http://punchit.bloggang.com ความรัก ความเชื่อและศรัทธา 3 สิ่งนี้จะยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
25 ตุลาคม 2551

บ้านไร่กรุ่นไอรัก บทที่ 9

บ้านไร่กรุ่นไอรัก
บทที่ 9
.................................................................................................
ชริลเดินเข้ามาในบ้านก็พอดีเห็นอาสาวเพิ่งเดินลงมาจากชั้นบน สาวน้อยส่งยิ้มให้คนเป็นอาพลางร้องถามเมื่อเห็นท่าทางของชุอรกำลังชะเง้อมองหาใครอยู่

“อาชุมองหาใครอยู่หรือคะ”

“คุณกายมาส่งเราหรือ”

“ค่ะ...คุณกายมาส่งแล้วก็กลับไปแล้ว...มีอะไรหรือคะ” ชริลถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนเป็นอาชะเง้อมองผ่านเธอเหมือนจะมองหาคนที่กำลังถามถึง

“คุณกายรู้ใช่มั้ยว่าจะต้องไปงานเลี้ยงคืนนี้”

“รู้ค่ะ ก็คุณกายไปรับริลถึงไร่เพื่อจะไปงานเลี้ยงคืนนี้เอง คงไม่ลืมหรอกค่ะ”

คำตอบของหลานสาวทำเอาอาสาวใหญ่ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้น

“ถ้างั้นเราก็ไปอาบน้ำแต่งตัวรอคุณกายมารับดีกว่า...เดี๋ยวทางโน้นเขาจะรอ”

ชริลรับคำเบาๆ ก่อนจะผละขึ้นข้างบนไป หากชุอรยังมองออกไปนอกบ้าน มีรอยยิ้มเยื้อนแต้มบนใบหน้าอิ่มนั้น ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้ตื่นเต้น แปลกจังที่เธอรู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างประหลาด ราวกับว่าเลือดในกายสูบฉีด...จะไม่ให้รู้สึกตื่นเต้นและเต็มตื้นในใจได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อหลายปีมานี้เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย นอกจากขลุกอยู่แต่ในไร่และดูแลกิจการทั้งหมดเป็นระวิง

ร่างอวบอิ่มของชุอรหมุนกายเดินกลับขึ้นชั้นบนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวจะได้ไม่ต้องให้คนรอเสียเวลา เช่นเดียวกับชริล หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว หญิงสาวครุ่นคิดบางอย่างพร้อมกับหยิบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่พ่อเลี้ยงพนาซื้อมาฝากขึ้นดูอย่างเซ็งๆ

“พ่อเลี้ยงเอาแกมาให้ฉันเป็นตัวประกันหรือยังไงกันนะเจ้าหมีน้อย...แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงฉันก็เกลียดแกไม่ลงอยู่ดี!” หญิงสาวบอกพลางยิ้มแย้มกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ แต่ครั้นเหลียวไปมองตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่วางอยู่หัวเตียงนอน และอีกหลายตัวในตู้ ร่างบางก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ แม้จะได้ตัวใหม่มาแต่เธอก็ทิ้งตัวเก่าไม่ลง เพราะเจ้าหมีน้อยตัวนี้อยู่กับเธอมาตั้งแต่เล็กจนโตและคุ้นชินกับมันจนผูกพันเสียแล้ว นึกแล้วภาพในวานวันก็เลื่อนเข้ามาในความคำนึงอีกครั้ง ภาพวันเก่าๆ ที่กายเทพลงทุนกระโจนลงน้ำในลำธารเพื่อคว้าเจ้าหมีน้อยที่มันตกน้ำเพื่อมาให้เธอจนเขาเปียกปอนทั้งตัวยังอยู่ในความทรงจำ สาวน้อยได้แต่ยิ้มน้อยๆ เมื่อหยิบตุ๊กตาหมีมากอดกระชับในอ้อมแขนอย่างรู้สึกอบอุ่นใจ...ราวกับว่าภาพในอดีตครั้งยังเด็กเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้

แต่แล้วเหตุการณ์เมื่อเช้าที่กายเทพมีท่าทางปั้นปึ่งใส่เธอก็เลื่อนเข้ามาแทนที่ หญิงสาววางตุ๊กตาหมีพิงไว้หัวเตียงเคียงข้างตุ๊กตาหมีตัวใหม่ของพ่อเลี้ยงพนา

“เขาคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่โกรธเพราะเรื่องตุ๊กตาหมี...ไม่ใช่สิ เขาบ้าจริงๆ นั่นแหละ!”

เธอพึมพำแล้วก็ยิ้มขันกับตัวเองก่อนจะผุดลุกจากเตียงรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำโดยทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวกายเทพมารอนานแล้วจะพานป่วนเธออีก

สาวน้อยอาบน้ำสักพักก็ออกมาพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ด
เส้นผมที่สระสะอาดให้แห้ง ใบหน้านวลเนียนนั้นมิได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอะไรมากมายนัก นอกจากแป้งเด็กกลิ่นหอมอ่อนๆ เท่านั้นที่เธอใช้ประทินผิว...ส่วนเสื้อผ้านั้น ชริลเลือกชุดแล้วชุดเล่าก็ไม่ค่อยจะเหมาะกับเธอสักเท่าไหร่ ในที่สุดก็ได้ชุดกระโปรงยีนส์เข้ารูปสวยอวดเรียวขาขาวเนียนซึ่งเป็นชุดที่พ่อเลี้ยงพนาซื้อมาฝากเธอเมื่อคราวก่อน เส้นผมดำขลับมีกลิ่นแชมพูอ่อนๆ นั้นถูกมัดเอาไว้ด้วยโบสีชมพูหวานน่ารักทิ้งเส้นผมเป็นพวงเอาไว้ด้านหลัง พร้อมกับรองเท้าห่วงคล้องสีน้ำตาลพอดีเท้าที่เธอเลือกแล้วว่าเข้าชุดกันพอดี

เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยสาวน้อยจึงลงมานั่งรอคนเป็นอาที่ห้องนั่งเล่น เธอยกนาฬิกาบนข้อมือดูเวลาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นชุอรลงมาสักที จึงได้แต่แปลกใจว่าเหตุใดอาของเธอถึงแต่งตัวช้าเช่นนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วชุอรเป็นคนแต่งตัวเร็วและไม่พิถีพิถันอะไรมากมายนัก

ขณะกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าบ้านเบาๆ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าคนที่เคาะไม่ใช่ใครอื่น...กายเทพนั้นเอง

ร่างสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีเข้ม ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวสวมทับด้วยเสื้อแจ็กเกตยีนส์สีเข้มเข้ากันอย่างดี สวมรองเท้าผ้าใบยืนยิ้มอยู่หน้าประตูที่เพิ่งเปิดออก...หากมีบางอย่างทำให้สาวน้อยถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่...ใบหน้าของเขาที่เคยรกเรื้อด้วยหนวดเคราจนเจนตาของเธอ แต่ในเวลานี้อันตรธานหายไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงใบหน้าเกลี้ยงเกลา หล่อเหลาสะอาดสะอ้านเอี่ยมอ่องเช่นเดียวกับเส้นผมที่ถูกหวีไปข้างหลังเรียบแปร้ราวกับคุณชายลูกเจ้าขุนมูลนายเมื่อในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน

หน้าตาเหมือนโจรหลงยุคของเขาพอโกนหนวดเคราแล้วก็ดูหล่อเท่ไปอีกแบบดีเหมือนกันนะ...ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย เธอคิดอย่างนึกขำ...เช่นกันกับชายหนุ่มที่มองเธอนิ่งๆ เมื่อเห็นสาวน้อยใส่ชุดกระโปรงยาวถึงหัวเข่าอวดเรียวขาขาวๆ ให้น่ามองและก็ดูน่ารักอย่างที่กายเทพไม่เคยได้เห็นมาก่อน

สาวน้อยเผลอยืนมองนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกประหลาดเช่นนี้กระทั่งร่างสูงเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเธอ สายตาของเขามีแววกรุ้มกริ่มและตื่นเต้นระริกจนเธอต้องหลบสายตาคมคู่นั้น

“แต่งตัวเสร็จนานแล้วหรือครับ”

“ก็...ได้สักพักแล้ว...แต่อาชุยังไม่เสร็จเลย รอก่อนนะคะ” เธอตอบแต่เขากลับยืนยิ้มกริ่มอยู่

“มีอะไรน่าขำหรือคะ” เธอถามพลางมองสำรวจตัวเองไปด้วยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“มองผมอย่างนี้...รู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่” คำเอ่ยของเขาทำเอาอารมณ์หวามเมื่อครู่พลันสะดุดกึก

“คุณจะรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดอะไรอยู่...หรือว่าคุณเป็นหมอดู”

“ก็แววตาของคุณมันฟ้องออกโจ่งแจ้ง ไม่รู้หรือว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ” เขาตอบยิ้มๆ

ชริลสะบัดหน้าหันกลับแล้วทรุดนั่งบนโซฟาซึ่งท่าทางนั้นชายหนุ่มกลับคิดว่าเป็นการค้อนให้เขาเสียมากกว่า สาวน้อยฉวยหนังสือบนโต๊ะเล็กข้างหน้ามาเปิดอ่านลวกๆ กายเทพเดินมาทรุดนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามพลางไขว่ห้างแล้ววางท่อนแขนทั้งสองข้างพาดไปกับโซฟา ทำท่าราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

ชายหนุ่มไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมองสาวน้อยยิ้มๆ ครั้นรู้สึกว่ากำลังถูกเขาจับจ้องอยู่ ชริลก็เงยหน้าหันมาทางเขาตรงๆ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” คนถูกถามยักไหล่เล็กน้อยๆ พร้อมกับยิ้มให้ หากคนมองกลับรู้สึกขัดใจเล็กๆ แต่ครั้นยังเห็นว่าคนหน้าหล่อยังมองอยู่อีก ทีนี้เธอถึงกับถามตรงๆ

“คุณจะมองฉันอยู่อีกนานไหมคะคุณกาย”

“ก็หน้าคุณแดง...และใบหูก็แดงเหมือนกัน” เขาเอ่ยขึ้นแล้วหยุดนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “แถมมีความสามารถพิเศษอ่านหนังสือกลับหัวได้ด้วย”

สาวน้อยชะงักเมื่อรู้ตัวว่าผิดพลาดจำต้องวางหนังสือลงบนโต๊ะอย่างเสียมิได้ก่อนจะหันมามองเขาตรงๆ

“คนบ้า!...ไม่มีอะไรจะทำหรือยังไง ถึงได้คอยจับผิดแล้วยังนั่งมองหูคนอื่นอีก” เธอค่อนแคะเล็กๆ อย่างหมั่นไส้

“ก็หน้าคุณแดงจนถึงใบหู ผมก็พูดอย่างที่เห็น”

ชริลค้อนให้เขาวงหนึ่ง แล้วเชิดหน้าไปทางอื่นนิ่งๆ ราวกับว่าจะไม่สนใจเขา แต่ก็คอยชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นระยะๆ ครั้นเห็นเขาเอาแต่จ้องมองเธออยู่ หญิงสาวจึงผุดลุกจะผละขึ้นไปข้างบนเสียเฉยๆ

“เดี๋ยวก่อนสิครับ จะไปไหนล่ะ” กายเทพผุดลุกขึ้นขวางไว้เช่นกัน ในขณะที่ชริลก็แทบเบรกไม่ทันจนเกือบจะชนร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลิ่นอาฟเตอร์เชฟหลังโกนหนวดล่องลอยมาเข้าจมูก มันหอมระรื่นเย็นๆ จนเธอเผลอสูดกลิ่นนั้นเบาๆ

“ฉันจะไปตามอาชุ”

“ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวคุณน้าก็คงจะลงมา...นั่งคุยเป็นเพื่อนผมดีกว่า”

“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว”

กายเทพเลิกคิ้วสูง พลางยกแขนกอดอกมอง “แน่ใจว่าไม่มีอะไรจะคุย...ถ้างั้นก็ฟังผมพูดก็แล้วกัน”

“ใครบอกว่าฉันอยากจะฟังคุณพูดล่ะ” ว่าแล้วสาวน้อยก็ทำท่าจะผละขึ้นชั้นบน แต่ไม่เร็วเท่ากายเทพเพราะเขาคว้าหมับข้อมือบางรั้งเอาไว้เสียก่อน

“ปล่อยฉันนะคุณกาย เดี๋ยวอาชุก็มาเห็นหรอก” เธอขู่พลางดึงมือตัวเองให้เขาปล่อย แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมปล่อยแถมยังยิ้มมุมปากอย่างที่ชริลเห็นแล้วหวั่นๆ แถมแววตาที่มองเธอก็เป็นประกายวิบวับ

“คุณน้ามาเห็นก็ดีสิ...ผมก็จะได้บอกให้คุณน้ารู้ไปเลย”

“คุณจะบอกอะไรอาชุ” เธอถามเสียงห้วน มองตาคมเข้มอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็แทบจะกลั้นใจรอคำตอบจากเขา

“ก็บอกว่า...เรากำลังจะซ้อมเต้นรำกันยังไงล่ะ”

“บ้าสิ!...งานเลี้ยงเล็กๆ แค่นี้ไม่มีเต้นรำอย่างคุณว่าหรอก”

กายเทพแย้มยิ้มพลางมองสบตาหญิงสาวนิ่งๆ ดวงตาทั้งสองสบประสานกันนิ่งทำเอาชริล ลืมไปเลยว่าถูกเขาเกาะกุมมือเอาไว้ เมื่อไม่อาจจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้เธอก็ได้แต่นิ่ง

สัมผัสของมือทั้งสองจุดประกายแปลบปลาบราวกับมีประจุไฟฟ้าวิ่งพล่านเมื่อชริลรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว หัวใจไหวหวิวเมื่อรู้สึกว่าเลือดในกายสูบฉีดแล่นเข้าสู่หัวใจจนอุ่นซ่านไปหมด...เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาช้าๆ แต่ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มก็อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบ ได้กลิ่นลมหายใจสะอาด ความรู้สึกนี้ไม่ใช่มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้สึก หากกายเทพก็รู้สึกเช่นกันจนเผลอหวามใจเลื่อนใบหน้าคมเข้มของเขาลงมาใกล้ๆ ริมฝีปากหยักลึกได้รูปของเขาแทบจะแนบกับริมฝีปากอวบอิ่มเผยอเล็กน้อยของเธอ หากสาวน้อยไม่ขยับออกเสียก่อน

“ปล่อยฉันเถอะนะคะ เดี๋ยวอาชุมาเห็น” เธอยังอ้อนวอน ดวงตากลมโตกระจ่างใสราวกับตาตั๊กแตนมองสบตากับเขานิ่งๆ กายเทพจำต้องปล่อยมือออกอย่างเสียมิได้

“มีคนบอกหรือเปล่าว่าคุณแต่งตัวอย่างนี้แล้ว...น่ารัก!”

คำพูดเบาๆ แค่เพียงไม่กี่ประโยคทำเอาชริลหน้าแดงเรื่อจนทำอะไรไม่ถูก

“มีเยอะแยะไป” เธอตอบกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ แต่ชายหนุ่มกลับเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อ

“คนที่บอกคุณอย่างนั้นคงไม่ใช่พ่อเลี้ยงพนาหรอกนะ” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ

“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ พ่อเลี้ยงพนาออกจะรูปหล่อ สมาร์ต และก็ใจดีอีกด้วย”

“งั้นหรือ...อืมม์...ก็คงจะจริงอย่างคุณว่า ตุ๊กตาหมีเมื่อเช้าก็คงจะบอกให้รู้แล้วว่าเขาใจดีมากแค่ไหน”

บอกแล้วร่างสูงก็เดินมาทรุดนั่งบนโซฟาทำเป็นไม่สนใจอีก ชริลได้แต่ค้อนให้เขาอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน พร้อมกับจะผละขึ้นข้างบน แต่ก็เห็นคนเป็นอาเดินลงมาเสียก่อน

“อาชุแต่งตัวนานจังคะ...คนบางคนอยากเห็นใจจะขาดอยู่แล้วนะคะ” สาวน้อยบอกประชดพลางปรายตาไปทางกายเทพ ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งยิ้มน้อยๆ ให้ชุอร ร่างอวบอิ่มสมวัยของชุอรอยู่ในชุดเดรสสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงหัวเข่า คอเสื้อคว้านกว้างจนเห็นเนินอกขาวอิ่ม มีผ้าคลุมไหล่ไหมพรมสีชมพูคลุมไหล่มนเอาไว้ แววตาคมเข้มของกายเทพที่มองถึงกับทำให้ชุอรรู้สึกสะเทิ้นอาย

“คุณน้าแต่งตัวสวยจังเลยครับ” เขาชมจากใจจริง ชุอรยิ้มอาย หัวใจพองโตจนหน้าแดงเรื่อ ชริลเผลอหันมาค้อนให้กายเทพเล็กน้อย

“ขอบใจจ้ะ แต่น้ารู้สึกแปลกๆ จัง...ไม่คุ้นกับการแต่งตัวแบบนี้เลยจ้ะ”

“ไม่แปลกหรอกครับ แต่สวยมากกว่า” เขาบอกพลางหันมา
พยักพเยิดกับชริล สาวน้อยได้แต่ยิ้มให้คนเป็นอาเป็นคำตอบ แต่ก็หมั่นไส้คนหาพวกด้วยเมื่อเห็นสายตาคมวับของเขาที่มองอาสาวของเธอ

“ดูคุณกายเมื่อเช้ากับตอนนี้เป็นคนละคนเลยนะคะ” ชุอรกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม

กายเทพยกมือลูบคางตัวเองแล้วยิ้ม “คงถึงเวลาที่ผมจะต้องโมดิฟายตัวเองน่ะครับ ก็เลยต้องทำตัวแอ็กทีฟให้เข้ากับงานเลี้ยงคืนนี้สักหน่อย...แต่ไม่รู้ว่าบางคนจะแอ็กทีฟด้วยหรือเปล่า” บอกแล้วก็ปรายตามาทางร่างบางแวบหนึ่ง

“วันนี้ผมขอเป็นสารถีขับรถให้นะครับ”

“จ้ะ...ริลช่วยไปหยิบกุญแจรถบนโต๊ะทำงานให้คุณกายหน่อยสิจ๊ะ”

ชุอรหันมาบอกชริล สาวน้อยจึงผละไปหยิบกุญแจบนโต๊ะทำงานที่อยู่ทางปีกซ้ายของบ้านมาส่งให้กายเทพ เขารับมาแล้วผายมือไปทางประตู

“ถึงเวลาที่ซินเดอเรลล่าจะออกงานแล้ว...เชิญครับ”

ชุอรยิ้มหวานให้พร้อมกับตีแขนชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน กายเทพมองตามไปพร้อมกับหันมายิ้มให้ชริลแล้วผายมือให้เธอเช่นกัน แต่หญิงสาวกลับค้อนให้เขาขวับหนึ่งแทนพลางเดินออกประตูไป ร่างสูงได้แต่ยิ้มกับท่าทางนั้นแล้วเดินออกจากบ้านเป็นคนสุดท้าย

กายเทพก้าวยาวๆ ให้ทันชุอรเพื่อมาเปิดประตูรถให้เธอขึ้นนั่งอย่างสุภาพบุรุษควรกระทำ พร้อมกับหันมาจะเปิดประตูรถด้านหลังให้ชริล แต่หญิงสาวเปิดเข้าไปนั่งในรถก่อนแล้ว ร่างสูงได้แต่ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมมาขึ้นนั่งทำหน้าที่สารถี ก่อนจะสตาร์ตรถแล้วเคลื่อนออกสู่ถนนมุ่งหน้าออกจากไร่โดยมีเป้าหมายคือไร่ของพ่อเลี้ยงพนา

แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังจะลับเหลี่ยมเขา อากาศในตอนเย็นเช่นนี้จึงเย็นสบายแต่ก็คงจะหนาวเมื่อตกดึก...กายเทพขับรถไปตามถนนเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบและก็คุยกับชุอรตลอดเส้นทาง ผิดกับชริลที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่เบาะหลังฟังการสนทนาของทั้งสองไปตลอดเส้นทาง พลางมองออกไปนอกรถอย่างเซ็งๆ กิริยานั้นมิได้พ้นไปจากสายตาคมเข้มของกายเทพแม้แต่น้อย บ่อยครั้งที่เขาชำเลืองมองผ่านกระจกมองหลังแล้วก็ได้แต่อมยิ้มกับท่าทางนั้นของเธอ

>>>>>>>>>

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็นไปแล้ว กายเทพทำหน้าที่สารถีได้อย่างดีจนกระทั่งเลี้ยวเข้ามาในเขตไร่ของพ่อเลี้ยงพนาตามที่ชุอรเป็นคนบอกทางให้รู้ ชายหนุ่มขับช้าๆ ผ่านเข้ามาในไร่สักพักก็มาถึงบ้านไร่ของพ่อเลี้ยง

บ้านหลังนี้ถูกสร้างในพื้นที่หลายไร่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ต่างๆ และมีการจัดสวนไว้อย่างลงตัวอิงแอบธรรมชาติที่เรียกกันว่าเป็นสไตล์บาหลี แต่บ้านหลังนี้ถูกสร้างในแบบสไตล์คันทรีปนกับสไตล์บาหลีได้อย่างลงตัวจนน่าทึ่ง เพราะรอบๆ บ้านทั้งสองชั้นมีระเบียงเปิดโล่งสามารถสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างดี เยื้องมาทางด้านขวาของตัวบ้านมีบ่อน้ำพุซ่อนอยู่ในดงแมกไม้ดูร่มครึ้มให้ความรู้สึกเย็นใจแก่ผู้อยู่อาศัย

เจ้าของไร่เห็นรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านก็รู้ทันทีว่าเป็นรถของใครจึงรีบเดินออกมาต้อนรับ ขณะนั้นกายเทพก็ลงมาเปิดประตูให้ชุอรพร้อมกับยื่นมือให้จับ ชุอรมองเก้อเขินแต่ก็ยอมวางมือลงบนมือของชายหนุ่มแล้วก้าวลงจากรถ ส่วนชริลนั้นไม่ได้รอให้เขาทำหน้าที่นี้ เธอเปิดลงมาเองก่อนแล้ว

“ยินดีต้อนรับสู่ไร่พนาครับ” พ่อเลี้ยงพนาร้องทักขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม

ชุอรยิ้มหวานให้พ่อเลี้ยงแล้วเบือนมองหน้ากายเทพแวบหนึ่ง

“พวกเราคงไม่มาช้าไปนะคะพ่อเลี้ยง”

“ไม่หรอกครับคุณชุ...เอ่อ...ว่าแต่วันนี้ดูคุณชุสวยเป็นพิเศษกว่าทุกวันนะครับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มยิ้มให้ตาเป็นประกายวับซึ่งเป็นประกายตาที่กายเทพมองอย่างเข้าใจในสายตาผู้ชายเหมือนกันแล้วพ่อเลี้ยงก็เลื่อนสายตามองร่างสูงตรงๆ “ทีแรกผมนึกว่ามีหนุ่มที่ไหนเป็นสารถีขับรถมาให้เสียอีก ที่แท้ก็คุณกายนี่เอง...จำแทบไม่ได้เลยนะครับ”

กายเทพยิ้มพลางค้อมศีรษะให้เล็กน้อย แล้วหันมองชริลที่เอาแต่ยืนทำเฉย ก่อนจะหันกลับมาทางเจ้าของบ้าน

“มางานเลี้ยงที่ไร่พ่อเลี้ยงทั้งที คงจะไม่สุภาพถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อยครับ”

พ่อเลี้ยงยิ้มกว้างพลางพยักหน้าแล้วเลยมองมาชริลที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของชุอร

“หนูริลก็มาด้วยหรือ ไม่เห็นพูดจนอาคิดว่าไม่ได้มาด้วยซะอีก”

“มาค่ะพ่อเลี้ยง แต่บางคนแย่งพูดหมด” เธอเหน็บมาถึงกายเทพ แต่ทุกคนก็ได้แต่ยิ้มแย้ม

“ใส่ชุดที่อาซื้อให้หรือเปล่าเนี่ย หนูริลใส่ได้พอดีเลยใช่มั้ย”

“ค่ะ...ใส่ได้พอดียังกะวัดไซส์ไว้เลยค่ะ” ชริลตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ก็เห็นกายเทพเบือนหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ขณะนั้นพิกุลน้องสาวของพ่อเลี้ยงพนาก็เดินออกมาจากบ้านพลางส่งยิ้มให้ทุกคน เธออยู่ในชุดเดรสสีแดงเพลิงเร่าร้อน ใบหน้านวลนั้นถูกแต่งแต้มจนฉูดฉาดราวกับเป็นสาวเกินตัว กายเทพมองแล้วก็ประหลาดใจไม่น้อยจนอดหันมองชริลไม่ได้ ทั้งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ต่างกันลิบลับ...พิกูลดูเป็นสาวเป็นแส้เกินวัยกว่าชริลเสียอีก

พิกุลยกมือไหว้ชุอรและกายเทพแล้วก็มองชายหนุ่มตรงหน้าสายตาเป็นประกายบางอย่างจนชริลสังเกตเห็น

“จะไม่แนะนำให้กุลรู้สึกชายหนุ่มตรงหน้าหน่อยหรือคะ” พิกุลเอ่ยขึ้นหากสายตายังจับนิ่งอยู่ที่กายเทพ

“อ้อ!...นี่คุณกายจ้ะ ลูกชายคนเดียวของคุณลุงเทพ ไร่ข้างๆ น้าเอง” ชุอรเป็นคนแนะนำให้รู้จัก พิกุลได้แต่ยิ้มหวานให้เขา

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณกาย...แต่แปลกนะคะ กุลก็เคยไปพบริลที่ไร่บ่อยๆ ไม่ยักเห็นคุณกายเลย”

“ผมเพิ่งกลับมาจากออสเตรเลียน่ะครับ...ถ้าคุณกุลเห็นก่อนหน้านี้ก็คงเป็นตัวปลอมแล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวติดตลกทำเอาพ่อเลี้ยง ชุอรและพิกุลหัวเราะขำไปด้วย แต่ชริลไม่เลย...ไม่ขำสักนิดเดียว

“ผมว่าเราอย่ามัวคุยกันตรงนี้เลยนะครับ เชิญทุกคนเข้าในบ้านก่อนดีกว่า...เชิญทุกคนครับ” พ่อเลี้ยงกล่าวขึ้นพลางเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้าบ้าน ชุอรและกายเทพเดินตามพ่อเลี้ยงผละเข้าบ้านไปแล้ว เหลือแต่ชริลที่ยังยืนอยู่

“นี่แน่ะ...มีหนุ่มรูปหล่อไร่ข้างๆ ก็ไม่บอกฉันเลยนะริล” พิกุลตีแขนชริลเบาๆ

“จะให้เราบอกได้ยังไงกันล่ะกุล...ก็คุณกายเพิ่งกลับมาที่ไร่ไม่กี่วันเอง”

“เห็นทีวันหน้าฉันต้องไปเยี่ยมเธอที่ไร่บ่อยๆ ซะแล้ว” พิกุลบอกแล้วยิ้มเพ้อเมื่อมองตามหลังร่างสูงของกายเทพไป

“ได้สิ...จะเป็นไรไปล่ะ...แต่นุจะไม่ว่าเอาหรือ” เธอเอ่ยดักคอเพื่อนเพราะรู้ว่ากำลังสนใจอนุชนอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับเบ้ปาก

“จะไปว่าอะไรล่ะ ก็เราสองคนแค่คบๆ กัน ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย” คำตอบของพิกุลทำเอาชริลคอย่น

“เข้าบ้านกันเถอะ...อยากคุยกับคุณกายแล้วล่ะ ท่าทางเขาจะตลกนะ...ใช่มั้ย”

“ฮื่อ!” ชริลพยักหน้าส่งๆ เป็นคำตอบแล้วก็ถูกพิกุลลากเข้ามาในบ้านทันที

......................

กายเทพและชุอรเดินตามพ่อเลี้ยงพนาเข้ามาภายใน ชายหนุ่มเหลียวมองสำรวจภายในอย่างชื่นชม มันเป็นห้องโถงโล่งดูอบอุ่นด้วยการประดับโคมไฟและมีเตาผิงด้านซ้ายมือซึ่งก่อไฟเอาไว้ให้ไออุ่น มีโซฟานวมชุดใหญ่วางอยู่ใกล้ๆ ภายในถูกตกแต่งไว้อย่างลงตัว มีโต๊ะอาหารตัวใหญ่วางอยู่ตรงกลางห้อง ถัดจากประตูเข้ามาทางด้านขวามือมีบันไดวนขึ้นสู่ชั้นสองที่เป็นระเบียงกว้างเปิดโล่ง สามารถชมวิวทิวทัศน์ท้องทุ่งหญ้าและภูเขาได้อย่างสบายๆ ดูการออกแบบแล้วช่างน่าอยู่ไม่น้อย

ภายในห้องโถงนี้อบอุ่นไม่หนาวเหมือนข้างนอก เพราะมีเตาผิงให้ความอบอุ่นแก่แขกในค่ำคืนนี้...แขกที่มาในงานมีไม่มากนัก นอกจากเพื่อนพ่อเลี้ยงไม่กี่คนเท่านั้น

พ่อเลี้ยงพนาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ คุณวิศาล และคุณภูวิต เพื่อนสนิทที่มางานนี้ด้วย ก่อนจะเชื้อเชิญให้ทุกคนรับประทานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งถูกปรุงจากแม่ครัวฝีมือดีเป็นอาหารรสเลิศที่สุดในคืนนี้ อาหารบนโต๊ะมีทั้ง สเต๊กเนื้อโคขุน และเนื้อนกกระจอกเทศ รวมถึงผัดมะกะโรนีและอาหารอื่นๆ ครบครันรวมทั้งผลไม้หลายชนิดถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม

ทุกคนดูเหมือนจะมีความสุขกับงานเลี้ยงอันแสนอบอุ่นในค่ำคืนนี้ ผิดกับชริลที่รู้สึกเซ็งๆ อย่างบอกไม่ถูกที่เห็นพ่อเลี้ยงและกายเทพคุยกันถูกคอแถมอาของเธออีกคนที่หัวเราะได้อย่างมีความสุข หนำซ้ำพิกุลเพื่อนของเธอก็แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าปลื้มกายเทพถึงกับให้เธอเป็นแม่สื่อให้ออกหน้าเพื่อจะได้คุยกับเขา

“คุณกายคะ” ชริลเอ่ยขึ้นเบาๆ ในขณะที่กายเทพยืนอยู่ในกลุ่มของพ่อเลี้ยง ชายหนุ่มจึงหันมาทางเสียงเรียกนั้น

“มีอะไรหรือครับ” เขาถามแปลกใจเมื่อเห็นท่าทางของชริลแปลกๆ แต่พอเห็นว่าคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ของเธอก็เข้าใจว่าคืออะไร

“กุลอยากจะคุยด้วยน่ะค่ะ” เธอบอกอย่างเกรงใจ กายเทพพยักหน้าเบาๆ ให้แล้วหันมายิ้มให้พิกุล

“รบกวนคุณกายหรือเปล่าคะ” พิกุลเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางเขินอาย

“โอว...ไม่...ไม่เลยครับ ยินดีที่ได้คุยกับเจ้าของวันเกิดมากกว่า”

“กุลเพิ่งรู้ว่าคุณกายมาจากออสเตรเลีย ที่โน่นหนาวมั้ยคะ” เธอชวนคุย กายเทพยิ้มพลางชำเลืองมองชริลเล็กน้อย

“หนาวครับ แต่ก็แล้วแต่รัฐที่เราอยู่...คุณกุลอยากจะไปออสเตรเลียหรือครับ”

“เปล่าหรอกค่ะ กุลพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ถ้าไปคงหลงทางแน่ๆ หรือไม่ก็ต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งหาทางกลับบ้านไม่เจอ” คนพูดหัวเราะคิก

“ไม่หลงหรอกครับ ที่โน่นก็มีคนไทยเยอะแยะที่ไปเรียนหนังสือ...แรกๆ ก็พูดไม่ค่อยได้หรอกครับ แต่พออยู่ๆ ไป เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับที่โน่น จะมัวพูดแต่ภาษาไทยก็คงไม่ได้...สิ่งแวดล้อมจะทำให้เราได้เรียนรู้เองครับ”

พิกุลยืนยิ้มอยู่อย่างนั้นจนกายเทพเริ่มวางตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่คนที่อึดอัดกว่าคงจะเป็นชริลมากกว่า เพราะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินอย่างบอกไม่ถูก

“คุณกายจะมาอยู่ที่เมืองไทยตลอดหรือเปล่าคะ”

“ก็คงจะอย่างนั้นครับ พอดีคุณพ่ออยากให้ผมมาดูแลไร่องุ่นและกิจการอื่นๆ แทนท่าน ผมเห็นว่าจากเมืองไทยไปนานหลายปีแล้ว...ก็คงจะดีเหมือนกันที่ได้มาอยู่เมืองไทยอีกครั้ง...และก็ได้รู้จักคนดีๆ ที่นี่”

คำเอ่ยของชายหนุ่มทำเอาพิกุลเขินเพราะนึกว่าเขาหมายถึงตัวเอง แท้จริงแล้วกายเทพหมายถึงชริลมากกว่า...แต่ไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งรู้จักเธอเสียเมื่อไหร่ มันนานมาแล้วต่างหาก ร่างสูงปรายตามองชริลที่ยืนมองโน่นมองนี่อยู่ข้างๆ เพื่อน

“คุณกายคงไม่รังเกียจนะคะถ้าหากกุลจะขอไปเที่ยวไร่องุ่นบ้าง”

“ไม่รังเกียจหรอกครับ น่ายินดีมากกว่าที่คุณกุลให้เกียรติไปชมไร่ของผม...ว่าแต่คุณกุลคงไม่ว่านะครับถ้าหากแขกในคืนนี้มาโดยไม่มีของขวัญติดมือมาด้วย”

พิกุลหัวเราะพลางยิ้มแย้มกับคำตอบของเขา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่คุณกายมาวันเกิดกุลก็หรูแล้ว...จริงมั้ยริล” ท้ายประโยคหันมาทางชริล ทำเอาหญิงสาวต้องรีบพยักหน้าให้พลางยิ้มแต่แอบส่งสายตาค้อนให้ร่างสูงที่เอาแต่ยิ้มไม่ยอมหุบ...คงจะเมาไวน์ล่ะสิ...เธอค่อนแคะในใจเพราะตั้งแต่เข้างานมาเธอก็เห็นเขาถือแก้วไวน์ไม่วางเลยแถมเดินให้ว่อนไปทั่ว หนำซ้ำอาของเธอก็พลอยกระดกไวน์ยังกับน้ำเสียอีก สาวน้อยได้แต่เป็นห่วงเพราะอาของเธอไม่เคยดื่มหนักเช่นนี้...แต่เอาเถอะ แค่สักวันจะเป็นไรไป

พิกุลคุยกับกายเทพสักพักก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ชริลเห็นสายตาคมเข้มเยิ้มของร่างสูงมองเธออยู่จึงหันหลังเดินผละออกไปยืนชมดาวอยู่ที่ระเบียงด้านนอกเพียงลำพัง กายเทพเหลียวมองไปทางชุอรก็เห็นเธอกำลังคุยอยู่กับพ่อเลี้ยงพนาและเพื่อนๆ อย่างออกรส ร่างสูงยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะวางไว้บนโต๊ะแล้วก้าวตามหญิงสาวออกมา

เมื่อเดินตามออกมาด้านนอก ชายหนุ่มเห็นร่างอ้อนแอ้นยืนชิดขอบระเบียงทอดสายตามองดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนฟ้าโปร่ง ลมเย็นๆ ในยามดึกพัดเบาๆ สะบัดปอยผมให้พลิ้วไหว เขาเห็นเธอห่อไหล่มนเข้าหากันบ่งบอกให้รู้ว่าเหน็บหนาวเมื่อต้องความเย็นของอากาศในยามดึกเช่นนี้จึงถอดเสื้อแจ็กเกตออกแล้วเดินเข้ามาคลุมไหล่ให้

ชริลหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับเขาทันที ตาสบตาในระยะประชิดอยู่ครู่หนึ่ง กลิ่นแป้งเด็กจากแก้มนวลผ่องโชยกับสายลมเข้าจมูกชายหนุ่ม

“อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวคุณจะไม่สบายนะ” เขาบอกเสียงนุ่ม มองอย่างห่วงใยจริงๆ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...เดี๋ยวคุณจะหนาวเปล่าๆ” เธอยังดื้อจะหยิบเสื้อแจ็กเกตออกจากไหล่ตัวเอง แต่ชายหนุ่มกลับจับมือเธอเอาไว้

“ผมเป็นผู้ชาย หนาวแค่นี้ทนได้”

“ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง หนาวแค่นี้ฉันก็ทนได้เหมือนกันค่ะ” เธอตอบอย่างเย่อหยิ่ง

กายเทพได้แต่มองหน้าหญิงสาวอย่างค้นหา สายตาหยาดเยิ้มผสมฤทธิ์แอลกอฮอล์ของเขาที่มองเธอนั้นยิ่งทำให้ชริลชักใจคอไม่ดีเสียแล้วถึงกับขยับจะออกห่างแต่ก็ติดขอบระเบียงเสียก่อน

จบบทที่ 9



Create Date : 25 ตุลาคม 2551
Last Update : 25 ตุลาคม 2551 15:13:08 น. 2 comments
Counter : 501 Pageviews.  

 
อ้าว..ติดขอบระเบียงแล้วทำไงล่ะเนี่ย


โดย: ขาวน้ำผึ้ง วันที่: 25 ตุลาคม 2551 เวลา:19:24:09 น.  

 
นั่นสิครับคุณขาวน้ำผึ้ง ติดขอบระเบียงทำไงดี
อย่างนี้ก็.....แห่ะๆๆ วิ่งหนีจิครับ


โดย: พันชิต วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:12:43:17 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

พันชิต
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add พันชิต's blog to your web]