เรื่อยเรื่อย เปื่อยเปื่อย ไปวันวัน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
25 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
บันทึกวันหยุด Silver week

วันหยุด Silver week เป็นวันหยุดยาวของญี่ปุ่น หยุดกันตั้งแต่วันเสาร์ที่ 19 กันยายน จนถึงวันพุธที่ 23 กันยายน กันเลยทีเดียว เข้าใจว่ามันมีคนหยุดหลายๆวันมาอยู่ติดๆกันพอดี แต่โปรดอย่าถามว่าเป็นวันอะไรบ้าง เพราะสามีญี่ปุ่นแท้ๆของเดี๊ยนยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าบริษัทหยุดเท่านั้นเป็นพอ แล้วภรรยาจะรู้มากกว่าพี่แกได้อย่างไร


ว่าแต่เราทำอะไรไปบ้าง ย้อนความจำกันหน่อยดีกว่า..... วันหยุดยาวแบบนี้เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนนอกโตเกียวเลยเพราะติดงานแต่งงานพี่ชายเฮียวันอังคาร เลยแกร่วๆกันอยู่ในเมืองเนี่ยแหละ อยู่ด้วยกันมากๆก็ทะเลาะกันอีก เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีสามีกวนประสาท ซึ่งคนที่มีสามีกวนๆอย่างงี้เท่านั้นถึงจะเข้าใจ


วันเสาร์ที่ 19

ไปทำสัญญากับธนาคารที่คาชิวา เฮียประทับตราอินคังลงไปทีเดียว เราก็ได้มีหนี้ก้อนโตกันไปจนแก่จนเฒ่า

จากนั้นก็ไปตรวจรับแมนชั่น ซึ่งก็ตรวจกันไปอย่างงูๆปลาๆ เพราะไม่รู้ว่าต้องดูอะไรเป็นพิเศษ เท่าที่ดูระบบอะไรต่างๆของห้องเค้าก็ทำมาดีแล้ว แล้วก็ยังรับประกันไปอีก 2 ปี ถ้ามีอะไรผิดปกติก็เรียกมาดูให้ได้ตลอด ก็เลยไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เราก็เลยเน้นดูรอยถลอก ขูดขีดตามพื้น กรอบประตูหน้าต่างอะไรกันไปเรื่อย ตาดีจัด ได้มาหลายรอยอยู่ พนักงานเค้าก็ก้มหน้าก้มตาจด พร้อมทำสัญลักษณ์ไว้ทุกจุดโดยไม่ปริปากบ่น แต่ในใจคงคิดด่าเราอยู่ว่า อิผัวเมียคู่นี้อะไรจะตาดีขนาดนี้ เก็บทุกเม็ดเลยเชียว แต่ก็บอกว่าจะพยายามรีบทำให้เสร็จทันวันย้ายเข้าของเรา


วันอาทิตย์ที่ 20

มีนัดบริษัทขนย้ายมาดูที่ห้องว่ามีสมบัติอะไรมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่เค้าจะได้คำณวนว่าต้องใช้รถใหญ่แค่ไหน ใช้คนกี่คน ราคาค่าขนย้ายเท่าไหร่ เฮียนัดมา 2 บริษัท มีบริษัทนึงเอาข้าวมาให้ด้วย 1กิโล ดีจัง ชอบๆๆ บริษัทแรกถูกกว่าก็จริงแต่ดูไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ แล้วมีมาขู่ว่าตอนนี้เหลือรถแค่คันเดียวนะ ให้รีบตัดสินใจ (ย้ายวันพุธเนี่ยนะ ใครเค้าจะย้ายกันเยอะฟระ) เข้าทางเฮียที่ไม่ชอบให้ใครขู่ เลยไม่เอามันเลย 55555

บริษัทที่2 ที่ให้ข้าวเนี่ยแหละ ดูโอเคใช้ได้ แต่ขอโทษ เสนอราคามาแพงมากกกกก ประมาณแสนสองหมื่นเยน เฮียคุยไปคุยมา ต่อไปต่อมาเหลือหกหมื่น ครึ่งต่อครึ่งเลยนะนั่น แต่เราต้องเริ่มย้ายกันตั้งแต่7โมงเช้า ตอนแรกไม่คิดอะไร ก็เออออตามเฮีย มานั่งคิดอีกที เริ่มย้าย7โมงเช้าเนี่ย เราไม่ต้องตื่นตี3หรอฟระ เพราะจริงๆมันต้องยังมีของที่เก็บไม่ได้ ที่มันต้องใช้จนกว่าจะไปอีกหลายสิ่งอยู่ แต่ทำไงได้ ตกลงไปแล้ว คิดซะว่าจะได้มีเวลาไปจัดของที่บ้านโน้นละกัน

ตอนเย็นไปเดินเล่นที่ศาลเจ้าใกล้ๆบ้าน เค้ากำลังมีงานกันอยู่ เป็นประมาณงานแห่เทพเจ้าจากศาลเจ้าเล็กๆจากจุดต่างๆของเขต มาที่ศาลเจ้าใหญ่ เป็นการขอบคุณที่ปีนี้ได้ผลผลิตการเกษตรมากมาย อาหารอุดมสมบูรณ์ และขอพรสำหรับปีต่อไปด้วย รู้สึกเป็นงานที่จัดกันทุกพื้นที่เลยนะ คนในพื้นที่ก็ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน สนุกครึกครื้นดี บางทีไปที่เขตอื่นๆ ตรงกับวันจัดงานของเค้าก็มี แต่วันเวลาก็จะต่างกันออกไป ที่อาสะกุสะจะเป็นงานที่มีชื่อเสียงแล้วก็ใหญ่ที่สุด

มีเพิงขายอาหารมาเปิดเยอะแยะ เดินดูแล้วทุกอย่างน่ากินมากๆ อยากกินไปหมด แต่พอซื้อมากินจริงๆแล้วไม่ค่อยอร่อยเลยอ่ะ กินไปสองอย่างเลยเลิก





ตอนเดินกลับบ้านแวะซุปเปอร์ ทะเลาะกับเฮียอีก พูดจาทำหน้าทำตากวนประสาทมากๆ เลยแยกกันเดินกลับเลย ทางใครมางมัน



วันจันทร์ที่ 21

อยู่กันแบบมึนตึงตั้งแต่เช้า ไม่พูดไม่จา ห้องก็แคบ เดินสวนกันไปมาอยู่อย่างงั้นแหละ ตอนเย็นเฮียถามว่าตกลงจะไปซื้อเสื้อคลุมใส่ไปงานแต่งงานพรุ่งนี้ไม๊ เพราะชุดที่ซื้อไว้เป็นแขนกุด แล้วช่วงนี้อากาศมันเย็นๆแล้ว กลัวว่ามันจะหนาว ไปก็ไป เลยออกไปชินจูกุกัน เดินกันไปด้วยความเงียบเหมือนเดิม กว่าจะได้เสื้อที่พี่แกเห็นว่า ไม่มากไป น้อยไป หนาไป บางไป หรือ casualมากไปสำหรับไปงานแต่งงาน ก็เดินไปเดินมาที่ชินจูกุอยู่หลายรอบ เพราะเราก็ไม่รู้ว่างานแต่งงานที่นี่เค้าแต่งกันเรียบร้อยประมาณไหน ไม่เคยไปอ่ะ เลยต้องปล่อยให้เป็นวิจารณญาณของเฮียไป

ซื้อเสื้อเสร็จ หิวมาก คงไม่สามารถกลับไปทำกับข้าวไหวแล้ว เลยแวะกินมอนจายากิของโปรด ก่อนเข้าบ้าน แล้วก็เนียนๆคุยกันไปได้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้ท่ามกลางหมู่ญาติของฮี คงต้องพึ่งฮีเยอะ แต่ตกลงเฮียก็ขอโทษว่าพูดจาไม่ดี แล้วบอกว่าพยามจะเลิกนิสัยแบบนี้อยู้ ให้มันจริงเหอะพี่



วันอังคารที่ 22

ตื่นกันแต่เช้าเพราะต้องไปงานแต่งงานพี่ชายเฮีย ต้องไปถึงโรงแรมที่รอปปงหงิก่อน 10โมงเช้า เพราะเราต้องไปแต่งหน้า ทำผมที่โรงแรมด้วย ตอนแรกกลุ้มใจเรื่องนี้อย่างมาก เพราะไร้ซึ่งทักษะในการแต่งหน้าอย่างแรง ปกติทุกวันนี้ก็ทาแป้ง ปัดแก้ม ทาลิปมัน เท่านั้นจบ มากไปกว่านั้นจะไม่สามารถแล้ว ก่อนมาญี่ปุ่นก็พยามหัดๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยรุ่ง เลยกลุ้มว่าจะทำไงกับหน้าตััวเองดี เฮียเลยต้องโทรหาแม่ แม่ก็เลยบอกให้ไปแต่งที่โรงแรม ช่างที่แต่งให้แฟนพี่สาวน่ะแหละ รอดตัวไป กลุ้มอยู่ตั้งนาน

ก่อนไปกำชับเฮียอยู่หลายรอบว่าให้อธิบายช่างว่าไม่เอาแต่งหน้าจัดๆ หรือทรงผมแบบแก่ๆนะ ฮีก็ไม่วายจะกวนอีกว่า ไม่ต้องห่วงหรอก คนญี่ปุ่นเค้าไม่แต่งหน้าจัดๆเหมือนคนไทยหรอก นี่เห็นว่าวันนี้ต้องพึ่งพามานอีกเยอะนะ ไม่งั้นมีวางมวยกันแน่

ไปถึงโรงแรม เจอหน้าช่างแต่งหน้าทำผมแล้ว โอ้วววมายก๊อด ตรูไม่รอดพ้นหน้าแก่แน่นอน ก็ช่างเป็นช่างคราวป้าเลยอ่ะดิ แต่ก็ทำไรไม่ได้แล้ว นอกจากกำชับเฮียรอดไรฟันไปอีกหลายรอบว่า ไม่เอาแก่ ไม่เอาแก่ ......
ช่างไม่ได้ทำไรมากเลย เอาแป้งมาปาดๆ ทาตาเล็กน้อย แต่ให้เดี๊ยนดัดขนตาเอง จะทำเป็นไม๊นั่น ไม่งั้นก็แต่งมาเองแล้วหละ แต่ป้าแกก็ไม่ยอม บอกกัมบัตเตะ กัมบัตเตะ (พยายามๆ) อยู่นั่น เราก็เลยต้องทำเองอย่างเก้ๆกังๆ หนีบหนังตาตัวเองไปหลายรอบ จากนั้นทำผม ทรงผมแอบแก่เล็กน้อย แต่ก็ต้องทำใจยอมรับกันไป เฮียบอกว่าทำไงได้ ก็คนทำเป็นโอบ้าซังหนิ
ปลอบใจตัวเองว่า รวมๆก็ไม่เลวร้ายหรอก ดีกว่าทำเองเยอะ

ลงมาถึงงาน โอ้....ญาติๆเฮียช่างเยอะ ตั้งแต่มาเรายังไม่เคยเจอญาติๆเฮียเลย (ตอนจัดงานที่เมืองไทย ญาติๆเค้าก็ไม้ได้ไป ตอนแรกก็มีจะไปอยู่บ้าง แต่โดนม๊อบเสื้อเหลืองปิดสนามบิน เจ้าบ่าวและญาติๆไปไม่ได้ ต้องเลื่อนงานออกไป ญาติๆเค้าเลยเลื่อนตามไม่ได้ ติดธุระกันไปซะ) เฮียตั้งใจมานานว่าจะเกาะงานพี่ชายแนะนำเราไปด้วยเพราะญาติพร้อมหน้าอย่างงี้คงไม่มีโอกาสง่ายๆ ตอนแรกพี่ชายจะแต่งกลางๆเดือนมิถุนาตอนที่เรามาถึงใหม่ๆ แต่พี่ชายดันไม่สบายหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเดือน เลยต้องเลื่อนงานมาเป็นเดือนกันยา (หรือว่าจริงๆ โรคเลื่อนจะเป็นอาถรรพ์ของบ้านนี้ หลงไปโทษเสื้อเหลืองอยู่ตั้งนาน )


งานเริ่มจากการแนะนำตัวญาติของทั้งสองฝ่าย นั่งแยกกันคนละครึ่งห้อง มีฉากกั้นไว้ ญาติเฮียอุ่นหนาฝาคั่งมากร่วมๆสามสิบคน (เชิญแต่ญาติที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น ญาติรุ่นเดียวกัน ลูกพี่ลูกน้องทั้งหลายไม่ได้มาเลย) พอพนักงานเค้าเปิดฉากกั้นออก แป่ว.... ญาติเจ้าสาวมีนั่งอยู่สี่คน งงเลย ต่างกันมาก พ่อเฮียเป็นคนเริ่มแนะนำครอบครัวตัวเองก่อนว่ามีใครบ้าง จากนั้นญาติๆ ก็จะลุกขึ้นแนะนำตัวเอง จบฝ่ายชายแล้วก็เป็นฝ่ายหญิง

แนะนำตัวกันเสร็จก็ย้ายห้องไปถ่ายรูปหมู่ เป็นห้องสำหรับถ่ายรูปเลย มีแสตนด์ให้ยืนเป็นแถวๆด้วย กล้องก็เป็นแบบกล้องถ่ายรูปติดบัตรที่ร้านถ่ายรูปที่เมืองไทยอ่ะ สมัยนักเรียนต้องไปถ่ายทุกปี ช่างถ่ายรูปจริงจังมากส่งเสียงสั่งการตลอดเวลา หันด้านโน้นนิด ด้านนี้หน่อย ก้มลงนิด อะไรไปเรื่อย กว่าจะได้กดชัตเตอร์ เราก็ทำหน้าไม่ถูกอ่ะ ว่าควรยิ้มหรือไม่ควร ก็ทำหน้าเฉยบ้าง ยิ้มบ้างสลับกันไป

ถ่ายรูปเสร็จก็เคลื่อนย้ายกันไปห้องจัดเลี้ยง หลังจากเซ็นอวยพรและให้ซองกันแล้ว เค้าก็จะให้แผนผังที่นั่งมาว่าเราต้องไปนั่งตรงไหน เก้าอี้ตัวไหน บนโต๊ะก็จะมีชื่อเราตั้งไว้เลย (ที่ญี่ปุ่นเค้าไม่เชิญคนมางานแต่งงานเยอะ เชิญเฉพาะที่สนิทจริงๆ เพราะค่าใข้จ่ายต่อหัวแพงมาก แล้วเชิญใครก็มาเฉพาะคนนั้น ลากแฟน หรือ เพื่อนมาด้วยไม่ได้) เข้าไปนั่งที่โต๊ะแล้วก็จะมีถุงของขวัญวางไว้ที่เก้าอี้ของแขกทุกคน (เป็นเค้ก 1กล่อง กับแคตาลอคของขวัญให้แขกกลับไปเลือกเอาเองที่บ้านว่าอยากได้อะไร)

นั่งกันเรียบร้อย เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเข้ามา ไปนั่งประจำที่ด้านหน้าของห้องจัดงาน แป๊บนึงก็ไปตัดเค้ก แล้วก็นั่งทานอาหารกันต่อ (พ่อแม่เฮียบอกว่า แต่งงานที่เมืองไทยน่าสงสารมาก เพราะต้องยืนตลอด 3-4 ชั่วโมง ไม่ได้นั่ง ไม่ได้กินเลย )

ทานอาหารกันไปซักพักเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกไปข้างนอก ไม่รู้ไปทำไม (เดาว่าคู่อื่นคงไปเปลี่ยนชุด เพราะเคยได้ยินว่าที่ญี่ปุ่นเจ้าบ่าวเจ้าสาวเปลี่ยนชุดหลายครั้ง แต่คู่นี้ใส่ชุดเดิม แต่เหมือนเจ้าสาวจะมีอะไรตกแต่งมาเพิ่มนิดหน่อย) ตอนนี้แขกก็จะไปจุดเทียนที่โต๊ะที่จัดเป็นซุ้มเทียน มีแก้วเทียนเล็กๆน่ารักอยู่ข้างล่าง แล้วมีเทียนแท่งใหญ่อยู่ข้างบน

ซักพักเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเข้ามาแล้วไปจุดเทียนที่โต๊ะที่แขกนั่งทุกโต๊ะ เรียกพิธีนี้ว่า Candle service ครบทุกโต๊ะแล้วก็ไปจุดเทียนแท่งใหญ่ที่ซุ้มเทียน
จากนั้นพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะผลัดกันถือขวดเบียร์ หรือ น้ำชา ไปเติมให้ญาติๆของอีกฝ่าย ประมาณว่าเป็นการฝากเนื้อฝากตัวกัน เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เดินเติมให้ตามโต๊ะต่างๆด้วย เรากับเฮียเองก็ต้องเดินเติมให้ทุกโต๊ะเหมือนกัน เพราะเฮียต้องแนะนำเรากับทุกคน (ประหนึ่งเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่รอง เดินไปไหนเค้าก็ โอเมเดโตะ - ยินดีด้วยกันตลอด แอบเกรงใจคู่พี่ชายอยู่นะ)

ลำดับงานแอบสับสนเล็กน้อย เพราะตอนแรกบอกว่าจะไม่มีการพูดแนะนำเราออกไมค์ แต่ไปๆมาๆพิธีกรก็พูดขึ้นมา แล้วก็มาให้พ่อพูดแนะนำเราอย่างเป็นทางการ พ่อบอกเราก็พยามปรับตัว พยามทำอารดีๆให้ลูกชายเค้าทาน ทำบุริไดคนด้วย (ตรูอายแทบแทรกแผ่นดิน ทำไม๊ทำไมพ่อแม่ต้องประทับใจกับไอ้บุริไดคน หรือ ปลาบุริต้มซีอิ๊วนี้นักนะ มันเป็นเมนูญี่ปุ่นแรกๆที่เราทำ เพราะอ่านวิธีทำแล้วมันง่ายดี ตอนนั้นแม่เคยถามว่าทำอะไรกินบ้าง เราก็ตอบไป พ่อแม่ตื่นเต้นมาก ตั้งแต่นั้นมา พ่อแม่พูดเรื่องบุริไดคนนี้กับทุกคน ว่าเปิ้ลจังทำได้นะ) จากนั้นพิธีกรให้ให้เฮียพูดต่อ เหมือนงานแต่งตรูไม๊เนี่ย แต่เฮียก็ช่วยพี่ชายแชร์ค่าจัดงานนะเพราะถือว่าใช้งานเค้าแนะนำเราไปด้วย

จากนั้นเจ้าสาวก็จะอ่านจดหมายถึงแม่ของตัวเอง น้ำตาแตกกันไป เหลือข้าพเจ้าที่นั่งหน้าเฉย เนื่องจากฟังไม่ออก ร่วมอินไม่ได้จริงๆ
เสร็จแล้วพี่สาว พี่ชายให้ช่อดอกไม้กับพ่อแม่ พ่อพูด (พ่อก็แอบขำอ่ะ มือถือโพยนี่กระดาษสั่นพั่บๆๆเลย มีคนแซวพ่อเลยบอกว่า ก็มันตื่นเต้นหนิ) พี่สาวพี่ชายพูดขอบคุณแขก แล้วก็จบพิธี ออกไปรอส่งแขก พร้อมให้ของชำร่วยชิ้นเล็กๆ

จบงานแยกย้ายกันกลับ เบ็ดเสร็จวันนี้โค้งคำนับกันไปหลายพันรอบ โค้งแล้วโค้งอีก พูดประโยคนึงนี้โค้งกันประมาณ3ครั้ง ยิ่งเรานี่ต้องโค้งต่ำมากๆ เพราะเป็นผู้น้อยสุดในงาน ต้องฝากตัวกับทุกคน บางแวบเงยขึ้นมานี่มีวิงเวียนอยู่ กว่าจะแยกย้ายกันกลับนี่ก็โค้งกันอีกชุดใหญ่แบบ non-stop เหมือนว่าใครหยุดก่อนจะแพ้ ยืนโค้งกันจนลับสายตานั่นแหละ





กลับถึงบ้านสลบเหมือด ตื่นมาค่ำๆหิวอีก เลยชวนกันออกไปกินยากินิขุที่นากาโน ร้านนี้อร่อยดี ต้องเสียค่าเข้าคนละ 800 เยนก่อน (เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าร้านที่ญี่ปุ่นมีเก็บค่าเข้าด้วย พวกอิซากายะก็เก็บ แต่บางร้านก็ไม่เก็บ) แต่ราคาแต่ละเมนูก็จะถูกหน่อย ประมาณ 290- 390 เยน มีเมนูนึงเป็นหมูหมักแบบเผ็ดๆ อร่อยมากกกกก กินกันกระหน่ำ วางแผนกันไว้แล้วว่าขาไปนั่งรถไฟไป แต่ขากลับจะเดินกลับ เพื่อย่อยของที่ยัดทะนานกันเข้าไป เฮียก็เหมือนเดิม เดินเข้าห้องน้ำตลอดทาง เพราะกระดกเบียร์เข้าไปซะเยอะ






วันพุธที่ 23

วันหยุดผ่านไปไวเหมือนโกหก แป๊บเดียววันสุดท้ายแล้ว วันนี้ก็ไม่ได้ทำไรมาก กะจะเก็บของเตรียมย้ายบ้านอาทิตย์หน้า แต่เฮียเกิดไอเดียบรรเจิดอยากกินส้มตำขึ้นมา ประกอบกับเอ (แม่น้องโซระ) เพิ่งบอกว่าร้านข้าวสาร Lumine 1 ที่ชินจูกุก๋วยเตี๋ยวอร่อย เลยได้ที ชวนเฮียไปกิน

พอถึงร้าน เห็นเมนูหลากหลายมาก ลังเลอยู่นาน จากที่ตั้งใจจะกินเย็นตาโฟ คนข้างๆกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำก็น่ากิน แต่ดันสั่งผัดกระเพราไข่ดาวซะงั้น เฮียกินบะหมี่หมูแดง แล้วก็สั่งข้าวเหนียว ส้มตำ

กระเพราเผ็ดมากๆ (สำหรับเรา) ไม่รู้คนญี่ปุ่นกินได้ไง เรากินไปครึ่งนึงไม่ไหวแล้วอ่ะ เลยยกให้เฮียกิน เฮียก็กินหมดอีกอ่ะ เป็นคนญี่ปุ่นดันกินเผ็ดได้มากกว่าเราอีก ส่วนส้มตำอร่อยดี เมื่อวานก็ไปนั้งกินกับเอ กับปอมาอีกรอบ

กลับมาเก็บของลงลังกัน ตอนนี้ลังกองเต็มห้อง แทบจะต้องนอนกันบนลังแล้ว ตอนเก็บก็ว่าเหนื่อยแล้ว ตอนเอาออกมาจัดเข้าที่นี่ท่าทางจะเหนื่อยมากกว่าอีก

จบวันหยุดห้าวันเท่านี้ เขียนอยู่สามวัน เรื่องยาวมาก อยากเขียนๆเก็บไว้แต่ละช่วง เผื่อปีหน้ามาเปิดอ่านจะได้รู้ว่าตอนนี้ปีที่แล้วเป็นยังไง ทำอะไรบ้าง อ่านไดของเพื่อนที่เค้าเขียนต่อเนื่องมาสองสามปี เค้าสามารถย้อนดูไดเก่าๆ แล้วเอามาเปรียบเทียบกันกับปัจจุบัน หรือเป็นบันทึกความจำอะไรได้เลย ก็มีประโยชน์ดีนะ


Create Date : 25 กันยายน 2552
Last Update : 26 กันยายน 2552 21:38:57 น. 6 comments
Counter : 779 Pageviews.

 
หวัดดีจร้า คู่ตะเองตอนงอลกันน่ารักดีอ่ะ
งานแต่งพี่ยุ่นก็วุ่นๆเหมือนกันนะ

ปล.เจนอยู่นาริตะจร้าใกล้ๆกับสนามบินเลยล่ะ


โดย: Yamaka วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:9:09:15 น.  

 
รูปพี่เปิ้ลหล่ะค่ะ ที่ช่างแต่งหน้าให้ อยากเห็นๆค่ะ

Lumine 1 ชินจูกุ ร้านอาหารไทย มดก็ยังไม่เคยไปค่ะ
เผ็ดๆก็ไม่ไหว คงต้องให้คนข้างๆทานเหมือนกันค่ะ


โดย: ari1019 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:21:03:59 น.  

 
เห็นยากินิขุแล้วอยากทานจัง

จะว่าไปเรื่องแต่งหน้าสำหรับเราก็เป็นปัญหาเหมือนกันค่ะ
แต่งไม่เป็นสักอย่าง 55+ ทาเป็นแต่แป้งกับลิปกลอส
แล้วก็จบข่าว ...


โดย: Shiraha วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:22:05:48 น.  

 
ส้มเห็นยากินิขุแล้วอยากทานจัง


โดย: somphoenix วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:0:19:55 น.  

 
อ่านแล้วสนุกจังค่ะเปิ้ลซัง

ขำคุณเฮียบอกว่า ทรงผมแก่เพราะคนทำเป็นโอบ้าซัง

คุณเฮียของเปิ้ลซัง ฮา ๆ ดีค่ะ..อิอิ

แอบดูภาพงานแต่งสวย ๆ ค่ะ


โดย: amienaruke วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:13:13:05 น.  

 
เปิ้ลเขียน Dairy ได้เก่งและสนุกมากๆเลย.
ทำไงหรือ.


โดย: Usa / FFSBKK IP: 61.91.113.30 วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:16:35:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

applepk
Location :
Tokyo Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




+++ จากเมืองหลวงของประเทศไทย ย้ายตามผู้ชายหัวเหม่งๆ มาอยู่เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น +++
Friends' blogs
[Add applepk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.