ่งเธอก้าวเท้าเข้าใกล้ประตูของบริษัทมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าเธอก็จะได้เจอกับ ... วาโยมากขึ้นเท่านั้น!

... จะไม่ปล่อยให้สายลมลักพาใจเธอไปเพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว ...

น้ำหนาวพากายเข้ามาในบริษัท รู้สึกประหม่าจนต้องยกมือทาบอก สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามทำใจกล้าบอกตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นจนพาลเสียเรื่องล่ะ!

“สวัสดีค่ะ มาติดต่อใครคะ” เสียงหวานของพนักงานต้อนรับตรงโต๊ะสีขาวด้านข้างประตูบ้าน ภายในบ้านสีขาวดังขึ้น น้ำหนาวเดินเข้าไปใกล้ ตอบไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ดิฉันมาสัมภาษณ์งานตามที่นัดไว้ค่ะ”

“ชื่ออะไรคะ” พนักงานเอ่ยถามเสียงหวานไม่หาย

“น้ำหนาวค่ะ น้ำหนาว เทิดพิทักษ์” คนตอบตื่นเต้นมากจนต้องกลืนน้ำลายลงคอระหว่างรอ หลังจากพนักงานสาวสวยบอกให้เธอรอสักครู่ แล้วหายไปด้านใน ชั่วประเดี๋ยวเธอก็เดินกลับมา

“พี่ศิระรออยู่พอดี น้องตามพี่มานะคะ”

น้ำหนาวเดินตามคนบอกเข้าไป ภายในนั้นเป็นห้องโล่งๆ มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ตรงกลางหันหน้าเข้าหากันเป็นแถวยาวๆแถวเดียว ส่วนรอบๆผนังก็ทำเป็นชั้นวางหนังสือแนวออกแบบ จนถึงมีพวกเครื่องถ่ายเอกสาร ตู้เย็น โต๊ะวางเครื่องทำน้ำร้อนวางชิดผนังอยู่รอบๆ พนักงานเท่าที่เห็นมีทั้งหมดเจ็ดคนเป็นชายห้าคน และหญิงสองคน ยังไม่มีใครเริ่มทำงานจริงๆจังๆ บ้างก็จิบกาแฟ บ้างก็อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ก็นั่งอ่านเวบไซต์ในอินเตอร์เน็ต

ว่าที่พนักงานใหม่อย่างน้ำหนาวลอบมองบรรยากาศภายในแล้วรู้สึกสบายใจชอบกล อาจจะเป็นไม่ได้ดูน่าอึดอัด หรือเป็นระเบียบอะไรมากนัก แต่ปกติตามประสาเด็กคณะแบบนี้เรื่องระเบียบแบบแผนอะไรก็ค่อนข้างจะไม่มีอยู่แล้ว หากว่าในเหล่าพนักงานนั้นเธอกลับไม่เห็นวี่แววของคนหอบเธอมาถึงกรุงเทพมหานครเลย ... ทำไมกันนะ...

น้ำหนาวครุ่นคิด พลางขยับเท้าเดินตามหลังพนักงานสาวสวยขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เมื่อหญิงสาวขึ้นไปถึง ชั้นสองของออฟฟิศแห่งนี้ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกกั้นเป็นห้องหับด้วยกระจกใสกับไม้สีขาว อีกส่วนนั้นเป็นห้องประชุมโล่งๆ

“เข้าไปด้านในเลยนะคะ” คนบอกยิ้มหวาน ก่อนจะขยับแล้วเดินลงไปด้านล่าง ทิ้งไว้เพียงน้ำหนาวที่ยืนใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ...

เอาน่า ... มาถึงนี่แล้วนะ! น้ำหนาวบอกตัวเองอีกที แล้วจึงเคาะประตูห้องเบาๆ

“เชิญครับ”

ได้ยินด้านในบอกแบบนี้ หญิงสาวไม่รอช้า ผลักประตูเข้าไป เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ คนคนนี้คงชื่อ ศิระ ตามที่พี่วิทยาเล่า เขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆที่จบมาจากต่างประเทศ และหลังจากหาประสบการณ์การทำงานไม่นานก็แยกมาเปิดบริษัทของตัวเอง

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าคมคร้ามแย้มรอยยิ้มมีไมตรีให้ทันทีที่เธอขยับตัวเข้ามาใกล้

“สวัสดีครับ คุณน้ำหนาว ผมได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลยนะ ผมคิดว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันนะครับ” ศิระบอกเล่า

น้ำหนาวยิ้มรับ พยายามซ่อนความตื่นเต้นและหวาดหวั่นไว้ภายในใจ ทว่ายังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ศิระขานรับกลับไป และเมื่อบานประตูเปิดออกก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่ง

“พี่เอกครับ คือว่า ... อ้อ! มีแขกอยู่ งั้นเดี๋ยวผมค่อยมาคุยด้วยใหม่ดีกว่า” คนมาใหม่ชะงักทั้งตัวและคำพูดเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งอยู่นอกจากเจ้านายตน

“เอางั้นก็ได้ สักสิบห้านาทีเดี๋ยวผมลงไป” ศิระพยักหน้า คนที่เพิ่งเข้ามาผงกหัวเบาๆก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

ขณะที่สองคนกำลังพูดคุยกันนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าน้ำหนาวกำลังตกใจตาโต ...

... ลม ... เป็นเขาจริงๆด้วย เขากำลังพูด กำลังเดิน กำลังขยับตัวอยู่ตรงหน้า ... ไม่ใช่ความฝัน!

พอได้เห็นตัว ได้ยินเสียง หัวใจที่เธอเหมือนจะบังคับให้เต้นเบาๆได้สักครู่หนึ่งแล้วเริ่มทรยศ กลับมาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง ... กับคนที่เธอคิดว่าอยากจะเจอมาตลอด และตอนนี้ เวลานี้ เขาก็มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว!

“เราเริ่มกันดีกว่าไหมครับ” ชายหนุ่มที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องเอ่ยขึ้น ปลุกคนที่กำลังอยู่ในภวังค์ตกใจให้ตื่นขึ้น น้ำหนาวหันมองใบหน้าคมเจ้าของน้ำเสียง

... เห็นชัดๆแบบนี้แล้ว แม้จะตื่นเต้นมากกว่าเก่า แต่พลังและกำลังใจกลับเพิ่มขึ้นมากโขเลย

... แบบนี้ ... เป็นแบบนี้ ... ก็ถอยไม่ได้แล้วล่ะ!! ...



จบตอนที่ 1 ค่ะ



Create Date : 04 มกราคม 2551
Last Update : 4 มกราคม 2551 14:53:10 น. 2 comments
Counter : 275 Pageviews.

 


โดย: wbj วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:8:48:02 น.  

 
พี่แวะมาเจิมบล็อกจ้า...


โดย: waidhaya วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:12:19:27 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Rosarita
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ส่งข้อความถึง Rosarita ทางนี้ค่ะ
Group Blog
 
 
มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Rosarita's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.