http://punchit.bloggang.com ความรัก ความเชื่อและศรัทธา 3 สิ่งนี้จะยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
1 พฤศจิกายน 2551

บ้านไร่กรุ่นไอรัก บทที่ 11

บ้านไร่กรุ่นไอรัก
บทที่ 11
…………………………………………………………………...
ท่ามกลางไอหมอกปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณและแสงอาทิตย์อุ่นๆ ในยามเช้าที่แสนสดชื่นแจ่มใส ทิวเขาไกลๆ ยังมีม่านหมอกปกคลุมอยู่ทั่ว กายเทพตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายเรียกเหงื่อเช่นทุกวัน ทั้งที่มีอาการแฮงก์จากการดื่มไวน์เมื่อคืนแต่ชายหนุ่มก็ตื่นเช้าเพราะอากาศอันบริสุทธิ์ของบ้านไร่

ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงวอร์มสวมเสื้อกล้ามสีขาวและมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้บนไหล่ เขาวิ่งเหยาะๆ อยู่หน้าบ้านพลางเหลียวมองไปทางบ้านของชุอรก็ไม่เห็นใครสักคน นั่นคงเป็นเพราะเจ้าของบ้านยังไม่ตื่น ชริลคงไม่เท่าไหร่เพราะไม่ได้ดื่มไวน์สักแก้ว แต่ชุอรก็คงจะหนักสักหน่อย

เขาได้แต่ยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้จนรู้สึกอายตัวเองเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าพูดกับสาวน้อยอย่างนั้น จะว่าเป็นเพราะเมาก็คงไม่ใช่อย่างนั้น มันคงเป็นความรู้สึกในใจลึกๆ ของเขามากกว่าอื่นใด

ร่างสูงอุ่นร่างกายแล้วก็วิ่งไปตามถนนมุ่งหน้าไปทางไร่องุ่น เขาวิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงฟาร์มนกกระจอกเทศแล้ววิ่งลงไปในทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีเนื้อที่โล่งกว้างมองเห็นทิวเขาสีน้ำเงินไกลๆ ซึ่งยามเช้าเช่นนี้หมอกยังหนาอยู่ ชายหนุ่มเดินออกกำลังกายไปถึงคอกม้าแล้วก็หยุดออกกำลังกายเบาๆ อยู่ตรงนั้น

ไกลออกไปเขาเห็นคนงานในฟาร์มหลายคนที่ตื่นเช้าและมาทำงานราวกับวันปกติ ดูเหมือนว่าที่นี่ผู้คนจะขยันและตื่นเช้าแม้จะเป็นวันหยุด ชายหนุ่มกวาดสายตามองทุ่งหญ้าเขียวขจีโล่งกว้างที่แลเลยไปจรดทิวเขาซึ่งไกลออกไปลิบๆ สลัวในม่านหมอกพร้อมกับแสงสีทองอบอุ่นของดวงอาทิตย์ ร่างสูงเดินไปตามทุ่งหญ้านั้นเรื่อยๆ มีฝูงม้าฝูงใหญ่ที่และเล็มหญ้าอยู่เบื้องหน้า เจ้าทาโร่รวมอยู่ในฝูงนั้นด้วย เขามองแล้วก็เดินมาหยุดตรงเนินหญ้าเขียวขจีใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ชายหนุ่มเป่าปากเสียงแหลมเล็กขึ้นทำให้เจ้าทาโร่ที่กำลังและเล็มหญ้าอยู่ในฝูงผงกหัวขึ้นเบือนมองมาทางเขา ก่อนจะวิ่งควบออกจากฝูงตรงมาหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อมาถึงเจ้าทาโร่ก็เอาหัวดันร่างสูงเบาๆ เป็นการทักทาย กายเทพยิ้มให้พลางลูบแผงขนบนลำคอเบาๆ

“ไงทาโร่...ตื่นเช้าเหมือนกันนะแกเนี่ย” ทาโร่ยกขาหน้าทั้งสองตะกายอากาศพลางร้องฮี้ๆ กายเทพลูบแผงขนเบาๆ นึกถึงคำพูดของพ่อเลี้ยงพนาเมื่อคืนนี้แล้วให้รู้สึกสงสารเจ้าทาโร่ ความผิดพลาดจากการแข่งขันทำให้มันเกือบจะถูกปลิดชีพ แต่ก็โชคดีที่บิดาของเขาไปพบและซื้อมาจากพ่อเลี้ยงพนาเสียก่อน

“แกหลงรักสาวบ้างมั้ยทาโร่” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ทาโร่ผงกหัวขึ้นลงเบาๆ เขาได้แต่ยิ้มเมื่อเห็นมันทำราวกับว่าเข้าใจภาษาที่เขาพูด

“แกก็มีแฟนด้วยหรือ...ไหนล่ะ” เขาถามอีก ทาโร่หันหน้าไปทางฝูงม้าในทุ่งหญ้าพลางยื่นปากบอกให้รู้ กายเทพได้แต่หัวเราะๆ อย่างเอ็นดู

“แกแสนรู้อย่างนี้ทำไมเขาถึงใจร้ายกับแกได้ลงคอกันนะ...ว่ามั้ย” ทาโร่ได้ยินก็สลัดแผงขนแล้วหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะเดินผละเข้าฝูงไป

ร่างสูงยืนมองทาโร่อยู่ครู่ใหญ่จึงหมุนกายจะเดินกลับ แต่ก็ได้ยินเสียงเรียกของใครคนหนึ่งแต่ไกล เมื่อหันไปมองก็เห็นนายครามกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีตรงมาหา

“คุณกายตื่นเช้าจัง...วันนี้วันหยุดนี่ครับ” นายครามบอกพลางเหนื่อยหอบเมื่อเดินมาถึงชายหนุ่ม ร่างสูงได้แต่ยิ้มพลางหันมองไปทางฝูงม้าแวบหนึ่งก่อนจะหันมาทางนายคราม

“อยากจะตื่นสายๆ เหมือนกันครับ แต่พอถึงยามเช้าก็รู้สึกตัวทุกที”

บอกแล้วร่างสูงก็เดินช้าๆ มุ่งหน้าไปทางบ้านพักในฟาร์มซึ่งอยู่ติดกับถนนใหญ่เบื้องหน้า นายครามเดินตามมาติดๆ

“เมื่อกี้ผมแวะไปที่บ้าน แต่ไม่เห็นคุณกาย ก็เลยต้องขี่รถเครื่องย้อนกลับมา ไม่คิดว่าคุณกายจะมาที่นี่เช้าแบบนี้”

“มีอะไรหรือครับ” เขาหันมาถามพลางเดินไปเรื่อยๆ

“ผมว่าจะให้กุหลาบไปทำความสะอาดบ้านให้น่ะครับ เห็นว่าเป็นวันหยุดคงจะเหมาะกว่าวันทำงานปกติ”

ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ “งั้นน้าครามก็บอกกุหลาบไปจัดการได้เลย...ฉันอนุญาต”

ทั้งสองเดินมาถึงบ้านพัก นายครามจึงเข้าไปหยิบขวดน้ำดื่มในตู้เย็นออกมาส่งให้ชายหนุ่ม กายเทพรับมาเปิดดื่มก่อนจะถือไว้

“ทาโร่มีลูกกี่ตัวแล้วครับน้าคราม”

“ทาโร่หรือครับ ก็มีสามตัวแล้วล่ะครับ พ่อเลี้ยงพนามาเห็นลูกของมันยังอยากจะได้ไปไว้ที่ฟาร์มม้าเลย แต่คุณท่านไม่ให้หรอกครับ สงสาร เดี๋ยวก็ขุนให้โตแล้วก็เอาไปลงแข่ง...พอบาดเจ็บหรือป่วยมาก็ทำท่าจะฆ่าจะแกงท่าเดียว” นายครามบอกอย่างรู้เบื้องลึกอดีตของพ่อเลี้ยงพนา กายเทพพยักหน้ารับรู้พลางครุ่นคิดบางอย่างในใจ

“ทำไมพ่อเลี้ยงต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะครับ” เขาถามอย่างสงสัย นายครามใช้ผ้าขาวม้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้าก่อนตอบ

“ถ้าม้าบาดเจ็บก็ไม่สามารถลงแข่งได้อีก...เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ จะเอาไปทำพันธุ์ก็ไม่ได้...มีทางเดียวก็คือฆ่าเอาเนื้อไปขายน่ะครับ...คุณกายอย่าคิดมากเลยครับ ที่ไหนๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ”

“แต่มันก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือครับ”

นายครามนิ่งเงียบเมื่อได้ยินเจ้านายหนุ่มบอกอย่างนั้น “วิธีอื่นก็มีครับ แต่ก็มีน้อยคนที่จะเลือกวิธีรักษาแล้วเลี้ยงไว้จนมันตายไปเอง...ว่าแต่คุณกายทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะครับ”

ชายหนุ่มมองไปทางฝูงม้าที่เห็นอยู่ไกลๆ พลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดเหงื่อ “ฉันแค่อยากจะรู้น่ะครับ เห็นพ่อเลี้ยงบอกว่ามีม้าแข่งในฟาร์มหลายสายพันธุ์และยังเชิญผมไปดูที่ฟาร์มอีก”

นายครามได้ยินก็ถอนใจยาวอย่างปลงๆ “อย่าไปคิดมากเลยครับ ในเมื่อเขาจะทำอย่างนั้นกับม้าของเขา เราก็คงไปห้ามไม่ได้หรอกครับ ว่าแต่เมื่อคืนกลับมาจากงานเลี้ยงดึกมากมั้ยครับ”

“ประมาณเที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้ครับ”

คำตอบของกายเทพทำให้นายครามได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ กายเทพเบือนหน้ามองแล้วเลิกคิ้วสูง

“มีอะไรหรือครับ”

“ผมกำลังนึกภาพที่พ่อเลี้ยงมองคุณชุและคุณริลตาเป็นมันแล้วก็ได้แต่อดขำไม่ได้”

ชายหนุ่มหันมายิ้มให้แล้วยักไหล่น้อยๆ “น้าครามคงจะขำไม่ออกถ้าได้ยินพ่อเลี้ยงขอให้คุณน้านอนค้างที่นั่นสักคืน” คำตอบของกายเทพทำเอาคนดูแลไร่ร่างผอมคล้ำได้แต่นิ่งงัน

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ...ท่าทางพ่อเลี้ยงจะเอาจริงนะครับงานนี้”

“จริงไม่จริง ถ้าฉันปล่อยให้คุณน้าค้างที่นั่นก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“แล้วคุณริลล่ะครับ” นายครามถามถึงชริลเมื่อนึกเป็นห่วงขึ้นมาบ้าง กายเทพยิ้มน้อยๆ เมื่อหันมาตอบ

“น้าครามคิดหรือว่าฉันจะปล่อยให้คุณริลตกอยู่ในปากเสืออย่างนั้น”

ได้ยินคำตอบนายครามถึงกับยิ้มกว้าง “ดีแล้วล่ะครับ ผมยิ่งหวั่นๆ ไม่ค่อยไว้ใจพ่อเลี้ยงสักเท่าไหร่”

กายเทพได้แต่พยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจก่อนจะถามเรื่องอื่น

“แล้วเรื่องรถคุณริลไปถึงไหนแล้วครับ”

“ผมโทร.ไปถามช่างเมื่อวานตอนเย็น ช่างบอกว่าซ่อมเรียบร้อยแล้วครับ”

“ดีเหมือนกัน เดี๋ยววันนี้ฉันกับคุณริลต้องเข้าไปในเมืองด้วยกัน จะได้แวะไปรับรถด้วย ฉันกลับก่อนล่ะน้าคราม แล้วก็บอกกุหลาบไปทำความสะอาดบ้านได้เลย”

ชายหนุ่มยื่นขวดน้ำให้แล้วจะเดินกลับบ้าน แต่นายครามเรียกไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนครับคุณกาย”

“มีอะไรหรือครับ” เขาหันมาถาม

“ผมเกือบลืมบอก...พอดีเมื่อเช้านี้ตอนที่ผมแวะไปที่บ้านคุณกาย ก็พอดีมีโทรศัพท์จากทนายก้องเกียรติโทร.มา เห็นบอกว่า วันมะรืนนี้จะมาที่ไร่เพื่อพบคุณกายน่ะครับ”

“ทนายก้องเกียรติหรือ” เขาพึมพำเบาๆ พลางนิ่งครุ่นคิด มีเรื่องเดียวที่ทนายก้องเกียรติต้องการพบเขาก็คือเรื่องพินัยกรรม คงใกล้ถึงวันครบกำหนดตามที่พินัยกรรมระบุไว้แล้ว เมื่อนึกดังนั้นชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนใจยาว

“มีเรื่องสำคัญหรือครับคุณกาย”

“ก็คงจะเป็นเรื่องพินัยกรรมที่คุณพ่อระบุไว้น่ะ...เพราะถ้าฉันกลับมาจากออสเตรเลียครบตามที่กำหนดแล้ว ทนายก้องเกียรติจะนำจดหมายที่คุณพ่อฝากไว้มาให้ฉัน มันเป็นอีกข้อหนึ่งในพินัยกรรมที่คุณพ่อระบุเอาไว้ก่อนจะบินไปเมืองนอก”

“แล้วมันจะเกี่ยวกับไร่องุ่นมั้ยครับ” นายครามถามอย่างเป็นกังวล เพราะอาจจะเกี่ยวกับไร่องุ่นและกิจการอื่นๆ ก็ได้

“น่าจะเกี่ยวกับฉันโดยตรงมากกว่าเรื่องอื่น...น้าครามไม่ต้องกังวลหรอก...เพราะที่ฉันกลับมาที่นี่ก็เกี่ยวกับพินัยกรรมโดยตรง และอีกส่วนที่คุณพ่อระบุเอาไว้ก็คงไม่พ้นเกี่ยวกับฉันหรอก”

ชายหนุ่มบอกแล้วก็ถอนใจอีกครั้ง นายครามได้แต่มองเห็นใจนายหนุ่ม แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ กายเทพคุยกับนายครามสักพักก็ขอตัวกลับมาที่บ้าน ชายหนุ่มวิ่งมาตามถนนไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน เขามองไปทางบ้านของชุอรจึงเห็นแก้วลงมารดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านโดยมีเด็กชายองุ่นวิ่งเล่นอยู่แถวนั้น ชายหนุ่มนึกถึงชริลอย่างเป็นกังวล ด้วยเรื่องราวของพินัยกรรมที่บิดาระบุเอาไว้จะเกี่ยวกับเธอหรือเปล่า ถ้าหากเป็นอย่างนั้นแล้วอะไรจะเกิดขึ้นเล่า

ร่างสูงได้แต่ถอนใจยาวก่อนจะผละเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำแต่งตัว และที่สำคัญเขาต้องไปรับสาวน้อยที่บ้านด้วย

>>>>>>>>>

แสงแดดยามสายสาดเข้ามาในห้องนอนปลุกชริลให้รู้สึกตัวตื่น หญิงสาวลุกมาเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์ยามสายแล้วบิดขี้เกียจ พลันสายตาของเธอก็เหลือบเห็นร่างสูงของกายเทพเพิ่งเดินเข้าไปในบ้าน เธอถึงกับมองแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะตื่นเช้าได้ทั้งที่เมาหนักออกอย่างนั้น

หญิงสาวได้แต่อมยิ้มเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่ชายหนุ่มพร่ำบอกเมื่อคืนนี้ พบหน้ากันในเช้านี้เขาจะลืมเรื่องที่พูดหรือเปล่านะ...เธอได้แต่คิดในใจก่อนจะฉวยผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อยเพราะมีนัดกับชายหนุ่มเอาไว้แล้ว

ผิดกับชุอรที่วันนี้ช่างทรมานเหลือเกินเพราะพอตื่นขึ้นมาก็มีอาการเมาค้างเพราะบ้านยังหมุนๆ อยู่เลย เธอทำธุระเสร็จแล้วก็ลงมานั่งจิบกาแฟรับแสงแดดอุ่นยามสายที่หน้าบ้าน องุ่นลูกชายของแก้ววิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ส่วนแก้วนั้นเข้าครัวทำธุระของตัวเองอยู่ด้านใน

ชุอรนั่งจิบกาแฟสักพักก็เห็นรถจี๊ปของกายเทพแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เด็กชายองุ่นเห็นดังนั้นก็วิ่งแจ้นมาหาชุอรสีหน้าหวั่นๆ

“มีอะไรหรือองุ่น” ชุอรถามเพราะเห็นองุ่นมองเขม็งไปทางร่างสูงของกายเทพที่กำลังลงจากรถจี๊ป

“คนบ้าครับ”

“ไหนคนบ้า...ไม่เห็นมีเลย เห็นแต่คุณกาย เอ๊ะ!” ชุอรชักเอะใจขึ้นมาเพราะองุ่นยังมองร่างสูงที่เดินยิ้มเผล่มาหาไม่วางตา แถมยังคว้าหนังสะติ๊กมาใส่ก้อนหินเตรียมยิง

“นี่คุณกายนะจ๊ะองุ่น ไม่ใช่คนบ้า”

“ไม่ใช่หรอกครับ พี่ริลยังบอกองุ่นเลยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนบ้า เพราะชอบรังแกพี่ริลด้วย” องุ่นยืนกราน เมื่อร่างสูงเดินมาใกล้เด็กชายก็ทำท่าจะวิ่งแจ้นเข้าไปในบ้านแต่กายเทพฉวยคอเสื้อรั้งเอาไว้

“ปล่อยนะคนบ้า...ไม่งั้นฉันจะบอกพี่ริลมาจัดการเลย” เด็กชายดิ้นรนให้หลุด กายเทพเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินดังนั้น หากเขาก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า คงจะเป็นการเข้าใจผิดบางอย่างเป็นแน่ ชุอรได้แต่มองเพราะทำอะไรไม่ถูกที่เห็นชายหนุ่มจับเด็กชายเอาไว้

“คุณริลบอกอย่างนั้นหรือ”

“ใช่!...ปล่อยนะ ไม่งั้นฉันจะยิงด้วยหนังสะติ๊กนี่” เด็กชายทั้งดิ้นทั้งขู่พร้อมกับหยิบก้อนหินมาใส่หนังสะติ๊กจะเหนี่ยว หากกายเทพกลับไม่ปล่อยให้เด็กชายทำอย่างนั้นพร้อมกับจับขาองุ่นชี้ขึ้นฟ้า ตัวโตๆ ของเขากับเด็กชายตัวเล็กๆ ช่างต่างกันราวคนกับยักษ์ เด็กชายได้แต่ร้องเสียงหลงแล้วหนังสะติ๊กก็หลุดจากมือ

“ปล่อยนะ พี่ริล..พี่ริลช่วยด้วย” เด็กชายร้องเมื่อกายเทพยังไม่ปล่อยลงพื้น

“คุณกายคะ ปล่อยองุ่นเถอะค่ะ เดี๋ยวก็เลือดลงสมองหมดหรอกค่ะ” ชุอรร้องห้ามอย่างหวั่นๆ เพราะเห็นกายเทพยังจับองุ่นเขย่าขึ้นลงอยู่อย่างนั้นจนก้อนหินที่ใช้เป็นกระสุนร่วงลงเกลื่อนบนพื้น

“ถ้างั้นก็ไปตามคุณริลมาจัดการเร็วๆ เลยนะ” ชายหนุ่มบอกแล้วยิ้มมุมปากพร้อมกับปล่อยองุ่นลงพื้น พอพ้นจากมือแข็งแรงของชายหนุ่มเด็กชายก็วิ่งแจ้นเข้าไปในบ้านทันที กายเทพได้แต่หัวเราะขำๆ กับท่าทางนั้น ชุอรก็พลอยยิ้มขำไปด้วย

“คุณกายนี่เล่นอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวองุ่นก็เข้าใจผิดไปกันใหญ่หรอกค่ะ”

ร่างสูงยักไหล่น้อยๆ ใบหน้าเกลื่อนยิ้มก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้ามชุอร เธอเพิ่งสังเกตเห็นชัดตาตัวเองว่ากายเทพแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ดูหล่อเนี้ยบเชียว

“อยากเข้าใจผิดก็ต้องแกล้งซะให้เข็ด...ว่าแต่เมื่อคืนคุณน้านอนหลับสบายดีมั้ยครับ” เขาถามด้วยรอยยิ้มพลางเหลียวมองเข้าไปในบ้าน ชุอรยิ้มหวานให้เขารู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนนี้

“ก็จะไม่ให้หลับสบายยังไงล่ะคะ แม้แต่ตอนนี้น้าก็ยังมึนๆ หัวอยู่เลย ว่าแต่คุณกายเถอะ ดื่มมากอย่างนั้นไม่เมาแย่หรือคะ”

“ก็นิดหน่อยครับ” เขาตอบพลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้านอีก ชุอรเห็นสายตาชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่ากำลังมองหาใครอยู่

“สงสัยยัยริลจะยังไม่ตื่นมั้งคะ แล้วเมื่อคืนน้าเมามากเลยใช่มั้ยคะ...น่าอายจัง...รั่วจนไม่ไว้หน้าตัวเองเลย น่าเกลียดมากเลยใช่มั้ยคะ เห็นทีน้าคงไม่ดื่มไวน์อีกแล้ว”

สาวใหญ่บอกแล้วก็หน้าแดงเมื่อเห็นสายตาคมเข้มของชายหนุ่มที่เอาแต่มองยิ้มๆ อยู่อย่างนั้น

“ไม่หรอกครับ ทุกคนก็เมากันหมด ถ้าดื่มแล้วไม่เมาสิครับแปลก” เขาบอกให้เธอสบายใจ ชุอรตีแขนชายหนุ่มเบาๆ แก้เขิน

“คุณกายก็เถอะ แทนที่จะห้ามปรามน้าบ้าง กลับปล่อยให้น้าดื่มตั้งหลายแก้วจนเมาไม่รู้เรื่อง แล้วนี่เมื่อคืนใครเป็นคนขับรถมาส่งที่บ้านคะ...คุณกายหรือยัยริล”

กายเทพยิ้มก่อนตอบ “ผมขับมาเองครับ”

“ตายแล้ว!...นี่คุณกายขับเองหรือคะ น้าคิดว่ายัยริลเป็นคนขับเสียอีก...ไม่เอาแล้วนะคะ ดื่มแล้วขับอย่างนี้อันตรายแย่เลย”

ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรอีกนอกจากยิ้มน้อยๆ พลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน แต่ก็ยังไม่เห็นร่างบางลงมาจากชั้นบนสักที ชุอรอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างกายเทพและชริลบ้าง เพราะเขามองเข้าไปในบ้านเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ก็คงไม่พ้นทะเลาะกันเหมือนเดิม หากภาพตอนที่เธอเมาแล้วซวนเซซบบนแผงอกอุ่นของชายหนุ่มกลับเลื่อนเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ตั้งแต่เป็นสาวจนอายุปูนนี้แล้วก็เพิ่งเกิดความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ยามได้ใกล้ชิดชายหนุ่ม

หรือว่า...?!

กายเทพเห็นสายตาแพรวพราวของสาวใหญ่ตรงหน้าที่มองเขาอยู่ก็ให้แปลกใจอย่างมาก ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ...แต่คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกมั้ง เขาคงคิดมากไปเอง ชายหนุ่มได้แต่คิดว่าชุอรคงไม่มีความรู้สึกพิเศษกับเขาได้หรอก เพราะอายุห่างกันเกินไป และเขาก็นับถือในฐานะเป็นน้ามากกว่าอื่นใด

คุยกันได้สักพัก กายเทพก็เห็นชริลเดินลงมาจากชั้นบนโดยมีองุ่นเกาะแขนมาด้วย เธออยู่ในชุดเสื้อยืดสีชมพูหวานแหวว มีเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายตั้งสวมทับเอาไว้ ขาเนียนขาวที่เห็นเมื่อคืนถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้กางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูปสวย เส้นผมดำขลับสลวยราวเส้นไหมที่เคยถักเปียและมัดรวบเอาไว้ข้างหลัง บัดนี้กลับปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังและพลิ้วไหวตามจังหวะเดินของร่างบาง

ชริลเดินลงมาถึงข้างล่างก็มองเห็นกายเทพนั่งอยู่กับคนเป็นอาที่หน้าบ้าน สายตาคมเข้มแลดูอบอุ่นของกายเทพมองผ่านมาที่เธอนิ่งๆ หญิงสาวหยุดยืนนิ่งมองสบตาเขาเช่นกันพร้อมกับมีรอยยิ้มน่ารักๆ นั้นส่งให้ ทำเอาองุ่นที่เกาะแขนชริลไม่ยอมปล่อยได้แต่มองนิ่วหน้าอย่างสงสัย องุ่นเขย่าแขนเบาๆ ร่างบางจึงก้มลงมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ

“มีอะไรหรือองุ่น”

“เขาไงครับ...คนบ้าที่พี่ริลบอก” องุ่นกระซิบกระซาบเบาๆ เกรงว่า ‘คนบ้า’ที่บอกจะได้ยิน หากคำตอบขององุ่นกลับทำให้ชริลถึงกับยิ้มเจื่อน

“เอ่อ...ไม่ใช่หรอกองุ่น...คุณกายไง”

“ใช่สิครับ ก็องุ่นจำรถของเขาได้..รถคันที่พี่ริลนั่งไปกับเขาไง” องุ่นยังไม่ยอมหยุด ชริลเหลือบสายตามองเพดานก่อนจะย่อกายนั่งลงแล้วกระซิบบอกองุ่นเบาๆ

“ที่พี่บอกองุ่นว่าคุณกายเป็นคนบ้าน่ะ ก็เพราะเข้าใจผิดน่ะ เขาไม่ใช่คนบ้า เขาคือคุณกาย ลูกชายคุณลุงเทพไงจ๊ะ”

องุ่นได้ฟังคำตอบก็ได้แต่ยกมือเกาหัวแกร็กๆ ก็ไหนพี่ริลบอก
เองว่าเป็นคนบ้านี่นา

“เขาไม่ทำร้ายพี่ริลแน่นะครับ”

ชริลพยักหน้าแข็งขันเป็นการยืนยัน องุ่นจึงยิ้มเต็มหน้า เมื่อเห็นว่าเด็กชายกระจ่างกับความเข้าใจผิดแล้วร่างบางก็จูงมือองุ่นเดินออกมาหาชุอรและกายเทพที่นั่งอยู่หน้าบ้าน

“มานานแล้วหรือคะ” เธอถามด้วยรอยยิ้มน่ารัก องุ่นพยายามหลบๆ ไม่ให้กายเทพเห็น

“เพิ่งมาได้สักครู่ครับ แล้วนี่คุณไปบอกอะไรองุ่นล่ะถึงหาว่าผมเป็นคนบ้าน่ะ”

กายเทพถามขึ้นพลางเหลือบมององุ่นที่หลบอยู่ข้างหลังชริล เด็กชายเห็นเขามองก็รีบหลบไม่ให้เห็น...ชริลได้แต่ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทางขององุ่น

“ก็คุณกายทำให้ฉันโมโหนี่คะ” เธอตอบพลางลอยหน้าลอยตา กายเทพได้แต่ยิ้ม หากเป็นรอยยิ้มที่ชุอรมองแล้วไม่เหมือนรอยยิ้มของวันเก่าๆ แววตาที่มองก็ไม่เหมือนเดิมเลย พอเธอหันมามองคนเป็นหลานสาวก็เห็นใบหน้านวลผ่องนั้นมีแต่รอยยิ้มแต้ม พวงแก้มดูเปล่งเรื่อจนน่าสงสัย

“วันนี้อารมณ์ดีจริงนะเรา ว่าแต่จะไปไหนกันหรือ” ชุอรหันมาถามชริลเมื่อเธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวข้างๆ องุ่นยังหลบข้างหลังชริลแอบมองกายเทพอย่างจับผิด

“ก็...เอ่อ...”

“พอดีว่าคุณกุลและคุณนุชวนคุณริลกับผมไปดูหนังเลี้ยงวันเกิดน่ะครับคุณน้า ผมเห็นว่าคุณกุลชวนและกลัวจะเสียมารยาทก็เลยรับปากเธอไป”

ชุอรได้ยินเช่นนั้นก็หันมองหน้าหลานสาวอย่างแปลกใจ แต่ก็ต้องยิ้มกลบเกลื่อนไว้พร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง

“นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว เราก็น่าตีนักเชียว ไม่ดูแลอาบ้างเลย” ชุอรบ่นให้หลานสาวไม่จริงจังนัก ชริลได้แต่ยิ้มขำที่เห็นคนเป็นอาหน้าแดงเรื่อขึ้น

“แหม...ก็ริลไม่ค่อยเห็นอาชุไปสังสรรค์ที่ไหนบ่อยๆ นี่คะ ก็เลยปล่อยให้เต็มที่ก็เท่านั้นเอง” ชริลบอกยิ้มๆ พลางเหลือบมองไปทางชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มรู้กัน

คุยกันได้สักครู่กายเทพก็ยกนาฬิกาบนข้อมือดูเวลา “ผมว่าเราไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณกุลและคุณนุจะรอดูหนัง...ผมขอตัวก่อนนะครับคุณน้า ดูหนังเสร็จแล้วผมจะพาคุณริลไปรับรถที่อู่ซ่อมด้วย น้าครามบอกว่าช่างซ่อมเสร็จแล้ว”

“จ้ะ...แล้วอย่ากลับบ้านค่ำมืดล่ะ บ้านไร่ของเราถึงจะไม่มีขโมยขโจรแต่ทางมันก็เปลี่ยว”

ชริลรับคำเบาๆ แล้วหันมามององุ่นก็เห็นสายตาเว้าวอนอยากไปด้วย หญิงสาวจึงกระซิบบอกบางอย่างทำให้องุ่นได้แต่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เมื่อจัดการเรื่ององุ่นได้แล้วหญิงสาวจึงผละเดินไปขึ้นรถจี๊ปซึ่งร่างสูงนั่งอยู่บนรถพร้อมกับสตาร์ตรออยู่ก่อนแล้ว ขณะกำลังจะปีนขึ้นรถกายเทพก็ยื่นมือมาให้จับแล้วดึงร่างบางขึ้นมานั่งบนเบาะข้างคนขับ ทั้งสองยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลื่อนรถออกไปช้าๆ ไม่กระชากเหมือนที่ผ่านมาเลยสักนิด ภาพเหล่านั้นอยู่ในสายตาของชุอรตลอด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ชั่วข้ามคืนทั้งสองจากที่เคยทะเลาะกันกลับกลายเป็นดีกันได้เร็วเพียงนี้ สาวใหญ่ได้แต่มองสงสัยไม่น้อยว่าเมื่อคืนต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ

รถจี๊ปที่กายเทพและชริลนั่งมาด้วยกันแล่นเรื่อยๆ ไปตามถนนมุ่งหน้าเข้าเมือง ตลอดเส้นทางนั้นผ่านไร่ต่างๆ และก็ผ่านทุ่งหญ้าโล่งกว้างมองเห็นทิวเขาไกลๆ เป็นสีน้ำเงินเข้ม ขณะรถแล่นขึ้นเนินและเลี้ยวไปตามถนนคดโค้งจนกระทั่งถึงทางตรงมุ่งหน้าเข้าเมืองนั้น ชริลก็รู้สึกแปลกๆ จึงเบือนหน้ามองสารถีหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มในสีหน้า

“มีอะไรน่าขำหรือคะ” เธอหันมาถามตรงๆ กายเทพหันมายิ้มก่อนจะมองถนนเบื้องหน้า

“คุณบอกองุ่นหรือว่าผมเป็นคนบ้า!” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ ร่างบางได้แต่ยิ้มแหยพลางใช้นิ้วงามเกี่ยวเส้นผมที่ปลิวตามแรงลมเอาไว้

“ก็มันน่าโมโหมั้ยล่ะคะ” เธอบอกเสียงงอนๆ

“อะไรหรือ” กายเทพเบือนหน้ามองพลางเลิกคิ้วสงสัย

“ก็...ไม่รู้สิคะ!” จู่ๆ เธอก็ไม่ตอบเสียเฉยๆ แต่กายเทพก็เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร คงเป็นเพราะเขา ‘จูบ’ เธอตั้งแต่วันแรกกระมังถึงทำให้เธอโกรธได้ขนาดนี้

“แน่ใจว่าไม่รู้...แต่ผมรู้นะว่าเรื่องอะไร”

“บ้า!...ใครให้พูดกันคะ” เธอบอกอายๆ

กายเทพเบือนมองซีกหน้านวลของชริลแล้วก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เส้นผมดำขลับราวเส้นไหมปลิวสยายไปตามแรงลม เผยให้เห็นใบหน้าได้รูปสวยนั้นเด่นชัด ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้รู้ว่าวันเวลาที่ผ่านมานั้นมีค่าแค่ไหน...เขาไม่น่ามองข้ามความรู้สึกนี้ต่อเธอไปเลย

“คุณเอาชุดที่ใส่เมื่อคืนไปทิ้งหรือยังครับ”

สาวน้อยได้ยินดังนั้นก็ได้แต่หันมายิ้มขำจนกายเทพต้องเบือนหน้ามาถามสงสัย

“คุณยังไม่เอาไปทิ้งอีกหรือ”

“ทำไมต้องทิ้งด้วยล่ะคะ”

“ก็มันขวางลูกกะตาผมยังไงล่ะ...ผมจะได้ซื้อชุดใหม่ให้คุณ” เขาบอกพลางยิ้มน้อยๆ

“ซื้อก็ซื้อสิคะ...ใครว่าอะไรล่ะ” เธอบอกแล้วยิ้มน้อยๆ พลางเบือนหน้ามองซีกหน้าคมเข้มของกายเทพในขณะที่เขาทำหน้าที่สารถีอย่างมีสมาธิ ใบหน้าหล่อเหลาอันคุ้นเคยมานาน...ช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษเหลือเกินเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้ต้องการทอดทิ้งเธอให้เดียวดาย...แต่เหตุไฉนเขาถึงไม่ยอมกลับมาหาเธอหลังจากเรียนจบ...หรือว่าเขาจะมีคนอื่น...คงไม่หรอกมั้ง สาวน้อยนึกแล้วก็ใจหาย ถ้าหากวันหนึ่งคนรักของเขาโผล่มาให้เห็นเธอคงทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ เลย

“พี่กายขา!”

คำเรียกเบาๆ ของร่างบางทำเอากายเทพเสียสมาธิในการขับรถจนทำให้รถเสียการทรงตัวไปวูบหนึ่งก่อนจะตั้งสติได้แล้วผ่อนคันเร่งเลี้ยวจอดริมทางพร้อมกับเบือนมองหน้าหญิงสาว

“เมื่อกี้คุณเรียกผมว่า...?!”

ดวงตากลมโตของชริลเหลือบขึ้นมองหน้าชายหนุ่มนิ่งๆ รอยยิ้มน้อยๆ แต้มบนเรียวปากอิ่มของเธอ กายเทพเห็นสาวน้อยเอาแต่นั่งมองเขาตาไม่กะพริบ เขานั่งนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้ามาทางเธอ

“ไหนลองเรียกพี่อีกครั้งซิครับ”

“พี่กายขา!” เธอเอ่ยเบาๆ ราวกับว่าเสียงเรียกนั้นแผ่วหายในลำคอ กายเทพเห็นแววตาใสๆ ของสาวน้อยที่มองก็เข้าใจความหมาย ไม่มีวันที่เขาจะปฏิเสธได้ว่าเธอไม่เคยลืมเขาจริงๆ ทั้งที่คำเรียกนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว สิ่งที่เธอเคยบอกว่าลืมไปแล้วคือคำโกหกเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มเอื้อมมือจับมือเธอขึ้นมากุมเอาไว้เบาๆ ดวงตาคมเข้มคู่นั้นมองสบตาคู่สวยกระจ่างใสของชริลอย่างอ่อนโยน

“พี่ดีใจจังที่ริลเรียกพี่อย่างนี้”

ดวงตากลมโตกระจ่างใสของเธอยังจับอยู่ที่ใบหน้าของเขาไม่วางตาเหมือนมีคำถามมากมายในแววตาคู่นั้น

“ริลอยากจะถามอะไรพี่หรือครับ”

“พี่กายหายไปไหนตั้งหลายปีคะ ทำไมเพิ่งกลับมา”

กายเทพยิ้มอ่อนโยนให้เธอก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มเบาๆ “ที่จริงพี่อยากจะกลับมาตั้งหลายปีแล้วล่ะ แต่ติดสัญญาจ้างกับบริษัททางโน้น...พอดี...เอ่อ...คุณพ่ออยากให้พี่กลับมาดูแลไร่...พี่ก็เลยต้องกลับมา...มันอาจจะหลายปี แต่พี่ก็ไม่เคยลืมริลเลย”

ชายหนุ่มบอกแล้วก็ยิ้มให้น้อยๆ เขาจะบอกเธอได้อย่างไรกันเล่าว่าเหตุผลที่กลับมาเพราะพินัยกรรมของคุณพ่อ...ใช่ว่าเขาจะไม่อยากกลับมาเสียเมื่อไหร่ แต่พันธะสัญญากับบริษัททำไวน์ที่ทำงานอยู่ก็ผูกมัดเกินกว่าจะกลับมาในเร็ววัน หลายปีแล้วที่บิดาอยากให้เขากลับมาดูแลไร่องุ่น หากเขาก็ผัดวันประกันพรุ่งมาตลอดเพราะต้องการหาประสบการณ์ในการทำงาน จนกระทั่งหมดสัญญาจ้างไปเมื่อไม่กี่เดือน อีกทั้งเป็นเวลาเดียวกับที่บิดาได้ยื่นข้อเสนอเรื่องพินัยกรรมบีบให้เขาต้องกลับมาที่นี่ ซึ่งในพินัยกรรมก็มีเธอเป็นเงื่อนไขเช่นกัน...แล้วเขาจะบอกเธอได้อย่างไรกันเล่าว่าเป็นเพราะพินัยกรรมของบิดาที่ทำให้เขาต้องกลับมาด่วนโดยไม่ได้บอกให้เธอและคนอื่นๆ รู้ล่วงหน้า ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาตั้งใจจะกลับมาหลังจากหมดสัญญากับบริษัททางโน้นอยู่แล้ว

“พี่กายจะไม่กลับไปออสเตรเลียอีกแล้วใช่มั้ยคะ”

กายเทพยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเป็นคำตอบทำให้ชริลมีรอยยิ้มน้อยๆ

“พี่ไม่กลับไปอีกแล้วล่ะ...และพี่จะไม่ทิ้งริลไปไหนอีก”

คำบอกของกายเทพทำให้ชริลตื้นตันในหัวใจ ถ้าหากคำบอกของเขาไม่ใช่คำแก้ตัวลมๆ แล้งๆ แล้วละก็ ต่อไปนี้เธอจะไม่ได้รู้สึกอ้างว้างในยามว้าเหว่อีก ความรู้สึกนี้ไม่ได้มีแค่เธอเท่านั้นที่รับรู้ หากชายหนุ่มก็ไม่เช่นกัน เด็กหญิงตัวเล็กๆ ซึ่งขาดที่พึ่งพิงให้ความอบอุ่นในวัยเด็กเพราะสูญเสียบิดามารดาไปนั้น เขารู้ดีว่ามันเจ็บปวดสักแค่ไหน...เขาอยากดูแลเธอ อยากอยู่ใกล้ๆ เธอตลอดไปโดยไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีก...คำพร่ำบอกของบิดาก็ก้องในหัว ถ้าหากพินัยกรรมที่บิดาระบุไว้เกี่ยวกับชริลแล้ว เขาจะทำอย่างไรถ้าหากเธอรู้ความจริง...ความจริงที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตระหว่างเธอและเขา

ชายหนุ่มเอื้อมมือจับปอยผมที่ระแก้มนวลเก็บไว้ข้างหลังแล้วยิ้มทำให้สาวน้อยอายจนหน้าแดงเรื่อ เพราะมือของเขาโดนแก้มเธอเบาๆ

“เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณกุลและคุณนุจะรอนะ”

เขาเอ่ยเบาๆ ชริลพยักหน้าให้ทั้งรอยยิ้ม คำพูดทั้งหลายแหล่ที่พรั่งพรูจากชายหนุ่มเมื่อคืนนี้คงไม่ได้พูดเพราะแอลกอฮอล์พาไป แต่คงมาจากความรู้สึกและหัวใจเขามากกว่า

ชายหนุ่มยิ้มให้แล้วก็เคลื่อนรถไปตามถนนมุ่งหน้าเข้าเมือง ชริลกลับมาร่าเริงอีกครั้ง เพราะรู้สึกสบายใจเมื่อได้ยินชายหนุ่มบอกอย่างนั้น ตลอดสองข้างทางมีวิวทิวทัศน์สวยงามให้น่ามอง สาวน้อยก็มิวายชี้ชวนให้เขาดูไปตลอดพร้อมกับพร่ำพูดแจ้วๆ ไม่หยุดปากจนกายเทพได้แต่ยิ้มไม่หุบไปตลอดเส้นทางเข้าเมืองนั้น


จบบทที่ 11





Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 10:16:54 น. 3 comments
Counter : 379 Pageviews.  

 
หุ หุ ความสุขชั่วครู่ชั่วยามรึปล่าวเนี่ย


โดย: ขาวน้ำผึ้ง วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:19:37 น.  

 


... ชอบใจชื่อตัวละครมากเลยค่ะ "กายเทพ"





โดย: พรายน้ำฟ้า วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:17:03 น.  

 
คุณขาวน้ำผึ้ง ไม่อยากบอกเลยครับเรื่องมันเศร้าอ่ะ

คุณพรายน้ำฟ้า ขอบคุณครับที่ชอบชื่อ "กายเทพ" ก็ติดตามกันต่อไปนะครับ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ
เพิ่งกลับมาจาก ตจว. ก็เลยรีบมาตอบไว้ก่อนครับ
ไว้วันเสาร์คงได้อ่านตอนต่อไป แต่ไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า
เพราะพักนี้นอนดึกบ่อยๆ ครับ แต่จะพยายาม
เขียนให้ไวนะครับ


โดย: พันชิต วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:14:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

พันชิต
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add พันชิต's blog to your web]