http://punchit.bloggang.com ความรัก ความเชื่อและศรัทธา 3 สิ่งนี้จะยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
23 กันยายน 2551

บ้านไร่กรุ่นไอรัก บทที่ 4

บ้านไร่กรุ่นไอรัก
บทที่ 4
.................................................................................................
แสงไฟจากหน้ารถยนต์ที่แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านสาดเป็นลำมาแต่ไกล ชุอรยืนอยู่หน้าบ้านชะเง้อชะแง้มองทางด้วยอาการกระวนกระวาย รู้สึกใจชื้นเมื่อเห็นรถยนต์ที่แล่นเข้ามานั้นคือรถจี๊ปของกายเทพ โดยมีสาวน้อยผู้เป็นหลานสาวนั่งมาด้วย

บุญมีและลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นรถกายเทพแล่นเข้ามาในบ้านก็ดีใจและโล่งอกเมื่อเห็นว่าบนรถมีชริลนั่งมาด้วย ครั้นรถเข้ามาจอดหน้าบ้านแล้ว หญิงสาวร่างบางก็กระโดดลงจากรถแล้วเดินรี่เข้าบ้าน ชุอรเห็นดังนั้นก็โล่งใจที่หลานสาวกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่ทันเด็กชายที่ยืนข้างๆ บุญมีเพราะวิ่งถลาเข้าไปหาหญิงสาวก่อนแล้ว

“พี่ริล...พี่ริลมาแล้ว อ้าว!...เอ๋!...นั่นใครอ่ะ” เด็กชายวัย 10 ขวบ ชะงักก้าวเมื่อเห็นร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของรถก้าวลงมายืนปัดฝุ่นตามตัวเบาๆ อยู่ข้างรถพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดี หญิงสาวมิได้หยุดหันกลับไปมองแต่เดินผ่านเด็กชายเข้ามาในบ้าน

“คนบ้าน่ะองุ่น อย่าไปสนใจเลย ปะ...เข้าบ้านดีกว่า” คนบอกเดินตัวปลิวเข้าบ้าน องุ่นยืนมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะหันหลังกลับวิ่งเร็วปรื๋อตามนายสาวซึ่งเดินลิ่วเลี่ยงคนเป็นอาเข้าบ้านไปแล้วโดยที่ชุอรมิได้ทันร้องทักแม้สักคำ

“เอ๊!...เป็นอะไรกันเด็กคนนี้ เราอุตส่าห์เป็นห่วง ดูซิ...มาถึงก็วิ่งแจ้นเข้าบ้านไปเลย” ชุอรบ่นตามหลังเพราะร้องทักหลานสาวไม่ทันเสียแล้ว พอหันกลับมาก็พอดีกายเทพเดินมาหยุดตรงหน้า

“คุณกายไปเจอยัยริลที่ไหนคะ น้าเป็นห่วงแทบแย่เลย”

“เจอที่ลำธารครับ ผมกับน้าบุญมีตามหาไปทั่วกว่าจะรู้ว่าอยู่ที่นั่น”

“โล่งอกไปทีนะครับ ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียว คุณชุคงได้โทร.แจ้งตำรวจช่วยตามหาแน่เลย” บุญมียืนอยู่ด้านหลังชุอรกล่าวขึ้นอย่างโล่งใจไปด้วย

กายเทพยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองพลางมองผ่านเข้าไปในบ้าน เป็นเวลาเดียวกับที่ชริลกำลังชี้โบ้ยชี้เบ้ออกมาด้านนอกราวกับจะบอกอะไรบางอย่างให้เด็กชายที่อยู่ด้วยรู้เกี่ยวกับตัวเขาอย่างนั้นแหละ...แต่คงไม่ใช่คำแนะนำที่ดีแน่เมื่อชายหนุ่มเห็นสีหน้าและท่าทางของเจ้าเด็กคนนั้นแล้วทำหน้าหวั่นๆ พิกล

“นั่นสินะ น้าว่าจะโทร.แจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาสักหน่อย ยังไงน้าก็ขอบใจคุณกายนะคะที่ช่วยตามหายัยริลจนพบ”

“ไม่เป็นไรครับ เธออาจจะไม่ตั้งใจทำแบบนั้นก็ได้”

“ได้ที่ไหนกันคะ ไม่ใช่เด็กแล้วนะคะจะได้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง น่าจะรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงมากแค่ไหน” ชุอรยังมิวายกังวลอีก บุญมีอยู่ด้านหลังได้แต่หัวเราะหึๆ อย่างเข้าใจ ชุอรได้ยินเสียงหัวเราะจึงหันมาถามสงสัย

“น้ามีหัวเราะอะไรหรือ”

สายตาของบุญมีเลยไปถึงร่างสูงที่ยืนยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ อยู่เบื้องหน้า

“ก็ใครจะคิดว่าคุณริลจะเตลิดไปแบบนี้ล่ะครับ เห็นทีคุณริลคงจะเจอ “คู่ปรับ” เข้าให้แล้วละมั้งครับเนี่ย”

ชุอรได้ยินดังนั้นจึงหันมองหน้ากายเทพก่อนจะนึกออกจนอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

“นั่นสินะคะ แต่ยังไงน้าก็ต้องปรามยัยริลเสียหน่อย ทำเอาทุกคนตกอกตกใจไปหมด...เอ่อ...ว่าแต่...เย็นนี้อย่าลืมว่ามีนัดทานข้าวที่บ้านน้านะจ๊ะ”

“ครับ...งั้นผมขอตัวกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”

ชุอรพยักหน้ารับคำ ร่างสูงมองเข้าไปในบ้านไม่เห็นสาวน้อยและเจ้าเด็กน้อยนั่นแล้ว เขาจึงหันมายิ้มให้ชุอรก่อนจะหมุนกายเดินไปขึ้นรถจี๊ปพร้อมกับสตาร์ตแล้วเคลื่อนออกไปจากบ้านในเวลาต่อมา เมื่อรถยนต์ของกายเทพเคลื่อนออกไปจากบ้านแล้ว ชุอรมิรีรอรีบหมุนกายเดินลิ่วเข้าบ้านทันที มีอะไรต้องสะสางกับหลานสาวเสียแล้ว

บนห้องนอนของชริลในขณะนั้น สองเพื่อนซี้ต่างวัยยืนอยู่ข้างหน้าต่างแอบมองรถจี๊ปของกายเทพแล่นออกไปจากบ้านจนลับตา

“ไปแล้วครับพี่ริล”

“ไปซะได้ก็ดี...คนบ้า!...กวนโมโหชะมัด” ชริลบอกก่อนจะผละมาทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงนอน องุ่นวิ่งมากระโดดขึ้นนั่งข้างๆ

“แล้วพี่ริลไม่กลัวเหรอที่มากับคนบ้าน่ะ”

“ไม่กลัวหรอก...จำไว้นะองุ่น เราจะไว้ใจนายคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็...ไม่เห็นหรือไงว่าหน้าตาเขา หนวดเครารกรุงรังยังกะโจร เราจะไว้ใจได้ยังไง” เธอพยายามพูดให้เด็กชายเห็นพ้องกับความคิดตัวเอง เด็กชายนั่งมองอย่างสงสัยพร้อมเกาหัวแกรกๆ

“ไหนพี่ริลบอกว่าเป็นคนบ้า...แล้วทำไมมาบอกว่าเป็นโจรล่ะครับ”

ชริลเหลือบตามองเพดานอย่างจนในคำอธิบาย “เหอะน่า ยังไงเราก็ไม่ควรไว้ใจใคร โดยเฉพาะนายคนนี้ เพราะว่าเขาเคยทำร้ายพี่ด้วย”

เด็กชายองุ่นได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าหงึกๆ เป็นการรับรู้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะของทั้งสอง ชุอรเปิดประตูเข้ามาในห้อง ชริลจึงบอกให้องุ่นลงไปรอข้างล่างก่อนเพราะเห็นท่าทางคนเป็นอาแล้วคงมีเรื่องคุยเป็นแน่

“อาชุมีอะไรเหรอคะ” ชริลถามหลังจากเด็กชายลงไปข้างล่างแล้ว

“รู้มั้ยริลว่าอาและทุกคนเป็นห่วงเราแค่ไหน...ทำไมทำตัวแบบนี้นะ” คนเป็นอาบอกคล้ายตำหนิสีหน้าตึงเล็กน้อย ชริลถอนใจเบาๆ หากในใจกลับคิดว่าเขาคงจะ “ฟ้อง” อาเธอแน่ๆ

“รู้ค่ะ...แต่ริลก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ”

“ไม่เป็นอะไรแต่ก็ทำให้ทุกคนเป็นห่วง...แล้วจะบอกอาได้มั้ยว่าทำไมต้องไปที่นั่นคนเดียว...มืดค่ำก็ไม่ยอมกลับบ้าน”

ชริลพรูลมหายใจยาวก่อนจะลุกจากเตียงเดินมาหยุดริมหน้าต่าง

“ก็ริลโมโหนี่คะ” เธอบอกแล้วก็ชักมีน้ำโหเมื่อนึกถึงกายเทพ

“โมโหคุณกายน่ะหรือ” คนเป็นอาถาม แต่ชริลยกมือกอดอกหน้ามุ่ย ชุอรเห็นอากัปกิริยาท่าทางแบบนั้นแล้วก็ได้แต่นึกขำ

“แน่ใจนะว่าโมโหคุณกาย...ไม่ใช่...อายเพราะเข้าใจผิด!”

ชริลได้ยินเช่นนั้นถึงกับเผลอค้อนขวับให้คนเป็นอา “ไม่รู้ล่ะค่ะ มันก็เหมือนกันน่ะแหละ...คนบ้าอะไรก็ไม่รู้กลับมาบ้านแทนที่จะบอกสักคำก็ไม่มี ปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นขโมยไปได้! ฮึ!...ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้จะเล่นงานซะให้เข็ดเลย”

“แน้!...ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ คุณกายอุตส่าห์ตามหาจนพบแล้วพามาส่งยังไปว่าเขาอีก...เอาเถอะ ยังไงเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว คุณกายก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ผิดแต่ว่าหนวดเคราไม่โกนเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดีนี่นา”

“แต่ยังไงริลก็ยังโกรธเขาอยู่นะคะ” ท่าทางของเธอยังบ่งบอกอย่างคำพูด ชุอรได้แต่ยิ้มน้อยๆ

“แล้วจะโกรธคุณกายทำไมกันล่ะ ก็เขาไม่ได้ทำอะไรเราสักหน่อย”

“ไม่หน่อยหรอกค่ะ ก็เขา...เอ่อ...เขา...!” เธออึกอักไม่กล้าบอกว่าถูกเขา “จูบ”

“เขาอะไรหรือ” คนเป็นอาจ้องหน้ารอคำตอบ ชริลนึกถึงรสสัมผัสนั้นแล้วรู้สึกร้อนวูบซ่านทั่วใบหน้าถึงกับเบือนหน้าไปทางอื่น

“ไม่...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...แต่อย่าหวังเลยว่าริลจะยอมง่ายๆ อย่าให้ถึงทีริลบ้างก็แล้วไป”

“คุณกายอุตส่าห์ตามหาเราจนพบแล้วพากลับมาส่งบ้านอย่างปลอดภัยก็น่าจะขอบคุณเขาไม่ใช่หรือ แต่นี่กลับจะไปทำร้ายเขาซะงั้น” ชุอรบอกพลางยิ้มๆ อย่างปรับอารมณ์ตามหลานสาวไม่ทัน

“ก็...”

“เอาล่ะๆ...จะยังไงก็แล้วแต่ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบลงไปทานข้าว วันนี้น้าแก้วทำกับข้าวเยอะแยะรออยู่”

ชุอรบอกแล้วก็กลับลงไปข้างล่าง ชริลถอนใจแล้วเดินมาทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียงนอน เธออยากรู้จริงๆ ว่าวันนี้เป็นวันโลกาวินาศอะไรกันถึงทำให้เธอได้พบเจอแต่เรื่องราวปวดกบาลตลอดทั้งวัน...ไม่สิ...เพราะเขาต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่อง

นึกแล้วก็เจ็บใจที่ถูกเขา “จูบ” หนำซ้ำยังแกล้งเธอหลายครั้ง ชริลยิ้มมุมปากอย่างแค่นๆ คอยดูนะ ถ้ามีโอกาสจะเอาคืนให้สาสมไปเลย

หญิงสาวนึกวิธีแก้แค้นแล้วอมยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่คนเดียวก่อนจะลุกจากเตียงนอนเพื่อผลัดผ้าอาบน้ำให้สบายกาย เวลาผ่านไปไม่นานนัก สาวน้อยก็อาบน้ำเสร็จ เธอเลือกชุดนอนสีชมพูลายหมีพูห์หวานแหววเข้ากับกางเกงขาสั้นชุดเดียวกัน เส้นผมที่ถักเปียทั้งวันถูกสระสะอาดเอี่ยมมีกลิ่นหอมของแชมพูจางๆ ติดบนเส้นผม ดวงหน้านวลผ่องด้วยแป้งเด็กที่ทาเอาไว้มิได้แต่งเติมอะไรมากนัก แต่ก็ดูน่ารักสมวัยสาวดรุณี

ร่างบางนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกับใช้หวีสางเส้นผมดำขลับยาวถึงกลางหลังให้แห้ง ในสมองก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ แปลกประหลาดเหลือเกินที่เธอจำ “คุณกาย” ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะรู้จักเขาตั้งแต่เด็ก ความห่างไกลกระมังทำให้รูปลักษณ์ภายนอกและความคุ้นเคยนั้นต่างไปจากเดิม

แต่สิ่งใดก็ไม่เท่าการที่ถูกเขา “จูบ” นึกถึงตรงนี้สาวน้อยถึงกับเผลอยกนิ้วมือลูบริมฝีปากอวบอิ่มเรื่อของตัวเองเบาๆ พลันนั้นก็เกิดความรู้สึกหวั่นไหวซ่านในกายจนรู้สึกวูบวาบอย่างประหลาด...หรือว่าเธอเป็นสาวแล้ว...ปีนี้ 19 แล้วนี่นา

ความรู้สึกหวามไหวทั้งหลายแหล่พลันสะดุดกึกลงเมื่อความโกรธที่เขาบังอาจ “จูบ” เธอแล่นพล่านเข้ามาแทนที่อารมณ์วาบหวาม...ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้เขา “รังแก” เพียงฝ่ายเดียวหรอก อย่างน้อยวันพระก็มิได้มีหนเดียวเสียเมื่อไหร่

............................................
ชริลลงมาชั้นล่างแล้วเดินมาที่โต๊ะอาหารจึงเห็นชุอรกำลังจัดเตรียมอาหารบนโต๊ะอย่างตั้งใจ ร่างบางหยุดมองอย่างสงสัยเพราะดูหน้าตาของอาหารมื้อนี้มันช่างวิลิศมาหราไม่เหมือนทุกมื้อที่ผ่านมา

“อ้าว!...อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ...มาๆ มาช่วยอาจัดโต๊ะอาหารก่อน วันนี้มีอาหารเยอะแยะเลย” ชุอรหันมาบอกคนเป็นหลานสาว ชริลเดินเข้ามาช่วยจัดโน่นจัดนี่ไปเรื่อย

“แล้วน้าแก้วกับองุ่นกลับแล้วหรือคะ” เธอถามถึงแก้ว แม่บ้านประจำบ้านและเด็กชายองุ่น ลูกชายของนาง

“อาให้น้าแก้วกลับไปก่อนแล้วล่ะ เกรงว่าจะดึกแล้วองุ่นจะง่วงนอน วันนี้ก็เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”

“แล้วนี่น้าแก้วทำอะไรบ้างคะ” ชริลถามสงสัยเพราะเห็นอาหารมากมายละลานตาที่อยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด

“ก็มีเนื้อนกกระจอกเทศผัดพริกไทยดำ สะเต๊กเนื้อโคขุน แกงเขียวหวานไก่ น้ำพริกกะปิ ปูหลนของชอบของริลก็มีนะ” ชุอรบอกแล้วก็แอบยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาวบอกความฉงนใจ

“ทำไมต้องทำเยอะแยะราวกับว่าจะมีใครมาที่บ้านเรางั้นแหละ”

“ก็เพราะมีคนจะมาทานข้าวบ้านเราน่ะสิ อาถึงให้น้าแก้วทำไว้เยอะแยะแบบนี้”

ชริลเข้าใจทันทีว่าแขกในค่ำคืนนี้ต้องเป็นกายเทพอย่างแน่นอน หญิงสาวนึกแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ

“อย่าบอกนะคะว่าแขกในคืนนี้ของอาชุคือคุณกาย”

“ถูกต้องแล้วจ้ะ” ชริลได้ยินคำตอบถึงกับเบ้ปาก

“ทำไมต้องทำอาหารแพงๆ เลี้ยงด้วยล่ะคะ ไหนบอกว่ามาจากออสเตรเลีย ที่โน่นไม่มีกินหรือยังไง ทำไมต้องมากินของแพงๆ ที่นี่ด้วย เนื้อนกกระจอกเทศผัดพริกไทยดำเอย สะเต๊กเนื้อโคขุนเอย...แพงๆ ทั้งนั้น... แถมยังมาใช้คนในบ้านเราทำอีก...แบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะคะ” เธอแอบนินทาและต่อว่าลับหลังชายหนุ่มเล็กๆ

“เอ๊! เรานี่ ยังไงกันนะ เห็นตอนเป็นเด็กติดคุณกายแจยังกะอะไรดี แต่พอเขากลับมากลับไปว่าเขาเสียๆ หายๆ ระวังเถอะ คุณกายมาได้ยินจะโกรธที่ไปว่าเขาแบบนั้น” อาสาวใหญ่ตำหนิหลานสาวพลางจัดโต๊ะอาหารไปพลาง ชริลแอบค้อนอาสาวเล็กๆ อะไรก็คุณกายๆ เชอะ!

“ก็จริงมั้ยละคะ เนื้อพวกนี้แพงแค่ไหนอาชุก็รู้” เธอบอกอย่างเคืองๆ หาเรื่องไม่ให้คนเป็นอาเลี้ยงอาหารเย็นชายหนุ่มไปเรื่อย ชุอรถอนใจเบาๆ

“เนื้อแพงก็ไม่สำคัญเท่ากับมิตรภาพที่แพงกว่าหรอกนะริล คุณกายใช่ใครอื่นเสียที่ไหน เราเองก็คุ้นเคยกันมาแต่เด็ก กี่ปีแล้วล่ะที่คุณกายไม่ได้กลับมาบ้านไร่แห่งนี้อีก...คุณกายกลับมาวันนี้เราก็ต้องเลี้ยงต้อนรับเขาที่กลับมาบ้าน...เราน่ะอคติเกินไปแล้วรู้มั้ย” มิวายคนเป็นอาตำหนิหลานสาวทิ้งท้าย

ชริลทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ยกมือทั้งสองข้างค้ำคางตัวเองไว้ สีหน้าเซ็งสุดขีด ชุอรจัดอาหารบนโต๊ะเสร็จพอดีจึงทรุดนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะ

“เสร็จเรียบร้อยแล้ว คงรอแค่คุณกายเท่านั้น”

“ถ้างั้นริลไม่ทานด้วยนะคะ”

“ทำไมล่ะ” ชุอรเลิกคิ้วถามสงสัย

“ริลไม่อยากทานข้าวร่วมกับผู้ร้ายในคราบนักบุญ”

“อ่ะแฮ่ม!” เสียงกระแอมเบาๆ ดังมาจากเบื้องหลัง ชริลนั่งหน้า
เหวอค่อยๆ หันกลับมามองด้านหลังก็เห็นร่างสูงของชายหนุ่มยืนมองเธอ สีหน้าเรียบอยู่ก่อนแล้ว ร่างบางลุกขึ้นหมุนตัวจะเดินกลับขึ้นห้อง แต่ติดที่ร่างสูงใหญ่ยังยืนขวางหน้าเอาไว้

“ขอตัวก่อนนะคะคุณกาย!” เธอบอกประชด

ร่างสูงนั้นยืนนิ่งใบหน้าเรียบสนิทพร้อมกับเลิกคิ้วน้อยๆ ที่ชริลดูแล้วรู้สึกว่าจะเป็นการท้าทายมากกว่าประหลาดใจ เธอจะเดินเลี่ยงขึ้นข้างบนแต่ชายหนุ่มกลับขยับขวางทางไว้อีก

“เอ๊ะ!”


“จะไปไหนล่ะครับ ไม่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือ”

หญิงสาวเชิดหน้าเบือนมองไปทางอื่นเล็กน้อย

“เชิญคุณทานไปคนเดียวเถอะ ฉันคงทานไม่ลงหรอก”

กายเทพเลิกคิ้วสูงกว่าเดิมพลางยกมือกอดอกตัวเอง มองเธอนิ่งๆ

“เอ...ไหนใครๆ ก็บอกว่าคุณริลไม่ยอมใครง่ายๆ แค่ผมมาทานข้าวด้วยก็จะชิ่งหนีซะแล้ว!”

ร่างสูงวางระเบิด เขาไม่รอดูผลงานกลับเลี่ยงผละจากหญิงสาวตรงหน้ามาทรุดนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ชุอรเห็นการตอบโต้ของทั้งสองก่อนแล้วได้แต่นึกขำเมื่อเห็นคนเป็นหลานสาวหันกลับมามองชายหนุ่มตาคว่ำก่อนจะยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง กายเทพชำเลืองมองคนหน้าบึ้งเล็กน้อย

“มีอะไรทานบ้างครับ เยอะแยะจังเลย” กายเทพเอ่ยถามชุอร พร้อมกับมองหน้าสาวน้อยที่นั่งฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งจึงถูกเธอค้อนให้อย่างหมั่นไส้นัก

“ไม่เห็นหรือยังไง...ทำไมต้องถามด้วย”

“เอ๊! ยัยริลนี่ รวนอีกแล้วนะเรา คุณกายไปทำอะไรให้เราน่ะฮึถึงได้กวนประสาทดีนัก” คนเป็นอาตำหนิเล็กๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า เด็กๆ ก็อย่างงี้แหละครับ งอแงได้ทุกเรื่อง”

“เอ๊ะ!”

ชริลอุทานพร้อมหันขวับจ้องหน้าชายหนุ่มเอาเรื่องเมื่อรู้ว่าถูกเขาแขวะเข้าให้แล้ว เธอได้แต่ขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้ แต่ก็อดถามไม่ได้

“เมื่อกี้คุณว่าใครเป็นเด็ก!”

“ผมไม่ได้ว่าใครนี่ครับ ผมแค่เปรยๆ ให้คุณน้าฟังเท่านั้นเอง” เขาตอบได้อย่างหน้าตาเฉย

“ไม่เอาน่าริล ไว้หน้าอาบ้างเถอะ เราเป็นเจ้าบ้านอย่าเสียมารยาทสิ...เชิญค่ะคุณกาย ทานให้อิ่มนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ” ชุอรบอกพลางตักข้าวให้กายเทพแล้วตักให้ตัวเอง แต่พอจะตักให้ชริล หญิงสาวกลับแย่งมาตักเองท่าทางงอนๆ ยิ่งทำให้กายเทพได้แต่อมยิ้มกับท่าทางดื้อๆ ของหญิงสาวราวกับเด็กๆ ไม่มีผิด

“แล้วนี่มีอะไรบ้างครับ”

“มีเนื้อนกกระจอกเทศผัดพริกไทยดำ เนื้อโคขุนย่าง แกงเขียวหวาน น้ำพริกกะปิ และก็ปูหลนจ้ะ ลองชิมดูนะจ๊ะ อาให้น้าแก้วทำสุดฝีมือเชียวนะ” ชุอรแนะนำให้กายเทพได้รู้ ชริลคอยชำเลืองมองท่าทางของชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ที่เขาคอยตักโน่นตักนี่ให้อาของเธอจนออกนอกหน้า แต่พอเขาหันมาทางเธอ หญิงสาวกลับทำเป็นเสไปตักอาหารกลบเกลื่อน

“ทำไมทานแต่แกงเขียวหวานล่ะริล ปูหลนของชอบของเราก็มีทำไมไม่เห็นทานล่ะ” คนเป็นอาถามเมื่อเห็นหลานสาวเอาแต่ตักแกงเขียวหวานตรงหน้ารับประทานเพียงอย่างเดียว กายเทพเห็นหญิงสาวก้มหน้าก้มตากับจานข้าวตัวเองจึงเอื้อมมือตักปูหลนและเนื้อนกกระจอกเทศผัดพริกไทยดำใส่จานให้โดยที่ชริลไม่ทันได้เลื่อนจานหนี

“ผมตักปูหลนและเนื้อนกกระจอกเทศผัดพริกไทยดำให้แล้ว รู้มั้ยว่าเนื้อนกกระจอกเทศมีโปรตีนสูงกว่าเนื้อโคขุนมาก เพราะไม่มีไขมัน และยังย่อยง่ายอีกด้วย คุณจะได้ไม่ขาดสารอาหาร”

“รู้หรอกน่า แต่ทีหลังไม่ต้องหรอกนะ ฉันตักเองได้” เธอบอกพลางค้อนขวับ

ทั้งสามนั่งรับประทานอาหารกันเรื่อยๆ หากชริลกลับรู้สึกว่ารสชาติอาหารมื้อนี้มันฝืดคอชอบกล ชุอรและกายเทพมีเรื่องคุยกันตลอดการรับประทานอาหารมื้อนี้ หญิงสาวคอยเหลือบมองหน้าชายหนุ่มบ่อยครั้งอย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นคนเป็นอาหัวร่อต่อกระซิกกับเขาอย่างออกรส เธอรู้สึกเลี่ยนจนทานอะไรไม่ลงอีกแล้วจึงขอตัวกลับขึ้นห้องพักผ่อนเอาดื้อๆ

หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ชุอรนำเค้กและพายองุ่นซึ่งเป็นผลิตผลจากองุ่นในไร่นำมาให้กายเทพชิมซึ่งก็ถูกปากชายหนุ่มเป็นอย่างมาก แม้จะเคยรับประทานที่เมืองนอกบ่อยครั้ง แต่ผิดบรรยากาศและรสชาติกับที่นี่ เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว ทั้งสองจึงมานั่งคุยกับยังห้องนั่งเล่น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นข้อสงสัยที่กายเทพอยากจะถามเกี่ยวกับสาวน้อยชริล

“คุณริลไม่ได้เรียนหนังสือหรือครับคุณน้า”

“เรียนจ้ะ แต่เป็นเรียนวิทยาลัยเปิดน่ะ ตอนนี้กำลังเรียนด้านการเกษตร คงอีกหลายปีกว่าจะจบ”

ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ พลางยกมือลูบคางตัวเองครุ่นคิด แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เขาครุ่นคิดจนต้องถาม

“แล้วทำไมเธอไม่ไปเรียนล่ะครับ อย่างน้อยที่ไร่ก็มีน้าบุญมี ดูแลแทนได้”

“น้าบอกจนคร้านจะบอกแล้วล่ะค่ะ ยัยริลดื้อ กลัวน้าจะเหนื่อยกับงานเพียงลำพัง ก็เลยขอเรียนทางไกล เพื่อจะได้มีเวลามาช่วยงานในไร่ น้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากตามใจในสิ่งที่ยัยริลต้องการ”

ชุอรบอกแล้วก็ถอนใจเบาๆ ตั้งแต่เด็กแล้วที่ชริลขาดความอบอุ่นจาก ชรัล บิดาที่เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง ส่วนมารดาของเธอก็หย่าร้างกับชรัลแล้วหายสาบสูญไปไม่สามารถติดต่อได้...ภาระในการเลี้ยงดูหญิงสาวจึงตกมาอยู่ที่ชุอรคนเดียว...แต่เธอก็รักหลานสาวคนนี้และเลี้ยงดูมาอย่างดี เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเธออย่างสมบูรณ์ กายเทพเคยรับรู้มาบ้างตอนเป็นเด็ก แต่ก็มิได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งเท่ากับตอนนี้

คุยกันได้สักพักใหญ่ กายเทพก็ขอตัวกลับ แต่ก็มิวายมีบางอย่างถามให้หายข้องใจ

“คุณน้าพอจะรู้เรื่องน้าบุญมีและน้าครามบ้างมั้ยครับ”

“มีอะไรเหรอจ๊ะ”

“ผมสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ท่าทางทั้งสองไม่ค่อยถูกกันนัก”

ชุอรได้ยินคำถามแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเล่าให้ฟัง “มันเป็นเรื่องเก่าตั้งแต่สมัยทั้งสองคนเป็นหนุ่มน่ะจ้ะ น้ามีและน้าครามที่จริงแล้วเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่ต่างฝ่ายต่างก็หลงรักน้าแก้ว หญิงสาวคนเดียวกัน...ทั้งสองจึงไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่...ยิ่งน้ามีได้น้าแก้วเป็นภรรยา ยิ่งทำให้น้าครามไม่พอใจ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองก็ไม่เคยพูดกันดีๆ สักครั้งเดียว”

ร่างสูงพยักหน้าพลางยิ้มๆ อย่างเข้าใจ เขากล่าวขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยเลิศในค่ำคืนนี้ เมื่อชายหนุ่มลากลับไปแล้ว ชุอรจึงปิดประตูแล้วกลับเข้านอน ในขณะที่คนเป็นหลานสาวมิได้นอนหลับอย่างที่คิด สาวน้อยแอบซุ่มดูร่างสูงผ่านหน้าต่างบนห้องอยู่เงียบๆ แต่แล้วเธอก็ต้องหลบวูบเมื่อร่างสูงที่กำลังก้าวเดินออกไปจากบริเวณบ้านนั้นหยุดก้าวแล้วหันกลับมองสูงขึ้นมาบนห้องของเธอ

กายเทพเห็นเพียงเงาวูบเดียวใกล้หน้าต่าง เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับบ้าน ชริลค่อยๆ เลื่อนสายตาแอบมองอีกครั้งจึงเห็นร่างสูงเดินเอ้อระเหยออกไปจากบริเวณบ้านแล้ว

‘คนบ้า...น่าหมั่นไส้ชะมัด...’


จบบทที่ 4








 

Create Date : 23 กันยายน 2551
5 comments
Last Update : 23 กันยายน 2551 14:09:22 น.
Counter : 492 Pageviews.

 

เอาบทที่ 4 มาให้อ่านแล้วนะครับ
ช้าหน่อยก็อย่าว่ากันนะครับ เพราะช่วงนี้ยุ่งหลายอย่าง

มีอะไรติชมก็บอกได้ครับ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ

 

โดย: พันชิต 23 กันยายน 2551 14:11:02 น.  

 

เหอะๆๆ หมั่นไส้อะไรนักหนา...

 

โดย: ขาวน้ำผึ้ง 23 กันยายน 2551 20:32:46 น.  

 

คุณ ขาวน้ำผึ้ง

นั่นสิครับ ไม่รู้จะหมั่นไส้อะไรนักหนา...
แต่เดี๋ยวเถอะ โทษฐานที่หมั่นไส้ คุณกาย
จะแกล้งซะให้เข็ด อิอิ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ

 

โดย: พันชิต (พันชิต ) 25 กันยายน 2551 10:55:58 น.  

 

อือ ต้องตามลุ้นต่ิอต่ะ อิอิ

 

โดย: rizzonte 30 กันยายน 2551 14:32:47 น.  

 

ขอบคุณครับ คุณ rizzonte
ที่ติดตามมาอ่าน คงไม่เกินอาทิตย์หน้าจะมาโพสต์ให้อ่านแน่นอนครับ
คนเขียนเดี้ยงเพราะอากาศเปลี่ยน
ก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ


 

โดย: พันชิต 4 ตุลาคม 2551 10:04:56 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


พันชิต
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add พันชิต's blog to your web]